forked from WA-Catalog/th_ulb
1564 lines
356 KiB
Plaintext
1564 lines
356 KiB
Plaintext
\id 1KI Unlocked Literal Bible
|
||
\ide UTF-8
|
||
\h 1 KINGS
|
||
\toc1 1 Kings
|
||
\toc2 1 Kings
|
||
\toc3 1ki
|
||
\mt1 1 KINGS
|
||
|
||
|
||
\s5
|
||
\c 1
|
||
\p
|
||
\v 1 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงชรามากแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะห่มผ้าหลายชิ้นให้พระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงยังไม่อบอุ่น
|
||
\v 2 ฉะนั้นบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์จึงกราบทูลพระองค์ว่า “ขอโปรดให้เราไปเที่ยวหาหญิงสาวพรหมจารีมาถวายกษัตริย์ เจ้านายของพวกข้าพระองค์ และให้นางถวายการปรนนิบัติกษัตริย์และคอยดูแลพระองค์ และให้นางนอนในอ้อมกอดของพระองค์ เพื่อกษัตริย์เจ้านายของพวกข้าพระองค์จะได้ทรงอบอุ่น”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตามหาหญิงงามทั่วเขตแดนของอิสราเอล พวกเขาก็ได้พบอาบีชากหญิงชาวชูเนม และได้นำตัวนางมาเฝ้ากษัตริย์
|
||
\v 4 หญิงสาวคนนั้นงดงามมาก นางได้ถวายการรับใช้และคอยดูแลพระองค์ แต่กษัตริย์หาทรงร่วมกับนางไม่
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 ในเวลานั้น อาโดนียาห์พระโอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้น กล่าวว่า “เราจะเป็นกษัตริย์” ดังนั้นท่านจึงได้เตรียมบรรดารถม้าศึก และกองทหารม้าสำหรับท่านเองกับคนห้าสิบคนไว้วิ่งนำหน้าท่าน
|
||
\v 6 พระบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดแย้ง หรือมาถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้หรือเช่นนั้น?” อาโดนียาห์เป็นชายงามมากด้วย ท่านเกิดมาถัดจากอับซาโลม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 ท่านได้สมคบกับโยอาบกรุตรชายของนางเศรุยาห์ และอาบียาธาร์ปุโรหิต พวกเขาได้ติดตามอาโดนียาห์และช่วยเหลือท่าน
|
||
\v 8 แต่ศาโดก ปุโรหิต เบไนยาห์กรุตรชายของเยโฮยาดา นาธันผู้เผยพระวจนะ ชิเมอี เรอี และพวกทหารกล้าของดาวิดไม่ได้ติดตามอาโดนียาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 อาโดนียาห์ได้ถวายสัตวบูชาแกะ โค และลูกโคอ้วนพี ณ หินแห่งโศเฮเลท ซึ่งอยู่ด้านด้าน เอนโรเกล ท่านได้เชิญพี่น้องทั้งหมดของท่าน คือบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดแห่งยูดาห์ ที่เป็นพวกข้าราชบริพารของกษัตริย์
|
||
\v 10 แต่ไม่ได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ เบไนยาห์ พวกทหารกล้า หรือแม้แต่ซาโลมอนพระอนุชาของท่าน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 จากนั้นนาธันก็ได้ทูลถามพระนางบัทเชบาพระมารดาของซาโลมอนว่า “พระนางไม่ทรงทราบหรือว่า อาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีททรงตั้งตนเป็นกษัตริย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของพวกข้าพระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่องหรือ?
|
||
\v 12 บัดนี้โปรดให้ข้าพระองค์ถวายคำปรึกษาเพื่อพระนางจะได้ทรงช่วยชีวิตของพระนางเอง และชีวิตของซาโลมอนพระโอรสของพระนางด้วย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 โปรดเสด็จเข้าพบกษัตริย์ดาวิด และทูลถามพระองค์ว่า ‘กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของพระองค์มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนกรุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราไม่ใช่?” แล้วทำไมจึงให้อาโดนียาห์ปกครองเล่า?’
|
||
\v 14 ขณะที่พระนางกราบทูลกษัตริย์อยู่ ข้าพระองค์จะตามไปเข้าพบ และเสริมพระเสาวนีย์ของพระนาง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 ดังนั้นพระนางบัทเชบาก็เข้าไปที่ห้องของกษัตริย์ กษัตริย์ทรงชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็กำลังถวายการรับใช้กษัตริย์อยู่
|
||
\v 16 พระนางบัทเชบาได้กราบถวายบังคมกษัตริย์ แล้วกษัตริย์ก็ตรัสถามว่า “เจ้าประสงค์สิ่งใดหรือ?”
|
||
\v 17 พระนางได้ทูลพระองค์ว่า “เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ต่อสาวใช้ของพระองค์ว่า ‘แน่นอน ซาโลมอนกรุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเรา และเขาจะนั่งบัลลังก์ของเรา’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ดูเถิด ตอนนี้อาโดนียาห์เป็นกษัตริย์แล้ว แต่พระองค์ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน ก็ไม่รู้
|
||
\v 19 เขาได้ถวายสัตวบูชาโค ลูกโคอ้วนพี และแกะจำนวนมาก และได้เชิญบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ อาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่เขาไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 เพราะพระองค์คือกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน สายตาของอิสราเอลทั้งหมดก็เพ่งดูพระองค์ รอพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบัลลังก์ของเจ้านายของหม่อมฉันต่อจากพระองค์
|
||
\v 21 แต่จะเหตุการณ์จะเกิดดังนี้ เมื่อกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรชายของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลกษัตริย์อยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็ได้เข้ามา
|
||
\v 23 ข้าราชบริพารทั้งหลายจึงทูลกษัตริย์ว่า “นาธันผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อนาธันเข้ามาต่อพระพักตร์กษัตริย์ เขาก็ก้มหน้าลงถึงพื้น ถวายบังคมกษัตริย์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 นาธันได้กราบทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรับสั่งไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะปกครองต่อจากเรา และเขาจะนั่งบัลลังก์ของเราหรือ?’
|
||
\v 25 เพราะวันนี้ท่านได้ลงไปถวายบูชาโค ลูกโคอ้วนพีและแกะจำนวนมาก และได้เชิญบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ ทั้งผู้บัญชาการกองทัพ และอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าท่าน และกล่าวว่า ‘ขอกษัตริย์อาโดนียาห์ทรงพระเจริญ’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 แต่ข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์กรุตรชายของเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านหาได้เชิญพวกเราไม่
|
||
\v 27 เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ตรัสแก่พวกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า จะทรงให้ใครนั่งบัลลังก์ต่อจากพระองค์หรือ?”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 แล้วกษัตริย์ดาวิดได้ตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบากลับมาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และทรงประทับยืนอยู่ต่อพระพักตร์กษัตริย์
|
||
\v 29 กษัตริย์ทรงปฏิญาณว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากความทุกข์ยาก
|
||
\v 30 วันนี้เราได้ปฏิญาณต่อเจ้าในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า ‘ซาโลมอนบุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเราอย่างแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา’ เราจะทำในวันนี้”
|
||
\v 31 แล้วพระนางบัทเชบาก็ได้ทรงก้มพระพักตร์ลงถึงพื้น ถวายบังคมกษัตริย์ และทูลว่า “ขอกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันทรงพระเจริญตลอดไป”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 32 กษัตริย์ดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดามาหาเรา” ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์กษัตริย์
|
||
\v 33 กษัตริย์ตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชบริพารของเจ้านายพวกเจ้าไปกับเจ้า ให้ซาโลมอนพระโอรสของเราขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่กีโฮน
|
||
\v 34 ให้ศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วจงเป่าแตร และประกาศว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 35 แล้วพวกเจ้าจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้ตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์”
|
||
\v 36 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้กราบทูลตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้เป็นดังนั้นเถิด ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งกษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงยืนยันดังนั้น
|
||
\v 37 พระยาห์เวห์ได้ทรงสถิตกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์มาแล้วอย่างไร ก็ขอให้สถิตกับซาโลมอนอย่างนั้น และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่มากกว่าบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพระองค์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อของกษัตริย์ดาวิด และพวกเขาได้นำท่านมาถึงกีโฮน
|
||
\v 39 ศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ แล้วเขาทั้งหลายก็ได้เป่าแตร และประชาชนทั้งปวงได้กล่าวว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ”“ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ”
|
||
\v 40 แล้วประชาชนทั้งปวงก็ได้ตามเสด็จพระองค์ขึ้นไป ทั้งเป่าขลุ่ยและยินดียิ่งนัก จนแผ่นดินสะเทือนเพราะเสียงของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 เมื่ออาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับพวกเขาได้รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วพวกเขาได้ยินเสียง และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตร เขาได้พูดว่า “ทำไมจึงมีเสียงอึกทึกครึกโครมในเมืองนั้น?”
|
||
\v 42 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ โยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์ปุโรหิตก็ได้มาถึง และอาโดนียาห์ก็ได้กล่าวว่า “เข้ามาสิ เพราะเจ้าเป็นคนดี และคงนำข่าวดีมา”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 43 โยนาธานได้ตอบอาโดนียาห์ว่า “กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราได้ทรงทำให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์แล้ว
|
||
\v 44 และกษัตริย์ทรงมีรับสั่งส่งศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา กับคนเคเรธีและคนเปเลทไปกับท่าน เขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของกษัตริย์
|
||
\v 45 ศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่กีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความยินดี เพราะฉะนั้นในเมืองจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 46 นอกจากนี้ซาโลมอนได้ประทับบนบัลลังก์ของราชอาณาจักรด้วย
|
||
\v 47 มากไปกว่านั้นอีก พวกข้าราชบริพารของกษัตริย์ก็ได้เข้าไปถวายพระพรแด่กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราว่า ‘ขอพระเจ้าของพระองค์ทรงทำให้พระนามของซาโลมอนเลื่องลือไปมากกว่าพระนามของพระองค์ และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของพระองค์’ แล้วกษัตริย์ก็โน้มพระกายลงที่แท่นบรรทม
|
||
\v 48 กษัตริย์ก็ตรัสด้วยว่า ‘สรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งงอิสราเอล ผู้ประทานคนหนึ่งให้นั่งบัลลังก์ของเราในวันนี้ ด้วยตาของเราเองได้เห็นแล้ว’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 49 แล้วแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัว พวกเขาได้ยืนขึ้นและต่างไปตามทางของตัวเอง
|
||
\v 50 ส่วนอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงยืนขึ้น และได้ไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา
|
||
\v 51 แล้วมีคนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูเถิด อาโดนียาห์กลัวกษัตริย์ซาโลมอน เพราะท่านจับเชิงงอนที่แท่นบูชาอยู่ กล่าวว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า จะไม่ทรงสังหารผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยดาบ’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 52 ซาโลมอนได้ตรัสว่า “หากแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่หากพบความชั่วอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย”
|
||
\v 53 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงใช้คนไปนำอาโดนียาห์ลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อกษัตริย์ซาโลมอน และซาโลมอนตรัสกับท่านว่า “จงกลับวังของท่าน”
|
||
\s5
|
||
\c 2
|
||
\p
|
||
\v 1 เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสวรรคต พระองค์ได้ทรงกำชับซาโลมอนพระโอรสของพระองค์ว่า
|
||
\v 2 “เรากำลังจะตายแล้ว จงเด็ดเดี่ยว ดังนั้นจงสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย
|
||
\v 3 จงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ที่จะดำเนินในทางของพระองค์ ที่จะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ พระบัญญัติ พระดำรัส และกฎแห่งพันธสัญญาของพระองค์ จงระมัดระวังที่จะถือปฏิบัติดังที่ได้จารึกไว้ในกฎหมายของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้งอกงามในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป
|
||
\v 4 เพื่อที่พระยาห์เวห์จะได้ทำให้พระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าบรรดาบุตรชายของเจ้าระมัดระวังที่จะดำเนินในทางของเขาต่อหน้าเรา ด้วยความเที่ยงธรรม ด้วยหมดทั้งใจของพวกเขาแล้ว ทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลจะไม่ขาดเลย’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 เจ้าเองก็รู้ว่า โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้ทำอันใดกับเรา และเขาได้ทำอันใดกับผู้บัญชาการทั้งสองของกองทัพอิสราเอล คือทำแก่อับเนอร์บุตรชายของเนอร์ และอามาสาบุตรชายของเยเธอร์ผู้ที่เขาได้สังหาร เขาได้ทำให้เลือดแห่งสงครามไหลในยามสงบสุข และทำให้เลือดแห่งสงครามตกลงบนเข็มขัดที่เอวของเขา และลงบนรองเท้าที่อยู่ที่เท้าของเขา
|
||
\v 6 จงจัดการกับโยอาบด้วยปัญญาของเจ้าที่ได้เรียนรู้มา แต่อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาตกลงไปสู่หลุมฝังศพอย่างเป็นสุข
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 อย่างไรก็ดีจงแสดงความปราณีแก่บุตรชายทั้งหลายของบารซิลลัยชาวกิเลอาด และจงให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานอาหารที่โต๊ะของเจ้า เพราะเมื่อเราหนีอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น พวกเขาได้ช่วยเราไว้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 ดูเถิด ยังมีชิเมอีบุตรชายของเกรา ชาวเบนยามิน จากบ้านบาฮูริมก็อยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ที่ด่าเราด้วยถ้อยคำรุนแรงในวันที่เราได้เดินทางไปยังมาหะนาอิม ชิเมอีได้ลงมาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่สังหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’
|
||
\v 9 บัดนี้เจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีโทษ เจ้าเป็นคนมีปัญญา และเจ้าจะรู้ว่าควรจะทำอะไรกับเขา เจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่หลุมฝังศพทั้งเลือดเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 แล้วดาวิดได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ฝังพระศพไว้ในเมืองดาวิด
|
||
\v 11 เวลาที่ดาวิดได้ทรงครองอิสราเอลคือสี่สิบปี พระองค์ได้ทรงปกครองในเฮโบรนเจ็ดปี และในกรุงเยรูซาเล็มอีกสามสิบสามปี
|
||
\v 12 จากนั้นซาโลมอนจึงได้ประทับบนบัลลังก์ของดาวิดพระบิดาของพระองค์ และการครองบัลลังก์ของพระองค์ก็ตั้งอย่างมั่นคง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 แล้วอาโดนียาห์พระโอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าพบพระนางบัทเชบา พระมารดาของซาโลมอน พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ?” ท่านได้ทูลว่า “มาอย่างสันติ”
|
||
\v 14 แล้วท่านได้ทูลว่า “กระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลพระนาง” พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “จงพูดเถิด”
|
||
\v 15 อาโดนียาห์ได้ทูลว่า “พระนางทรงทราบแล้วว่าอาณาจักรเป็นของกระหม่อม และคนอิสราเอลทั้งหมดก็หมายใจว่ากระหม่อมจะได้เป็นกษัตริย์ แต่กลายมาเป็นของพระอนุชากระหม่อม เพราะพระยาห์เวห์ประทานแก่พระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 ตอนนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว และขอพระนางอย่าได้ปฏิเสธเลย” พระนางบัทเชบาได้มีพระราชเสาวนีย์ต่อท่านว่า “จงพูดเถิด”
|
||
\v 17 ท่านได้ทูลว่า “ขอพระนางทูลกษัตริย์ซาโลมอน เพราะกษัตริย์คงไม่ทรงปฏิเสธพระนาง เพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ประทานอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม”
|
||
\v 18 พระนางบัทเชบาได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “ดีแล้ว เราจะทูลกษัตริย์ให้เจ้า”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 พระนางบัทเชบาจึงได้เข้าพบกษัตริย์ซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์แทนอาโดนียาห์ กษัตริย์ได้ทรงยืนขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงถวายคำนับพระนาง แล้วพระองค์ก็ได้ประทับบัลลังก์ของพระองค์ และรับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระมารดา พระนางก็ได้ประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
|
||
\v 20 แล้วพระนางได้ทูลว่า “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่ง จงอย่าปฏิเสธแม่” กษัตริย์ได้ทูลพระนางว่า “ขอมาเถิดเสด็จแม่ หม่อมฉันจะไม่ปฏิเสธ”
|
||
\v 21 พระนางได้ทูลว่า “ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของอาโดนียาห์พระเชษฐาของลูกเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 กษัตริย์ซาโลมอนได้ตรัสตอบพระมารดาของพระองค์ว่า “ทำไมเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้อาโดนียาห์? ทำไมพระองค์ไม่ขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วยเลย เพราะเขาเป็นพระเชษฐาของลูก อีกทั้งขออาบียาธาร์ปุโรหิตและขอโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ให้ด้วยเล่า?”
|
||
\v 23 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าคำกล่าวนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์สิ้นชีวิต ก็ขอให้พระเจ้าทรงลงโทษเราและลงโทษให้หนักมากขึ้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 ดังนั้น บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงแต่งตั้งและตั้งเราไว้บนบัลลังก์ของดาวิดพระบิดาของเรา และเป็นผู้ทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างแน่นอนฉันใด อาโดนียาห์จะถูกสังหารในวันนี้ฉันนั้น”
|
||
\v 25 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงส่งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา และเบไนยาห์จึงได้ไปหาอาโดนียาห์และสังหารท่าน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น กษัตริย์ได้รับสั่งว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้า เหตุที่เจ้าสมควรตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่สังหารเจ้า เพราะว่าเจ้าได้หามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้านหน้าดาวิดพระบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์ทั้งสิ้นกับของพระบิดาของเรา”
|
||
\v 27 ดังนั้นซาโลมอนได้จึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระยาห์เวห์ จึงทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับลูกหลานของเอลีที่เมืองชีโลห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 เมื่อข่าวนี้ไปถึงโยอาบ แม้โยอาบไม่ได้เข้าด้านอับซาโลม แต่ท่านได้เข้าด้านอาโดนียาห์ ดังนั้นโยอาบจึงได้หนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์และจับเชิงงอนของแท่นบูชาไว้
|
||
\v 29 มีคนได้ไปกราบทูลกษัตริย์ซาโลมอนว่า โยอาบได้หนีไปยังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และตอนนี้เขาได้อยู่ด้านแท่นบูชา” แล้วซาโลมอนได้ทรงส่งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดไป ได้ตรัสว่า “จงไปสังหารเขาเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 30 ดังนั้นเบไนยาห์ก็ได้มายังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และได้พูดกับเขาว่า “กษัตริย์มีรับสั่งว่า ‘จงออกมาเถิด’” โยอาบได้ตอบว่า “ไม่ออก ข้าพเจ้าจะตายที่นี่” แล้วเบไนยาห์ก็ได้กลับเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลว่า “โยอาบได้พูดว่าเขาต้องการที่จะตายที่แท่นบูชา พ่ะย่ะค่ะ”
|
||
\v 31 กษัตริย์ได้ตรัสตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาพูด สังหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้เจ้าจะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้สังหารคนที่ไม่มีความผิดนั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายพระบิดาของเรา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 32 ขอพระยาห์เวห์ทรงนำเลือดของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้ทำร้ายชายสองคนที่เที่ยงธรรมกว่า ดีกว่าตัวเขาและได้สังหารพวกเขาด้วยดาบ คืออับเนอร์บุตรชายของเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรชายของเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์ โดยที่ดาวิดพระบิดาของเราไม่ทรงทราบ
|
||
\v 33 เหตุฉะนั้นขอให้เลือดของพวกเขาได้ตกลงบนศีรษะของโยอาบและพงศ์พันธุ์ของเขาต้องรับผิดชอบตลอดไป แต่ดาวิดและพงศ์พันธุ์ของพระองค์และราชวงศ์ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสวัสดิภาพจากพระยาห์เวห์อยู่ตลอดไป”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 34 แล้วเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาก็ได้กรุกเข้าไปทำร้ายและได้สังหารชีวิตโยอาบ เขาได้ฝังศพไว้ในบ้านของโยอาบเองซึ่งอยู่ในแดนทุรกันดาร
|
||
\v 35 กษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาให้บัญชาการกองทัพแทนโยอาบ และกษัตริย์ก็ได้ทรงแต่งตั้งศาโดกเป็นปุโรหิตแทนที่อาบียาธาร์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 36 แล้วกษัตริย์ได้ทรงใช้คนไปและเรียกชิเมอีให้มาเข้าพบ และได้ตรัสกับเขาว่า “จงสร้างบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น และอย่าออกจากที่นั่นไปที่ใดๆ
|
||
\v 37 เพราะในวันที่เจ้าออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น เจ้าจงรู้แน่เถิดว่า เจ้าจะต้องตาย แล้วเลือดของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง”
|
||
\v 38 ดังนั้นชิเมอีจึงได้กราบทูลกษัตริย์ว่า “ที่พระองค์ตรัสนั้นดีแล้ว ผู้รับใช้จะทำตามที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ตรัสนั้น” ดังนั้นชิเมอีจึงได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 39 แต่เมื่อหมดปีที่สาม ทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปหาอาคีชพระโอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท ดังนั้นพวกเขาได้มาบอกชิเมอี และพูดว่า “ดูเถิด ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท”
|
||
\v 40 แล้วชิเมอีได้ยืนขึ้นผูกอานขี่ลา และไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัท เพื่อตามหาทาสของเขา เขาได้ไปนำทาสของเขามาจากเมืองกัท
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 เมื่อมีผู้ได้กราบทูลซาโลมอนว่า ชิเมอีได้ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกัท และได้กลับมาแล้ว
|
||
\v 42 กษัตริย์จึงได้ทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีมาเฝ้าและได้ตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้เจ้าสาบานในพระนามของพระยาห์เวห์ไม่ใช่หรือ และแจ้งแก่เจ้าแล้ว ว่า ‘จงรู้แน่ว่า ในวันที่เจ้าออกไป ไม่ว่าไปที่ไหน เจ้าจะต้องตายแน่’? และเจ้าก็ได้ตอบเราว่า ‘ที่พระองค์ตรัสนั้นก็ดีแล้ว’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 43 ทำไมเจ้าจึงไม่ได้รักษาคำสาบานที่ให้ไว้ต่อพระยาห์เวห์ และไม่รักษาคำบัญชาซึ่งเราได้กำชับเจ้า?
|
||
\v 44 กษัตริย์ยังได้ตรัสกับชิเมอีว่า “ในใจของเจ้าเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งหมด ซึ่งเจ้าได้ทำต่อดาวิดพระบิดาของเรา เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะทรงนำเหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของเจ้าเอง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับพระพร และบัลลังก์ของดาวิดจะตั้งมั่นคงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตลอดไป”
|
||
\v 46 แล้วกษัตริย์ได้ทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา เขาก็ได้ออกไปสังหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นการปกครองก็ได้จัดตั้งอย่างดีในพระหัตถ์ของซาโลมอน
|
||
\s5
|
||
\c 3
|
||
\p
|
||
\v 1 ซาโลมอนได้ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พระองค์ได้ทรงรับพระธิดาของฟาโรห์ และได้ทรงนำพระนางมาไว้ในเมืองดาวิด จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มเสร็จ
|
||
\v 2 ประชาชนได้ถวายสัตวบูชาที่สถานสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศในพระนามของพระยาห์เวห์
|
||
\v 3 ซาโลมอนได้แสดงออกถึงความรักของพระองค์ต่อพระยาห์เวห์ ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดพระบิดาของพระองค์ มากกว่านั้นพระองค์ยังได้ทรงถวายสัตวบูชาและทรงเผาเครื่องหอมที่สถานสูง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 กษัตริย์ได้เสด็จไปที่เมืองกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นสถานสูงที่สำคัญยิ่ง ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชาจำนวนพันตัวบนแท่นบูชา
|
||
\v 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนที่เมืองกิเบโอนเป็นพระสุบินในกลางคืน และพระองค์ได้ตรัสว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าจงขอ?”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 ดังนั้นซาโลมอนได้ทูลว่า “พระองค์ทรงแสดงความมั่นคงในพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่แก่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ ผู้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะว่าท่านได้ดำเนินต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความเที่ยงธรรม และด้วยจิตใจซื่อตรงต่อพระองค์ พระองค์ได้ทรงรักษาความมั่นคงในพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่นี้ไว้เพื่อท่าน และได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่านในวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทนที่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี
|
||
\v 8 ผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะนับคำนวณหรือประมาณได้
|
||
\v 9 ดังนั้นขอพระองค์ประทานจิตใจที่เข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อที่จะวินิจฉัยประชาชนของพระองค์ เพื่อจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว เพราะใครจะสามารถวินิจฉัยประชาชนมากมายนี้ของพระองค์ได้?”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 ที่ซาโลมอนได้ทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า
|
||
\v 11 ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ตรัสกับพระองค์ว่า “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้และไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า แต่เจ้าเองได้ขอความสามารถแยกแยะเพื่อจะเข้าใจความยุติธรรม
|
||
\v 12 ดูเถิด บัดนี้เราจะทำตามคำที่เจ้าได้ขอเรา เราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ เพื่อว่าจะไม่มีใครที่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาหลังเจ้าเหมือนเจ้า
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วยทั้งความร่ำรวยและลาภยศ เพื่อจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้ตลอดวันเวลาทั้งหมดของเจ้า
|
||
\v 14 ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา รักษากฎระเบียบและพระบัญญัติของเรา เหมือนดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้น เราก็จะให้อายุของเจ้ายั่งยืนนาน”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 แล้วซาโลมอนก็ได้ทรงตื่นจากบรรทม และดูเถิด เป็นพระสุบิน พระองค์ก็ได้เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงได้ยืนด้านหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา และได้ทรงจัดงานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพารทั้งหมดของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 แล้วหญิงโสเภณีสองคนได้มาเข้าพบกษัตริย์ และได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
|
||
\v 17 หญิงคนหนึ่งได้กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระองค์ ผู้หญิงคนนี้และข้าพระองค์อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และข้าพระองค์ก็คลอดบุตรชายของคนหนึ่งขณะที่นางอยู่ในบ้าน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่สามเมื่อข้าพระองค์คลอดกรุตรแล้วและหญิงคนนี้ก็ได้คลอดกรุตรด้วย ข้าพระองค์ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครอยู่กับพวกข้าพระองค์ในบ้านนั้นเลย ข้าพระองค์ทั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น
|
||
\v 19 แล้วบุตรชายของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับเขา
|
||
\v 20 ดังนั้นพอเที่ยงคืนนางได้ลุกขึ้น และได้เอาบุตรชายของข้าพระองค์ไปจากด้านกายข้าพระองค์ ขณะที่สาวใช้ของพระองค์ได้นอนหลับอยู่ และได้วางเขาไว้ในอกของนาง และนางได้เอาบุตรชายของของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 เมื่อข้าพระองค์ได้ตื่นขึ้นในเวลาเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระองค์กินนม เขาได้ตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระองค์ได้พินิจดูในเวลาเช้า เด็กนั้นไม่ใช่บุตรชายของข้าพระองค์ที่ได้คลอดออกมา”
|
||
\v 22 แต่แล้วหญิงอีกคนหนึ่งได้พูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นบุตรชายของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งได้พูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นบุตรชายของข้า” นี่เป็นวิธีที่พวกนางได้โต้เถียงกันต่อพระพักตร์กษัตริย์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นบุตรชายของข้า ส่วนบุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ บุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรชายของข้ายังมีชีวิตอยู่’”
|
||
\v 24 กษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงได้นำดาบมาไว้ต่อพระพักตร์กษัตริย์
|
||
\v 25 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 แล้วหญิงคนที่บุตรชายของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ทูลกษัตริย์ เพราะว่าจิตใจเต็มไปด้วยความสงสารบุตรชายของนาง และนางจึงได้กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระองค์ โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้นางอีกคนไป และอย่าสังหารเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งได้กราบทูลว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ”
|
||
\v 27 แล้วกษัตริย์ตรัสได้ตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก และอย่าสังหารเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น”
|
||
\v 28 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดได้ทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งกษัตริย์ได้ทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวกษัตริย์ เพราะเขาได้เห็นว่าพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ที่จะทรงวินิจฉัยนั้น
|
||
\s5
|
||
\c 4
|
||
\p
|
||
\v 1 กษัตริย์ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมด
|
||
\v 2 ต่อไปนี้เป็นบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ คือ อาซาริยาห์บุตรชายของศาโดกได้เป็นปุโรหิต
|
||
\v 3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บรรดาบุตรชายของชิชาได้เป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นเจ้ากรมสารบรรณ
|
||
\v 4 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกและอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 อาซาริยาห์บุตรชายของนาธันได้เป็นหัวหน้าข้าราชบริพาร ศากรุดบุตรชายของนาธันได้เป็นปุโรหิตและได้เป็นพระสหายของกษัตริย์
|
||
\v 6 อาหิชาร์ได้เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรชายของอับดาได้เป็นผู้ดูแลคนงานผู้ซึ่งเป็นคนงานโยธา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 ซาโลมอนได้ทรงมีข้าราชบริพารสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งหมด ได้เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับกษัตริย์และสำหรับพระราชสำนัก ข้าราชบริพารแต่ละคนได้จัดหาเสบียงอาหารเพื่อช่วงเวลาเดือนหนึ่งในหนึ่งปี
|
||
\v 8 ต่อไปนี้เป็นชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ หน้าที่ดูแลแดนเทือกเขาเอฟราอิม
|
||
\v 9 เบนเดเคอร์ หน้าที่ดูแลที่มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน
|
||
\v 10 เบนเฮเสด รักษาการที่อารุบโบท (ที่ขึ้นกับเขามีโสโคห์และแผ่นดินทั้งหมดของเฮเฟอร์)
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 เบนอาบีนาดับ รักษาการที่เขตนาฟาทโดร์ทั้งหมด (ท่านได้ทาฟัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นชายา)
|
||
\v 12 บาอานาบุตรชายของอาหิลูดรักษาการที่ทาอานาคและเมกิดโด และเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ด้านศาเรธานที่อยู่ใต้ลงไปจากเมืองยิสเรเอล จากเบธชานจนถึงอาเบลเมโฮลาห์จนถึงอีกด้านหนึ่งของเมืองโยกเมอัม
|
||
\v 13 เบนเกเบอร์ รักษาการที่ราโมทกิเลอาด (ที่ขึ้นกับเขามีหมู่บ้านต่างๆ ของยาอีร์บุตรชายของมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดและเขาได้มีท้องที่อารโกบขึ้นกับเขา ซึ่งอยู่ในบาชาน คือเมืองใหญ่หกสิบเมืองซึ่งมีกำแพงเมือง และสลักกลอนประตูเมืองเป็นทองสัมฤทธิ์)
|
||
\v 14 อาหินาดับบุตรชายของอิดโด รักษาการที่มาหะนาอิม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 อาหิมาอัส รักษาการที่นัฟทาลี (ท่านได้สมรสกับบาเสมัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นชายา)
|
||
\v 16 บาอานาบุตรชายของหุซัย รักษาการที่อาเชอร์และเบอาโลท
|
||
\v 17 เยโฮชาฟัทบุตรชายของปารูอาห์ รักษาการที่อิสสาคาร์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ชิเมอีบุตรชายของเอลา รักษาการที่เบนยามิน
|
||
\v 19 และเกเบอร์บุตรชายของอุรี รักษาการที่แผ่นดินกิเลอาด เมืองของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน มีข้าราชบริพารคนเดียวที่รักษาการที่แผ่นดินนั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลนั้นได้มีจำนวนมากเหมือนเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายได้กินดื่มและมีจิตใจเปรมปรีดิ์
|
||
\v 21 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงปกครองเหนือทุกอาณาจักร จากแม่น้ำไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และไปถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายได้ถวายบรรณาการ และได้รับใช้ซาโลมอนจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์
|
||
\v 22 เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น คือแป้งอย่างดี สามสิบโคระและอาหารหกสิบโคระ
|
||
\v 23 วัวอ้วนสิบตัว วัวจากทุ่งหญ้ายี่สิบตัว แกะหนึ่งร้อยตัว นอกจากนี้มีกวางตัวผู้ เนื้อสมัน อีเก้ง และไก่อ้วน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 เพราะพระองค์ได้ทรงปกครองเหนือท้องถิ่นทั้งหมดทางฟากนี้ของแม่น้ำ จากทิฟสาห์ไปจนถึงเมืองกาซา และได้ทรงปกครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากนี้ของแม่น้ำ และพระองค์ได้ทรงมีสันติสุขอยู่ล้อมรอบของพระองค์
|
||
\v 25 ยูดาห์และอิสราเอลก็ได้อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดช่วงสมัยของซาโลมอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 ซาโลมอนได้มีคอกม้าสี่หมื่นคอกสำหรับรถม้าศึกของพระองค์ และมีทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน
|
||
\v 27 ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็ได้จัดเสบียงอาหารแด่กษัตริย์ซาโลมอน และทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ซาโลมอนก็ได้ถวายสิ่งของตามเดือน พวกเขาไม่ปล่อยให้สิ่งใดขาดไป
|
||
\v 28 พวกเขาได้นำทั้งข้าวบาร์เลย์ไปยังสถานที่ที่สมควร และฟางข้าวพันธุ์ดี สำหรับม้าศึกและม้าขี่ แต่ละคนได้นำมาตามที่เขาสามารถทำได้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 พระเจ้าได้ทรงประทานปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนมาก อีกทั้งความรู้รอบดั่งทรายที่ชายฝั่งทะเล
|
||
\v 30 พระปัญญาของซาโลมอนก็เหนือกว่าปัญญาทั้งหมดของชาวตะวันออกและปัญญาทั้งหมดของอียิปต์
|
||
\v 31 พระองค์ได้ทรงมีพระปัญญามากกว่าทุกคน มากกว่าเอธานตระกูลเอศราค เฮมาน คาลโคล์ และดารดา บุตรชายทั้งหลายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วชนทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 32 พระองค์ได้ตรัสสามพันข้อสุภาษิตและบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท
|
||
\v 33 พระองค์ได้ทรงบรรยายถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ได้ทรงอธิบายถึงสัตว์ต่างๆ ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลาน และปลา
|
||
\v 34 ประชาชนจากชนชาติทั้งหมดก็ได้มาเพื่อฟังพระปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน พวกเขามาจากบรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกคนที่เคยได้ยินถึงพระปัญญาของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\c 5
|
||
\p
|
||
\v 1 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ทรงส่งข้าราชบริพารของท่านมาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่าพวกเขาได้เจิมตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์แทนพระบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามได้เป็นสหายรักของดาวิดตลอดมา
|
||
\v 2 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงส่งพระดำรัสไปยังกษัตริย์ฮีรามว่า
|
||
\v 3 “ท่านรู้ว่า ดาวิดพระบิดาของข้าพเจ้าไม่อาจสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ เพราะสงครามรายล้อมพระองค์อยู่ จนกว่าพระยาห์เวห์จะได้ทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 แต่ตอนนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าได้พักในทุกด้าน ศัตรูหรือความหายนะใดๆ ก็ไม่มี
|
||
\v 5 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับดาวิดพระบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘บุตรชายของเจ้า ผู้ที่เราจะตั้งไว้บนบัลลังก์ของเจ้าแทนเจ้า จะสร้างพระนิเวศเพื่อนามของเรา’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 เหตุฉะนั้น ตอนนี้ขอท่านทรงสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์จากเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า ข้าราชบริพารของข้าพเจ้าจะร่วมกับข้าราชบริพารของท่าน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชบริพารของท่านแก่ท่านตามที่ท่านทรงเห็นดีด้วย เพราะอย่างที่ท่านรู้ว่า ในพวกเรานี้ไม่มีใครรู้จักการตัดไม้เหมือนชาวไซดอน”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 เมื่อกษัตริย์ฮีรามทรงได้ยินถ้อยคำทั้งหลายของซาโลมอน พระองค์ก็ได้ทรงชื่นชมยินดีมากยิ่งและว่า “ขอสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ในวันนี้ ผู้ทรงประทานบุตรชายที่มีปัญญาคนหนึ่งแก่ดาวิดให้อยู่เหนือชนชาติใหญ่นี้”
|
||
\v 8 กษัตริย์ฮีรามได้ทรงส่งคนไปยังกษัตริย์ซาโลมอนทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวท่านทรงส่งมายังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจัดทำตามที่ท่านประสงค์ในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 พวกข้าราชบริพารของข้าพเจ้าจะนำบรรดาไม้ลงมาจากเลบานอนไปถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกไม้เป็นแพมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ ข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแกะแพที่นั่น และขอท่านจงมารับเอา และขอท่านที่จะทำตามความประสสงค์ของข้าพเจ้า คือ ขอท่านทรงส่งเสบียงอาหารแก่วังของข้าพเจ้า”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 ดังนั้นกษัตริย์ฮีรามจึงได้ให้ไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่กษัตริย์ซาโลมอนตามพระประสงค์ทุกอย่าง
|
||
\v 11 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนได้ประทานข้าวสาลีให้กษัตริย์ฮีรามสองหมื่นโคเรเพื่อเป็นอาหารแก่วังของพระองค์ และน้ำมันบริสุทธิ์ยี่สิบโคเร กษัตริย์ซาโลมอนทรงได้ประทานอย่างนี้แก่กษัตริย์ฮีรามทุกปี
|
||
\v 12 พระยาห์เวห์ได้ทรงประทานพระปัญญาแก่กษัตริย์ซาโลมอน ดังที่ได้ทรงสัญญาไว้ และมีสันติภาพระหว่างกษัตริย์ฮีรามกับกษัตริย์ซาโลมอน และทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงระดมแรงงานจากทั่วอิสราเอล คนงานโยธามีสามหมื่นคน
|
||
\v 14 พระองค์ได้ทรงส่งพวกเขาไปยังเลบานอนผลัดละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน หนึ่งเดือนพวกเขาจะอยู่ที่เลบานอนและสองเดือนอยู่บ้าน และอาโดนีรัมได้เป็นผู้ดูแลคนงานโยธา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 กษัตริย์ซาโลมอนได้มีคนงานขนของเจ็ดหมื่นคน และคนตัดหินในภูเขาแปดหมื่นคน
|
||
\v 16 นอกจากนี้ยังมีหัวหน้าข้าราชบริพารของกษัตริย์ซาโลมอนอีก 3,300 คน เป็นผู้ดูแลการทำงาน และเป็นหัวหน้าดูแลประชาชนคนงาน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 กษัตริย์ได้ทรงสั่งพวกเขาให้ตัดหินใหญ่มีมูลค่าออกมา เพื่อเป็นฐานรากของพระวิหาร
|
||
\v 18 ดังนั้นคนงานก่อสร้างของกษัตริย์ซาโลมอน และคนงานก่อสร้างของกษัตริย์ฮีราม และชาวเกบาลก็ได้ตัดและเตรียมท่อนไม้และหินเพื่อสร้างพระวิหาร
|
||
\s5
|
||
\c 6
|
||
\p
|
||
\v 1 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่ 480 หลังจากที่ประชาชนอิสราเอลได้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ นับเป็นปีที่สี่ที่ของการปกครองอิสราเอลของกษัตริย์ซาโลมอน ในเดือนศิฟ ซึ่งเป็นเดือนที่สอง
|
||
\v 2 พระวิหารซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างถวายพระยาห์เวห์นั้นยาวหกสิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงสามสิบศอก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 เฉลียงด้านหน้าห้องโถงของพระวิหารยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระวิหาร และลึกเข้าไปสิบศอกทางด้านหน้าของพระวิหาร
|
||
\v 4 สำหรับพระวิหารพระองค์ทรงสร้างหน้าต่างด้วยวงกบโดยได้ทำให้ข้างนอกแคบกว่าข้างใน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 ติดผนังของห้องโถงพระองค์ทรงสร้างห้องรอบๆ ทั้งห้องด้านนอกและด้านในโดยรอบ พระองค์ทรงสร้างห้องล้อมรอบทุกด้าน
|
||
\v 6 ห้องชั้นล่างสุดกว้างห้าศอก ชั้นกลางกว้างหกศอก และชั้นที่สามกว้างเจ็ดศอก สำหรับส่วนด้านนอก พระองค์ทรงสร้างขอบยื่นออกมาจากผนังของพระวิหารโดยรอบทั้งหมด เพื่อคานหนุนจะไม่ได้สอดเข้าไปในผนังของพระวิหาร
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 พระวิหารนั้นก็สร้างด้วยหิน ซึ่งเตรียมมาจากบ่อหิน ในระหว่างการก่อสร้างจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวาน หรือเครื่องมือเหล็กใดๆ ในพระวิหาร
|
||
\v 8 ทางด้านทิศใต้ของพระวิหารคือ ทางเข้าที่พื้นชั้นล่างสุด แล้วคนได้ขึ้นโดยบันไดไปยังระดับกลางและจากระดับกลางไปยังระดับที่สาม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 ดังนั้นซาโลมอนได้ทรงสร้างพระวิหารและสร้างจนเสร็จ พระองค์ทรงมุงพระวิหารด้วยไม้ท่อนและกระดานไม้สนสีดาร์
|
||
\v 10 พระองค์ทรงสร้างห้องรอบพระวิหาร แต่ละด้านสูงห้าศอก โดยได้เชื่อมติดกับตัวพระวิหารโดยใช้คานไม้สนสีดาร์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า
|
||
\v 12 “เกี่ยวเนื่องกับพระวิหารนี้ซึ่งเจ้ากำลังสร้างอยู่ ถ้าเจ้าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา และเชื่อฟังกฎของเราและกระทำความยุติธรรม และรักษาพระบัญญัติทั้งหมดของเรา โดยปฏิบัติตาม แล้วเราก็ยืนยันคำสัญญาของเรากับเจ้าซึ่งเราได้ทำไว้กับดาวิดบิดาของเจ้า
|
||
\v 13 เราจะอยู่ท่ามกลางประชาชนอิสราเอล และจะไม่ละทิ้งพวกเขาเลย”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงสร้างพระวิหารจนแล้วเสร็จ
|
||
\v 15 แล้วพระองค์ทรงกรุผนังด้านในด้วยบรรดากระดานไม้สนสีดาร์ จากพื้นพระวิหารจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุด้านในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูทับพื้นพระวิหารด้วยบรรดาไม้สนสามใบ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 พระองค์ทรงสร้างด้านหลังของพระวิหารตั้งแต่พื้นจนถึงไม้เพดานด้วยบรรดากระดานไม้สนสีดาร์สูงยี่สิบศอก พระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายในนี้เป็นห้องด้านในสุด คืออภิสุทธิสถาน
|
||
\v 17 ห้องโถงหลักอยู่ด้านหน้าของอภิสุทธิสถาน ยาวสี่สิบศอก
|
||
\v 18 ส่วนด้านในพระวิหารที่เป็นไม้สนสีดาร์นั้นแกะสลักเป็นรูปน้ำเต้า และดอกไม้บาน ด้านในทั้งหมดทำจากไม้สนสีดาร์ ไม่มีงานที่ใช้หินให้เห็นเลยทางด้านใน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงจัดเตรียมห้องชั้นในสุดไว้ด้านในพระวิหาร เพื่อตั้งหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้
|
||
\v 20 ห้องชั้นในสุดนั้นยาวยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงยี่สิบศอก กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุผนังด้วยทำจากทองคำบริสุทธิ์และได้ทรงกรุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุด้านในพระวิหารด้วยทำจากทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงร้อยโซ่ทำจากทองคำหน้าห้องชั้นในสุด และกรุด้านหน้าด้วยทำจากทองคำ
|
||
\v 22 พระองค์ทรงกรุพระวิหารด้านในทั้งหลังด้วยทำจากทองคำ จนพระวิหารนั้นสำเร็จทั้งหมด พระองค์ทรงกรุแท่นบูชาทั้งแท่นที่เป็นของห้องชั้นในสุดด้วยทำจากทองคำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างเครูบสองตนด้วยไม้มะกอก แต่ละองค์สูงสิบศอกในห้องชั้นในสุด
|
||
\v 24 ปีกด้านหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก และปีกอีกด้านหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก จากปลายปีกด้านหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกด้านหนึ่งเป็นห่างกันสิบศอก
|
||
\v 25 เครูบอีกตนหนึ่งมีระยะช่วงปีกเป็นสิบศอก เครูบทั้งสองตนมีขนาดเท่ากัน และรูปร่างอย่างเดียวกัน
|
||
\v 26 ความสูงของเครูบตนหนึ่งเป็น สิบศอก และเครูบอีกตนหนึ่งก็เหมือนกัน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 กษัตริย์ซาโลมอนทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระวิหาร ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่ออีกปีกหนึ่งจะจรดผนังด้านหนึ่ง และปีกของเครูบอีกตนหนึ่งจรดผนังอีกด้านหนึ่ง ปีกของเครูปทั้งสองตนต่างก็มาจรดกันตรงกลางของอภิวิสุทธิสถาน
|
||
\v 28 กษัตริย์ซาโลมอนทรงหุ้มเครูบด้วยทำจากทองคำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 พระองค์ทรงแกะสลักผนังของพระวิหารนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานทั้งห้องด้านในและห้องด้านนอก
|
||
\v 30 กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุพื้นของพระวิหารนั้น ด้วยทำจากทองคำทั้งด้านนอกและด้านใน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำบานประตูคู่จากไม้มะกอกสำหรับทางเข้าสู่ห้องชั้นในสุด ทับหลังและวงกบประตูได้ทำเป็นรูปห้าเหลี่ยม
|
||
\v 32 ดังนั้นพระองค์ได้ทรงทำประตูด้วยไม้มะกอก และพระองค์จึงทรงแกะสลักบานประตูทั้งคู่เป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน พระองค์ทรงกรุบานประตูด้วยทำจากทองคำ และพระองค์ทรงแผ่ทองคำติดเครูบและบรรดาต้นอินทผลัม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 ด้วยวิธีนี้กษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงทำวงกบประตูทางเข้าพระวิหารด้วยไม้มะกอกเป็นรูปสี่เหลี่ยม
|
||
\v 34 และทรงทำประตูสองประตูด้วยไม้สนสามใบ บานประตูสองบานของประตูหนึ่งพับหากันได้ และอีกสองบานของอีกประตูหนึ่งก็พับได้เช่นกัน
|
||
\v 35 พระองค์ทรงแกะสลักเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานบนบานประตู และพระองค์ทรงกรุด้วยทำจากทองคำอย่างทั่วกันบนงานแกะสลักนั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 36 พระองค์ทรงสร้างลานชั้นในด้วยกำแพงหินตัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 37 ฐานรากของพระวิหารของพระยาห์เวห์ทรงถูกวางในปีที่สี่ของเดือนศิฟ
|
||
\v 38 ในปีที่สิบเอ็ดในเดือนบูล ซึ่งเป็นเดือนที่แปด พระวิหารนั้นก็ได้สำเร็จหมดทุกส่วน และตามที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างพระวิหารนั้นเจ็ดปี
|
||
\s5
|
||
\c 7
|
||
\p
|
||
\v 1 กษัตริย์ซาโลมอนทรงใช้เวลาสิบสามปีเพื่อสร้างพระราชวังของพระองค์
|
||
\v 2 พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักชื่อ ป่าแห่งเลบานอน ยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก และสูงสามสิบศอก พระตำหนักได้สร้างบนไม้สนสีดาร์สี่ชุด มีคานไม้สนสีดาร์บนเสา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 พระตำหนักถูกมุงด้วยไม้สนสีดาร์บนคาน คานเหล่านั้นได้พยุงเสา มีคานสี่สิบห้าต้น แถวละสิบห้าต้น
|
||
\v 4 มีคานสามแถว และหน้าต่างแต่ละบานอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามชุด
|
||
\v 5 ประตูและเสาทั้งหมดเป็นรูปสี่เหลี่ยมพร้อมคาน และหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามชุด
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 มีระเบียงใหญ่ยาวห้าสิบศอก และกว้างสามสิบศอก มีมุขบันไดด้านหน้า พร้อมเสาและหลังคา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างท้องพระโรงพระที่นั่ง เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพิพากษา คือท้องพระโรงวินิจฉัย ซึ่งกรุด้วยไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงพื้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 พระราชวังของกษัตริย์ซาโลมอนที่ซึ่งพระองค์จะได้ประทับนั้น อยู่ที่ลานอีกแห่งหนึ่งหลังท้องพระโรง ก็เป็นการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน พระองค์ยังทรงสร้างพระราชวังเหมือนท้องพระโรงนี้เพื่อพระธิดาของฟาโรห์ ผู้ซึ่งพระองค์รับมาเป็นมเหสี
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 อาคารเหล่านี้ได้สร้างด้วยหินอันมีค่าที่ตัดออกมาตามขนาด และตัดด้วยเลื่อยและขัดเรียบทั้งด้านในและด้านนอก หินเหล่านี้ใช้ตั้งแต่ฐานรากถึงด้านบนสุด และมีตั้งแต่ด้านนอกถึงลานใหญ่
|
||
\v 10 ฐานรากนั้นได้ทำด้วยหิน ขนาดใหญ่อันมีมูลค่า ยาวแปดศอกและสิบศอก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 ส่วนบนก็เป็นหินอันมีมูลค่าตัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์
|
||
\v 12 โถงใหญ่รอบพระราชวังมีหินตัดสามชั้นและคานไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น อย่างโถงชั้นในพระวิหารของพระยาห์เวห์ และมุขบันไดของพระวิหาร
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงใช้คนไปตามฮูราม และนำเขามาจากเมืองไทระ
|
||
\v 14 ฮูรามเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี บิดาของเขาเป็นชาวเมืองไทระ และเป็นช่างทองสัมฤทธิ์ ฮูรามได้เต็มเปี่ยมด้วยปัญญา ความเข้าใจ และฝีมือเชี่ยวชาญที่จะทำงานกับทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น เขาได้มาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอนและทำงานด้วยทองสัมฤทธิ์เพื่อกษัตริย์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 ฮูรามได้ตกแต่งเสาทองสัมฤทธิ์สองเสา แต่ละเสาสูง สิบแปดศอก และสิบสองศอกในเส้นรอบวง
|
||
\v 16 เขาได้ทำบัวหัวเสาสองอันด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมัน เพื่อจะวางไว้บนยอดเสา บัวหัวเสาแต่ละอันสูงห้าศอก
|
||
\v 17 รางตาข่ายเป็นตาหมากรุกและมาลัยโซ่สำหรับตกแต่งบัวที่อยู่บนหัวเสา เจ็ดอันสำหรับเสาแต่ละอัน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ดังนั้นฮูรามจึงทำลูกทับทิมสองแถวล้อมบนยอดแต่ละเสาเพื่อตกแต่งเสาเหล่านั้น
|
||
\v 19 ส่วนบัวซึ่งอยู่บนยอดเสาที่อยู่ในมุขบันไดนั้นได้ตกแต่งด้วยดอกพลับพลึง สูงสี่ศอก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 บัวหัวบนเสาสองต้นนั้น อยู่รวมใกล้กับส่วนบนมาก มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่รายล้อม
|
||
\v 21 เขาได้ตั้งเสาไว้ที่มุขบันไดพระวิหาร เสาด้านขวามีชื่อว่ายาคีน และเสาด้านซ้ายมีชื่อว่าโบอัส
|
||
\v 22 บนยอดเสาเหล่านั้นตกแต่งคล้ายดอกพลับพลึง การแต่งเสาจึงทำเสร็จด้วยวิธีนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 ฮูรามได้ทำอ่างทะเลกลมจากโลหะหล่อ วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดอ่างทะเลโดยรอบได้สามสิบศอก
|
||
\v 24 ด้านใต้ขอบรอบอ่างทะเลนั้นได้หล่อเป็นรูปน้ำเต้า สิบลูกทุกระยะหนึ่งศอก ทำเป็นชิ้นเดียวกันกับอ่างทะเลเวลาเดียวกันกับหล่ออ่าง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 อ่างทะเลนั้นตั้งอยู่บนวัวสิบสองตัว โดยสามตัวหันหน้าไปทางเหนือ สามตัวหันหน้าไปทางตะวันตก สามตัวหันหน้าไปทางใต้ และสามตัวหันหน้าไปทางตะวันออก อ่างทะเลวางบนพวกวัว และโดยให้ส่วนหลังของวัวทุกตัวอยู่ด้านใน
|
||
\v 26 อ่างหนาเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ และที่ขอบอ่างได้ทำคล้ายขอบถ้วย คล้ายดอกพลับพลึงกำลังบาน อ่างมีความจุสองพันบัท
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 ฮูรามได้ทำแท่นทองสัมฤทธิ์สิบแท่น แต่ละแท่นนั้นยาวแปดศอก และกว้างสี่ศอก และสูงสามศอก
|
||
\v 28 งานของแท่นได้เป็นอย่างนี้ แท่นได้มีแผงซึ่งตั้งระหว่างกรอบ
|
||
\v 29 และบนแผงและกรอบมีรูปสิงโต โค และพวกเครูบ เหนือกรอบที่อยู่ข้างบนและข้างล่างสิงโตและโคมีพวงมาลัยย้อย เป็นงานของช่างตี
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 30 ทุกแท่นได้มีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อกับเพลาทองสัมฤทธิ์ และที่มุมทั้งสี่มีที่รองรับอ่าง ที่รองรับนั้นได้หล่อโดยมีมาลัยห้อยแต่ละด้าน
|
||
\v 31 ช่องเปิดเป็นทรงกลมอย่างที่เขาทำฐาน กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และช่องเปิดด้านในคล้ายมงกุฎตั้งขึ้นมาหนึ่งศอก ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นเป็นสี่เหลี่ยมไม่กลม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผง และเพลาล้อนั้นติดกับล้อและแท่นล้อ ความสูงของล้อเป็นหนึ่งศอกครึ่ง
|
||
\v 33 บรรดาล้อนั้นได้ตีเหล็กเหมือนล้อรถม้าศึก ทั้งเพลา ขอบล้อ ซี่ล้อ และดุมล้อก็หล่อจากโลหะทั้งหมด
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 34 แต่ละแท่นมีที่รองรับอยู่ที่มุมทั้งสี่ แท่นที่รองรับนั้นตีเหล็กรวมเป็นชิ้นเดียวกัน
|
||
\v 35 บนยอดแท่นมีแถบกลมสูงหนึ่งศอกครึ่ง และบนอดแท่นนั้นมีกรอบและแผงเชื่อมเป็นอันเดียวกันกับแท่น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 36 ที่บนพื้นกรอบและบนแผง ฮูรามได้สลักเป็นรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัมตามที่ว่าง และแต่ละสิ่งก็มีมาลัยล้อมรอบ
|
||
\v 37 เขาได้ทำแท่นทั้งสิบชิ้นตามอย่างนี้ หล่อเหมือนกันหมดทุกชิ้น ขนาดเดียวกัน และรูปร่างเหมือนกัน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 38 ฮูรามได้ทำอ่างด้วยทองสัมฤทธิ์สิบใบ อ่างหนึ่งใบสามารถจุน้ำได้สี่สิบบัท อ่างแต่ละใบขนาดสี่ศอก และมีอ่างหนึ่งใบอยู่บนแท่นทั้งสิบแท่น
|
||
\v 39 เขาได้ทำแท่นห้าแท่นหันหน้าไปทางด้านใต้ของพระวิหาร และห้าแท่นหันหน้าไปทางด้านเหนือของพระวิหาร เขาได้วาง"อ่างทะเล"ไว้ที่มุมทางทิศตะวันออก หันหน้าไปทางทิศใต้ของพระวิหาร
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 40 ฮูรามได้ทำอ่าง ทัพพี และชามด้วย แล้วเขาก็ได้เสร็จงานทั้งหมด ที่เขาได้ทำถวายกษัตริย์ซาโลมอน สำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์
|
||
\v 41 เสาสองต้น และคิ้วบัวได้อยู่บนทั้งสอง หัวเสา และผ้าตาข่ายสองหลัง ซึ่งหุ้มคิ้วบัวทั้งสองที่อยู่บนหัวเสา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 42 เขาได้ทำลูกทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับผ้าตาข่ายสองหลัง (ผ้าตาข่ายหลังหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวซึ่งอยู่บนเสา)
|
||
\v 43 แท่นทั้งสิบชิ้นและอ่างสิบใบซึ่งอยู่บนแท่นเหล่านั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 44 เขาได้ทำอ่างใหญ่ที่เรียกว่า "ทะเล" ทั้งวัวสิบสองตัวที่อยู่ด้านใต้
|
||
\v 45 นอกจากนี้ยังมี หม้อ ทัพพี อ่าง และภาชนะทั้งหมด ฮูรามได้ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมันถวายกษัตริย์ซาโลมอน สำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 46 กษัตริย์ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน และในที่เป็นดินเหนียวกลางทางไปเมืองสุคคท และเมืองศาเรธาน
|
||
\v 47 กษัตริย์ซาโลมอนไม่ได้ทรงวัดเครื่องใช้ทุกอย่างนี้ เพราะมีมากมาย จึงไม่ได้หาน้ำหนักของทองสัมฤทธิ์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 48 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงทำเครื่องใช้ทั้งหมดซึ่งอยู่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ทำจากทองคำ คือแท่นบูชาทำจากทองคำ และโต๊ะทำจากทองคำที่ใช้วางขนมปังเฉพาะพระพักตร์
|
||
\v 49 คันประทีป ด้านขวาห้าอัน ด้านซ้ายห้าอัน อยู่หน้าห้องชั้นในสุด ทำจากทองคำบริสุทธิ์ และดอกไม้ ตะเกียง และคีมทำทำจากทองคำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 50 ถ้วย กรรไกรตัดไส้ตะเกียง อ่าง ช้อน และกระถางธูปทั้งหมดล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ ยังมีบานพับทำจากทองคำสำหรับประตูของส่วนชั้นในห้องซึ่งคืออภิสุทธิสถานและสำหรับประตูห้องโถงของพระวิหาร ทั้งหมดล้วนทำจากทองคำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 51 ด้วยวิธีนี้งานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำเกี่ยวกับพระวิหารของพระยาห์เวห์ก็ได้สำเร็จลง ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงนำสิ่งของซึ่งดาวิดพระบิดาได้ทรงแยกไว้คือเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องใช้ต่างๆมา และทรงเก็บไว้ในคลังพระวิหารของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\c 8
|
||
\p
|
||
\v 1 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนทรงเรียกประชุมพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลและพวกหัวหน้าของเผ่าต่างๆ และหัวหน้าครอบครัวของคนอิสราเอลทั้งหมดต่อพระพักตร์พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์เมืองของดาวิดมานั่นคือศิโยน
|
||
\v 2 ผู้ชายทั้งหมดของอิสราเอลจึงมาประชุมกันต่อพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนที่งานเลี้ยงในเดือนเอธานิมซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 พวกผู้อาวุโสทั้งหมดของอิสราเอลได้มาและพวกปุโรหิตจึงได้ยกหีบมา
|
||
\v 4 พวกเขาได้นำหีบของพระยาห์เวห์ เต็นท์นัดพบ อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่บริสุทธิ์ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในเต็นท์ขึ้นมา พวกปุโรหิตและพวกเลวีได้นำของเหล่านี้ขึ้นมา
|
||
\v 5 กษัตริย์ซาโลมอนทรงมาประชุมทั้งบรรดาที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลต่อหน้าหีบพันธสัญญา และได้ถวายแกะและวัวจนมากมายจนไม่อาจนับได้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 ปุโรหิตได้ไปเอาหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มายังที่วางหีบ ในห้องชั้นในสุดของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน ภายใต้ปีกของเครูบ
|
||
\v 7 เพราะเครูบนั้นกางปีกทั้งคู่ออกเหนือที่ตั้งของหีบ พวกเครูบจึงได้กางเหนือหีบ และไม้คานซึ่งใช้หามหีบ
|
||
\v 8 ไม้คานหามนั้นยาวมาก จึงเห็นปลายคานหามได้จากวิสุทธิสถาน ซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องชั้นในสุด แต่ไม่อาจมองเห็นจากภายนอก คานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนถึงวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 ไม่มีสิ่งใดในหีบนอกจากหินสองแผ่น ซึ่งโมเสสใส่ไว้ที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงทำพันธสัญญากับประชาชนอิสราเอล เมื่อพวกเขาได้ออกมาจากดินแดนอียิปต์
|
||
\v 10 ต่อมาเมื่อพวกปุโรหิตได้ออกมาจากวิสุทธิสถาน พระวิหารของพระยาห์เวห์ก็ได้เต็มไปด้วยเมฆ
|
||
\v 11 จนพวกปุโรหิตไม่อาจยืนปรนนิบัติอยู่ได้เพราะเมฆ เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระวิหารของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 12 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนจึงตรัสว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่า พระองค์จะประทับในความมืดมิด
|
||
\v 13 แต่ข้าพระองค์ได้สร้างที่ประทับที่สูงส่งสำหรับพระองค์ เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะสถิตอยู่ตลอดไป”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 แล้วกษัตริย์ทรงหันมา และทรงอวยพรที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งปวงขณะที่ที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งหมดกำลังยืนอยู่
|
||
\v 15 พระองค์ได้ตรัสว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงสัญญากับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์และทรงให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ตรัสว่า
|
||
\v 16 ‘นับจากวันที่เราได้นำอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์ เราไม่ได้กำหนดเมืองใดจากทุกเผ่าในอิสราเอลเพื่อจะสร้างพระวิหาร เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามเราได้เลือกดาวิดให้อยู่ปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 บัดนี้ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์มีพระทัยแน่วแน่ที่จะสร้างพระวิหารสำหรับพระนามแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล
|
||
\v 18 แต่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘ตามที่เจ้าได้ตั้งใจสร้างพระวิหารสำหรับนามของเรานั้น เจ้าก็ได้ทำดีแล้ว ในเรื่องความแน่วแน่ของเจ้า
|
||
\v 19 แม้กระนั้นเจ้าจะไม่ได้สร้างพระวิหาร แต่บุตรชายผู้เกิดจากบั้นเอวของเจ้าจะสร้างพระวิหารสำหรับนามของเรา’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 พระยาห์เวห์ทรงให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จตามที่ได้ตรัสไว้นั้น เพราะข้าพระองค์ได้ขึ้นมาแทนที่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ และนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ ข้าพระองค์ได้สร้างพระวิหารสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
|
||
\v 21 ข้าพระองค์ได้กำหนดสถานที่วางหีบที่นั่น ที่บรรจุพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำกับบรรพบุรุษของพวกเรา เมื่อครั้งพระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 กษัตริย์ซาโลมอนทรงยืนอยู่หน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ต่อหน้าที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งปวงและได้กางพระหัตถ์ของพระองค์ออกสู่ท้องฟ้า
|
||
\v 23 พระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ใดเหมือนพระองค์ในฟ้าเบื้องบน หรือที่ดินแดนเบื้องล่าง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญา ด้วยความสัตย์ซื่อแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยหมดจิตใจ
|
||
\v 24 พระองค์ได้ทรงรักษาพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ใช่แล้ว พระองค์ได้ตรัสด้วยด้วยพระโอษฐ์และทรงทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ในวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้ดำเนินตามสิ่งที่พระองค์ได้ให้พระสัญญาที่ให้ไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ คือให้กับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้ชายผู้หนึ่งต่อสายตาเราที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล ถ้าเพียงแต่ลูกหลานของเจ้าจะรักษาทางของเขาที่ดำเนินไปต่อหน้าเราด้วยความระมัดระวัง เหมือนอย่างที่เจ้าได้กระทำต่อหน้าเรานั้น’
|
||
\v 26 บัดนี้ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล ข้าพระองค์ขอให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ คือดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ให้เป็นความจริง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 แต่พระเจ้าจะทรงประทับบนดินแดนโลกอย่างนั้นหรือ? ดูเถิด จักรวาลทั้งหมดและฟ้าเองยังไม่อาจจะรองรับพระองค์ได้ แล้วพระวิหารที่ข้าพระองค์ได้สร้างขึ้นอันน้อยนิดจะรองรับพระองค์ได้มากสักเท่าใด
|
||
\v 28 แม้กระนั้น ขอพระองค์โปรดสนพระทัยในคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนของเขา ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ขอพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดูพระวิหารนี้ทั้งวันและคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า ‘สร้างในนามของเราและเราจะอยู่ที่นั่น’ แล้วพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะอธิษฐานในสถานที่นี้
|
||
\v 30 ดังนั้นขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อพวกเขาอธิษฐานในสถานที่นี้ ใช่แล้ว พระองค์เองทรงสดับจากสถานที่ประทับของพระองค์คือจากฟ้า และเมื่อทรงสดับก็จะโปรดทรงอภัยโทษบาป
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 ถ้าผู้ชายผู้หนึ่งทำบาปต่อเพื่อนบ้านของเขา และถูกบังคับให้ทำการสาบาน และถ้าเขามาทำการสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในพระวิหารนี้
|
||
\v 32 ขอพระองค์ทรงสดับในท้องฟ้าและโปรดทรงกระทำ โปรดทรงพิพากษาเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ โดยลงโทษผู้ทำผิด และให้การกระทำของเขาตกบนศีรษะของเขา และตัดสินว่าผู้เที่ยงธรรมนั้นบริสุทธิ์ โดยประทานรางวัลให้กับเขาตามความเที่ยงธรรมของเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 เมื่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะได้ทำผิดบาปต่อพระองค์ แล้วถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ อธิษฐานและขอพระเมตตาต่อพระองค์ในพระวิหารนี้
|
||
\v 34 แล้วขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าและทรงอภัยบาปของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงนำพวกเขากลับมายังดินแดน ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 35 เมื่อฟ้าทั้งหลายปิดอยู่และไม่มีฝน เพราะพวกเขาได้ทำผิดบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาได้อธิษฐานในสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปผิดของเขา เนื่องจากพระองค์ได้ทรงลงโทษพวกเขา
|
||
\v 36 แล้วก็โปรดทรงสดับในฟ้า และทรงอภัยบาปผิดของอิสราเอลซึ่งเป็นผู้รับใช้และประชาชนของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีซึ่งพวกเขาควรจะดำเนินไป ขอประทานฝนตกบนดินแดนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้เป็นมรดกแก่ประชาชนของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 37 ถ้ามีการกันดารอาหารในดินแดน ถ้ามีโรคระบาด ถ้ามีข้าวลีบ ข้าวขึ้นรา ภัยจากตั๊กแตนหรือหนอนผีเสื้อ หรือถ้าศัตรูโจมตีประตูเมืองใดๆ ของเขาในดินแดน หรือมีภัยพิบัติใด หรือเกิดความเจ็บไข้ใด
|
||
\v 38 และหากคำอธิษฐานหรือคำขอของคนหนึ่งคนใด หรืออิสราเอลประชาชนทั้งหมดของพระองค์ ได้สำนึกในใจของเขาเรื่องภัยพิบัติ โดยกางมือของเขาสู่พระวิหารนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 39 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และโปรดทรงอภัย และทรงกระทำการและประทานรางวัลแก่แต่ละคนตามการประพฤติทั้งหมดของเขา ซึ่งพระองค์ทรงทราบจิตใจ เพราะพระองค์เท่านั้นทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทุกคน
|
||
\v 40 ทรงกระทำการนี้เพื่อพวกเขาจะได้ยำเกรงพระองค์ ตลอดวันเวลาที่มีชีวิตบนดินแดน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 มากกว่านั้น เกี่ยวกับคนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ แต่มาจากแดนไกลเนื่องจากพระนามของพระองค์
|
||
\v 42 เพราะพวกเขาจะได้ยินถึงพระนามยิ่งใหญ่ และถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และถึงพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานในพระวิหารนี้
|
||
\v 43 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และโปรดทรงทำตามทุกสิ่งซึ่งคนต่างด้าวได้ทูลขอพระองค์ โปรดทรงทำเพื่อชนทุกชาติแห่งดินแดนโลกจะรู้จักพระนามของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนทรงทำต่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงทำเพื่อพวกเขาจะทราบว่า พระวิหารนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้ด้วยพระนามของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 44 ถ้าประชาชนของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรู โดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้พวกเขาออกไปก็ตาม และพวกเขาได้อธิษฐานต่อพระองค์ พระยาห์เวห์ ตรงไปยังเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และตรงไปยังพระวิหารที่ข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์
|
||
\v 45 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของพวกเขาในฟ้า และขอความช่วยเหลือแก่พวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 46 ถ้าพวกเขาทำผิดบาปต่อพระองค์ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดไม่ได้ทำผิดบาป และพระองค์กริ้วพวกเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู แล้วพวกเขาก็ถูกจับเขาไปเป็นเชลยยังดินแดนของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้
|
||
\v 47 แล้วถ้าเขาสำนึกผิดในดินแดนที่เขาถูกจับไปเป็นเชลย และได้กลับใจ แล้วขอความเมตตาต่อพระองค์ในดินแดนพวกเขาถูกจับเขาไปเป็นเชลยทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำความผิดรุนแรงและทำบาป ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติอย่างชั่วร้าย’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 48 ถ้าพวกเขากลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตหมดจิตใจ ในดินแดนแห่งศัตรูผู้จับเขาไปเป็นเชลย และถ้าเขาอธิษฐานต่อพระองค์ตรงไปยังดินแดน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และไปยังเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และพระวิหารซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์แล้ว
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 49 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานและคำวิงวอนเพื่อขอความช่วยเหลือของพวกเขาในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา
|
||
\v 50 โปรดทรงอภัยประชาชนของพระองค์ผู้ทำบาปซึ่งฝ่าฝืนต่อพระบัญชาของพระองค์ และทรงอภัยต่อการทรยศที่พวกเขาได้ทำต่อพระองค์ และขอให้พระองค์ประทานความเมตตาต่อพวกเขาก่อนที่ศัตรูจับพวกเขาไปเป็นเชลย เพื่อศัตรูจะได้เมตตาประชาชนของพระองค์ด้วย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 51 พวกเขาเป็นประชาชนของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือก ซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ออกมาจากอียิปต์ ดุจออกจากท่ามกลางเตาซึ่งเหล็กถูกหลอม
|
||
\v 52 ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้ทรงลืมพระเนตรของพระองค์อยู่ต่อคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำวิงวอนของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงฟังเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาร้องต่อพระองค์
|
||
\v 53 เพราะพระองค์ทรงแยกพวกเขาจากท่ามกลางชนทุกชาติแห่งแผ่นดินโลก ให้เป็นสมบัติของพระองค์และรับพระสัญญาของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 54 ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งหมดนี้ต่อพระยาห์เวห์แล้ว พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ จากที่ทรงคุกเข่าทั้งกางพระหัตถ์สู่ฟ้า
|
||
\v 55 พระองค์ได้ทรงยืน และทรงอวยพรแก่ที่ชุมนุมอิสราเอลด้วยเสียงดังว่า
|
||
\v 56 “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานการหยุดพักแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ ตามที่ทรงสัญญาไว้ทุกประการ พระสัญญาอันดีทั้งหมดของพระองค์ซึ่งทรงสัญญาทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์นั้นไม่ล้มเหลวสักคำเดียว
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 57 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลายสถิตกับพวกเรา เหมือนอย่างที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเรา ขออย่าทรงละเราหรือละทิ้งพวกเราเลย
|
||
\v 58 แต่ขอพระองค์ทรงโน้มจิตใจของพวกเราให้มาหาพระองค์ เพื่อดำเนินในทางทั้งหมดของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 59 ขอให้ถ้อยคำเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าได้วิงวอนต่อพระยาห์เวห์ อยู่ใกล้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทั้งวันและคืน และโปรดทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามความจำเป็นในแต่ละวัน
|
||
\v 60 เพื่อชนทุกชาติแห่งดินแดนโลกจะทราบว่า พระยาห์เวห์นั้นทรงเป็นพระเจ้า ไม่มีพระอื่นเลย
|
||
\v 61 เพราะฉะนั้นขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราคือ ดำเนินอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ดังในวันนี้”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 62 ดังนั้นกษัตริย์และคนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ ได้ถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์
|
||
\v 63 กษัตริย์ซาโลมอนได้ถวายสัตวบูชาเป็นเครื่องถวายสันติบูชาซึ่งพระองค์ได้ทรงถวายแด่พระยาห์เวห์ คือวัว สองหมื่นสองพันตัว และแกะ 120,000 ตัว ดังนั้นกษัตริย์และประชาชนอิสราเอลทั้งหมด จึงอุทิศถวายพระวิหารของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 64 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ เพราะว่าพระองค์ทรงใช้ที่นั่นถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของสันติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์นั้น เล็กเกินกว่าจะรับเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของสันติบูชาได้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 65 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงจัดฉลองงานเลี้ยงในเวลานั้น ทั้งอิสราเอลทั้งหมด เป็นการชุมนุมใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลโบฮามัทจนถึงลำธารอียิปต์ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทั้งเจ็ดวันและต่ออีกเจ็ดวัน รวมสิบสี่วัน
|
||
\v 66 พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ และพวกเขาจึงถวายพระพรแด่กษัตริย์ และกลับไปยังบ้านของตนด้วยจิตใจชื่นบานและยินดี เนื่องด้วยความดีทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\c 9
|
||
\p
|
||
\v 1 หลังจากกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์และพระราชวังของกษัตริย์ รวมทั้งพระองค์ทรงสร้างสำเร็จทุกสิ่งซึ่งพระองค์ทรงมีพระประสงค์นั้น
|
||
\v 2 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่กษัตริย์ซาโลมอนเป็นครั้งที่สอง เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงปรากฏแก่พระองค์ที่เมืองกิเบโอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับพระองค์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้า ซึ่งเจ้าได้อ้อนวอนต่อเรานั้นแล้ว เราได้ชำระวิหารนี้ซึ่งเจ้าได้สร้างนี้ให้บริสุทธิ์สำหรับเราเอง และใส่นามของเราไว้ที่นั่นตลอดไป ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 และส่วนเจ้า ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราเหมือนอย่างดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนิน ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยความเที่ยงธรรม และทำทั้งสิ้นตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ อีกทั้งรักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา
|
||
\v 5 แล้วเราจะแต่งตั้งราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเจ้าเหนืออิสราเอลตลอดไป ดังที่เราได้กล่าวกับดาวิดพระบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้สืบเชื้อสายที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายหรือลูกหลานหันไปจากการติดตามเรา และไม่ได้รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้ตั้งไว้ต่อหน้าพวกเจ้า แต่ไปนมัสการพระอื่นๆ และก้มกราบพระเหล่านั้น
|
||
\v 7 แล้วเราจะตัดอิสราเอลออกเสียจากดินแดนซึ่งเราได้ให้แก่พวกเขา และเราจะขว้างวิหารซึ่งเราทำให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเราไปจากสายตาของเรา และอิสราเอลจะเป็นคำเปรียบเปรยที่ถูกล้อเลียน และเป็นที่น่าเยาะเย้ยในหมู่ชนชาติทั้งหลาย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 พระวิหารนี้จะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และทุกคนที่ผ่านไปจะประหลาดใจ และจะเยาะเย้ยและพวกเขาจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงทำเช่นนี้แก่ดินแดนนี้และพระวิหารนี้?’
|
||
\v 9 แแล้วพวกคนทั้งหลายก็จะตอบว่า ‘เพราะพวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ผู้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ และได้ไปยึดถือพระอื่น อีกทั้งได้ก้มกราบและนมัสการพระอื่น ๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงนำภัยพิบัติทั้งหมดนี้มาเหนือพวกเขา’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 ต่อมาเมื่อหมดสุดปีที่ยี่สิบ ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างอาคารสองหลัง คือพระวิหารของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของกษัตริย์
|
||
\v 11 บัดนี้ฮีรามกษัตริย์แห่งไทระจึงส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทำจากทองคำให้กษัตริย์ซาโลมอน ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนได้ใช้ตกแต่งตามพระประสงค์ แล้วกษัตริย์ซาโลมอนก็ประทานเมืองในดินแดนกาลิลีแก่ฮีรามยี่สิบเมือง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 12 ฮีรามได้เสด็จจากเมืองไทระเพื่อชมเมืองที่กษัตริย์ซาโลมอนประทานแก่พระองค์ แต่เมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์
|
||
\v 13 ดังนั้นฮีรามจึงได้ตรัสว่า “น้องชายเอ๋ย เมืองที่ท่านให้เรานั้นเป็นเมืองอะไรอย่างนี้?” พระองค์จึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่า ดินแดนคาบูล ซึ่งพวกเขายังคงเรียกชื่อจนถึงทุกวันนี้
|
||
\v 14 ฮีรามได้ส่งทำจากทองคำหนัก 120 ตะลันต์แก่กษัตริย์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 ต่อไปนี้เรื่องของการจัดหาแรงงาน ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนให้มาสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของพระองค์เอง ป้อมมิลโล กำแพงกรุงเยรูซาเล็ม และสร้างที่ป้องกันเมืองฮาโซร์ เมืองเมกิดโด และเมืองเกเซอร์
|
||
\v 16 ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ทรงกรีฑาทัพขึ้นมาและยึดครองเมืองเกเซอร์ พระองค์ได้จุดไฟเผา และฆ่าชาวคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น แล้วฟาโรห์ได้ประทานเมืองเหล่านี้ให้แก่พระธิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นพระมเหสีของซาโลมอนเป็นสินสมรส
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 แล้วซาโลมอนก็ได้ทรงสร้างเมืองเกเซอร์และสร้างเมืองเบธโฮโรนตอนล่างขึ้นมาใหม่
|
||
\v 18 เมืองบาอาลัทและเมืองทามาร์ในแดนทุรกันดาร ในดินแดนของยูดาห์นั้น
|
||
\v 19 และทั้งบรรดาเมืองคลังหลวงที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ครอบครองอยู่ และเมืองทั้งหลายสำหรับรถม้าศึกของพระองค์ และเมืองทั้งหลายสำหรับพลม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆ ซึ่งพระองค์พอพระทัยอยากจะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และดินแดนทั้งหมดภายใต้การปกครองของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 ประชาชนทั้งหมดผู้ที่เหลืออยู่ได้แก่ คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ซึ่งไม่ใช่คนอิสราเอล
|
||
\v 21 เชื้อสายของพวกเขาต่อจากพวกเขาที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน ซึ่งประชาชนอิสราเอลไม่สามารถจะทำลายให้สิ้นได้ กษัตริย์ซาโลมอนก็บังคับให้เป็นแรงงานอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 อย่างไรก็ตาม ซาโลมอนไม่ได้ทรงบังคับใช้แรงงานของประชาชนอิสราเอลนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นทหาร ข้าบริพาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้บัญชาการของรถม้าศึก และเป็นพลม้าของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 เหล่านี้เป็นหัวหน้าข้าราชบริพารจัดการราชกิจของกษัตริย์ซาโลมอน จำนวน 550 คน พวกเขาเป็นผู้ควบคุมประชาชนที่ทำงาน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 พระธิดาของฟาโรห์ได้ย้ายจากนครดาวิดมายังพระตำหนักของพระนางซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนาง หลังจากนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้สร้างป้อมมิลโล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 ปีละสามครั้งที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาบนแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างสำหรับพระยาห์เวห์ และทรงเผาบรรดาเครื่องหอมบนแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงสร้างพระวิหารจนสำเร็จและยังคงใช้มาจนถึงบัดนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างกองเรือที่เมืองเอซิโอนเกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเอโลทบนฝั่งของทะเลแดงในดินแดนเอโดม
|
||
\v 27 กษัตริย์ฮีรามได้ส่งข้าราชการไปกับกองเรือและพลเรือผู้รู้เรื่องทะเลดี พร้อมกับข้าบริพารของกษัตริย์ซาโลมอน
|
||
\v 28 พวกเขาได้ไปถึงเมืองโอฟีร์พร้อมกับข้าราชบริพารของกษัตริย์ซาโลมอน จากที่นั่นพวกเขาได้นำทองคำกลับมาถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอนจำนวน 420 ตะลันต์
|
||
\s5
|
||
\c 10
|
||
\p
|
||
\v 1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินชื่อเสียงของกษัตริย์ซาโลมอน เนื่องจากพระนามของพระยาห์เวห์ พระนางก็ทรงมาทดสอบพระองค์ด้วยคำถามที่ยาก
|
||
\v 2 พระนางได้ทรงมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมด้วยกองขบวนตามเสด็จที่ยาวมาก ทั้งอูฐบรรทุกเครื่องเทศต่างๆ ทองคำจำนวนมาก และอัญมณีอันมีค่ามากมาย เมื่อพระนางทรงมาถึง พระนางก็ได้ทูลกษัตริย์ซาโลมอนเรื่องทุกสิ่งที่อยู่ในใจของพระนาง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 ซาโลมอนได้ตรัสตอบทุกคำถามของพระนาง ไม่มีคำตอบใดที่พระนางได้ทูลถามกษัตริย์แล้วกษัตริย์ไม่ได้ทรงตอบ
|
||
\v 4 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาได้ทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งหมดของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ได้ทรงสร้าง
|
||
\v 5 และอาหารที่บนโต๊ะเสวย กับที่นั่งของบรรดาข้าราชบริพาร และกิจการของพวกข้าราชบริพารของพระองค์ รวมถึงเครื่องแต่งกายของพวกเขา รวมทั้งพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระองค์ อีกทั้งลักษณะที่พระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเผาที่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระนางก็ทรงแทบหยุดหายใจ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 พระนางได้ทูลต่อกษัตริย์ว่า “เป็นความจริงเรื่องรายงานซึ่งหม่อมฉันได้ยินที่ในดินแดนของหม่อมฉัน เกี่ยวกับพระถ้อยคำและสติปัญญาของพระองค์
|
||
\v 7 หม่อมฉันไม่เชื่อสิ่งที่หม่อมฉันได้ยิน จนกว่าหม่อมฉันได้มาที่นี่ และบัดนี้หม่อมฉันได้เห็นด้วยตา ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพระสติปัญญาและความร่ำรวยของพระองค์ที่เขาบอกแก่หม่อมฉัน คือพระองค์ทรงมีชื่อเสียงมากกว่าที่หม่อมฉันได้ยินมาอีก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 บรรดามเหสีทั้งหลายและข้าราชบริพารของพระองค์ช่างมีความสุข เพราะพวกเขารับใช้พระองค์อย่างสม่ำเสมอ
|
||
\v 9 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้รับการสรรเสริญผู้ซึ่งทรงพอพระทัยในพระองค์ และทรงวางพระองค์ไว้บนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักอิสราเอลตลอดมา พระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งให้พระองค์เป็นกษัตริย์ เพื่อพระองค์จะทรงกระทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 พระนางก็ได้ถวายทองคำหนัก 120 ตะลันต์แด่กษัตริย์ รวมทั้งเครื่องเทศ และอัญมณีอันมีค่ามากมาย ไม่เคยมีใครถวายเครื่องเทศมากมายเท่าพระราชินีแห่งเชบาได้ถวายแก่กษัตริย์ซาโลมอนอีกเลย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 กองเรือของฮีรามก็ได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ และยังได้นำไม้จันทน์แดงและอัญมณีอันมีค่าจำนวนร์มากจากโอฟีด้วย
|
||
\v 12 กษัตริย์ได้ทรงเอาไม้จันทน์แดงมาทำเสาสำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์ และสำหรับพระราชวังของกษัตริย์ และทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับพวกนักร้อง ไม่มีไม้จันทน์แดงที่ปรากฏให้เห็นมากมายอย่างนี้อีกเลยจนถึงวันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 กษัตริย์ซาโลมอนทรงประทานแก่พระราชินีแห่งเชบาในทุกสิ่งที่พระนางทรงขอและทรงต้องการ ยิ่งกว่านั้นซาโลมอนทรงยังประทานแก่พระนางด้วยพระทัยกว้างขวางของพระองค์ ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังดินแดนของพระนาง พร้อมกับพวกข้าราชบริพารของพระนาง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 บัดนี้น้ำหนักของทองคำที่ได้เข้ามาถวายซาโลมอนในปีหนึ่งนั้นเป็นทองคำหนักถึง 666 ตะลันต์
|
||
\v 15 นอกเหนือจากนี้ยังมีทองซึ่งพวกคนค้าขายและจากสินค้าของพวกพ่อค้านำมา บรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียทั้งปวงและจากบรรดาเจ้าเมืองต่างๆในประเทศก็ได้นำเครื่องทองและเครื่องเงินมาถวายแด่ซาโลมอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำโล่ใหญ่สองร้อยอันจากทองคำ โล่แต่ละอันใช้ทองคำหกร้อยเชเขล
|
||
\v 17 พระองค์ยังทรงทำโล่จากทองคำสามร้อยอัน โล่แต่ละอันใช้ทองคำสามมิเน กษัตริย์ทรงเก็บโล่ไว้ในพระราชวัง ป่าแห่งเลบานอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 แล้วกษัตริย์ได้ทรงสร้างบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่จากงาช้าง และทรงบุด้วยทองคำอย่างดีที่สุด
|
||
\v 19 มีบันไดหกขั้นขึ้นไปยังบัลลังก์ และข้างหลังด้านบนของมันก็มียอดทรงกลม และได้มีที่เท้าแขนแต่ละข้างของพระที่นั่ง มีรูปสิงโตสองตัวยืนข้างที่วางแขน
|
||
\v 20 มีรูปสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่บนขั้นบันได หนึ่งตัวอยู่แต่ละข้างของทั้งหกขั้น ไม่มีบัลลังก์ใดจะเหมือนบัลลังก์นี้ในอาณาจักรนี้เลย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 ถ้วยเสวยทั้งหมดของกษัตริย์ซาโลมอนทำด้วยทองคำ และถ้วยเครื่องดื่มทั้งหมดของพระราชวังป่าเลบานอนนั้นทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เพราะเงินนั้นถือว่าไม่มีค่าในสมัยของซาโลมอน
|
||
\v 22 กษัตริย์ได้ทรงมีกองเรือเดินสมุทรพร้อมกับกองเรือของฮีราม ทุกสามปีกองเรือได้นำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และลิงบาบูน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงเหนือกว่าบรรดากษัตริย์ในโลกทั้งปวง ในเรื่องความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด
|
||
\v 24 ทั้งโลกก็อยากเข้าพบซาโลมอน เพื่อจะฟังพระปัญญาของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานใส่ไว้ในพระทัยของพระองค์
|
||
\v 25 ทุกคนที่ได้มาเข้าเฝ้าก็ได้นำราชบรรณาการมา คือภาชนะเงินและภาชนะทอง เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ รวมทั้งม้าและล่อ ในทุกปี
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 กษัตริย์ซาโลมอนทรงรวบรวมรถม้าศึกและพลม้า พระองค์ทรงมีรถม้าศึก 1,400 คัน และพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันนาย ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำที่เมืองรถม้าศึก และได้ประจำอยู่กับพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม
|
||
\v 27 กษัตริย์ทรงทำให้มีเงินในกรุงเยรูซาเล็มมากเหมือนก้อนหินบนพื้นดิน และพระองค์ทรงทำให้มีไม้สนสีดาร์มีความอุดมสมบูรณ์มากเหมือนต้นมะเดื่อในที่ราบ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 กษัตริย์ซาโลมอนได้ครอบครองม้าที่ได้ซื้อมาจากอียิปต์ และเซลิเซีย และบรรดาพ่อค้าของกษัตริย์ก็ได้ซื้อฝูงม้ามาเป็นฝูงๆ คิดเงินแบบเป็นราคาตามฝูง
|
||
\v 29 รถม้าศึกซื้อมาจากอียิปต์คันหนึ่งมีราคาเป็นเงินหกร้อยเชเขล ม้าตัวหนึ่งมีราคาเป็นเงิน 150 เชเขลเป็น ม้าจำนวนมากเหล่านี้ก็ได้ขายไปให้แก่กษัตริย์ทั้งสิ้นของคนฮิตไทต์และคนอาราม
|
||
\s5
|
||
\c 11
|
||
\p
|
||
\v 1 กษัตริย์ซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติมากมาย ได้แก่พระธิดาของฟาโรห์ หญิงสาวชาวโมอับ หญิงสาวชาวอัมโมน หญิงสาวชาวเอโดม หญิงสาวชาวไซดอน และหญิงสาวชาวฮิตไทต์
|
||
\v 2 ผู้ซึ่งเป็นชนชาติที่พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “พวกเจ้าจงห้ามแต่งงานกับพวกเขา หรือห้ามให้พวกเขามาแต่งงานกับพวกเจ้า เพราะพวกเขาจะชักนำจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่างๆ ของพวกเขาแน่” แต่กษัตริย์ซาโลมอนทรงรักผู้หญิงเหล่านี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 กษัตริย์ซาโลมอนทรงมีพระมเหสีตามตำแหน่งเจ็ดร้อยคน และนางสนมสามร้อยคน และพวกพระมเหสีของพระองค์จึงได้ทำพระทัยของพระองค์หันเหไป
|
||
\v 4 เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระชราลง บรรดาพระเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่นๆ และพระทัยของพระองค์ไม่ภักดีอย่างสิ้นเชิงต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนกับดาวิดพระบิดาของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 เพราะกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงติดตามอัชโทเรทซึ่งเป็นพระเจ้าแม่ของชาวไซดอน และพระองค์ทรงติดตามพระโมเลค เทวรูปที่น่าเกลียดของชาวอัมโมน
|
||
\v 6 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทรงติดตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 จากนั้นกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสถานสูงสำหรับเคโมชซึ่งเป็นพระของชาวโมอับที่น่าเกลียด บนภูเขาที่อยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และอีกทั้งโมเลคซึ่งเป็นพระของชาวอัมโมนที่น่ารังเกียจด้วย
|
||
\v 8 พระองค์ทรงสร้างสถานสูงสำหรับมเหสีต่างชาติทั้งหมดของพระองค์ ผู้ที่ได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่บรรดาพระของพวกนาง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 พระยาห์เวห์ทรงมีพระพิโรธต่อกษัตริย์ซาโลมอน เพราะพระทัยของพระองค์ได้ไปจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทั้งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงแก่พระองค์ถึงสองครั้ง
|
||
\v 10 และได้ทรงสั่งพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าพระองค์ไม่ควรไปติดตามพระอื่นๆ แต่ซาโลมอนไม่ได้ทรงเชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าได้ทำสิ่งนี้ และเจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้สั่งเจ้า เราจะแยกอาณาจักรเสียจากเจ้าอย่างแน่นอน และมอบให้ข้าราชบริพารของเจ้า
|
||
\v 12 อย่างไรก็ดีเพราะเห็นแก่ดาวิดพระบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำในช่วงชีวิตของเจ้า แต่เราจะแยกมันออกจากมือบุตรชายของเจ้า
|
||
\v 13 แม้กระนั้น เราจะไม่แยกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้ศัตรูได้เกิดขึ้นต่อสู้กษัตริย์ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม เขามาจากเชื้อพระวงศ์แห่งเอโดม
|
||
\v 15 เมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น โยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า และได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดมจนหมด
|
||
\v 16 โยอาบและคนอิสราเอลทั้งหมดยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้สังหารชีวิตผู้ชายทุกคนในเอโดมหมด
|
||
\v 17 แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ รวมทั้งคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชบริพารของพระบิดาของเขา เวลานั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 พวกเขาได้ออกจากมีเดียนและมาปาราน จากที่นั่นพวกเขาเข้าไปยังอียิปต์ เพื่อเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้ได้ประทานบ้าน ที่ดิน และอาหารให้เขาด้วย
|
||
\v 19 ฮาดัดเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงได้ประทานน้องสาวของพระมเหสีของพระองค์เอง คือน้องสาวของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาของเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 น้องสาวของทาเปเนสก็ให้บุตรชายแก่ฮาดัด พวกเขาได้ตั้งชื่อว่าเกนูบัท ทาเปเนสได้เลี้ยงเขาในพระราชวังของฟาโรห์ ดังนั้นเกนูบัทได้อาศัยอยู่ในพระราชวังของฟาโรห์ท่ามกลางบรรดาพระโอรสของฟาโรห์
|
||
\v 21 ขณะที่เขาอยู่ในอียิปต์ ฮาดัดได้ยินว่า ดาวิดได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงได้ทูลฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพระองค์จากไป และข้าพระองค์จะกลับไปยังประเทศของข้าพระองค์”
|
||
\v 22 แล้วฟาโรห์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าอยู่กับเรา เจ้าขาดอะไรหรือ? เจ้าจึงหาทางที่จะกลับไปประเทศของเจ้า” และฮาดัดได้ทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลย แต่ขอให้ข้าพระองค์กลับไปเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 พระเจ้าได้ทรงให้ศัตรูอีกคนหนึ่งต่อสู้ซาโลมอน คือเรโซนบุตรชายของเอลียาดา ผู้ที่ได้หนีไปจากเจ้านายของเขาฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์
|
||
\v 24 เรโซนได้รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา และได้กลายเป็นกองกำลังเล็กๆ เมื่อดาวิดได้เอาชนะชาวโศบาห์นั้น ผู้คนของเรโซนได้ไปในเมืองดามัสกัสและอาศัยอยู่ที่นั่น และเรโซนได้ครอบครองเมืองดามัสกัส
|
||
\v 25 เขาเป็นได้เป็นหนึ่งในกองทัพของอิสราเอลในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน ฮาดัดได้สร้างปัญหาไปพร้อมๆ กัน เรโซนได้เกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองอารัมต่อมา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 แล้วเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท คนเอฟราอิม จากเมืองเศเรดาห์ ข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ซาโลมอน ผู้ซึ่งมารดาของเขาเป็นหญิงม่ายชื่อเศรุอาห์ ได้ยกตนขึ้นต่อสู้กษัตริย์
|
||
\v 27 เหตุผลที่เขายกตนขึ้นต่อสู้กษัตริย์ เพราะกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดรอยแยกของกำแพงเมืองของดาวิดพระบิดาของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 เยโรโบอัมเป็นนักรบผู้เข้มแข็ง เมื่อกษัตรย์ซาโลมอนได้ทรงเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนหมั่นเพียร ดังนั้นพระองค์ทรงตั้งให้เขาดูแลแรงงานทั้งหมดที่ถูกเกณฑ์มาจากวงศ์วานของโยเซฟ
|
||
\v 29 ในเวลานั้น เมื่อเยโรโบอัมออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ได้พบเขาระหว่างทาง บัดนี้อาหิยาห์ได้แต่งกายคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหม่ และทั้งสองคนก็ได้อยู่ตามลำพังในทุ่งนา
|
||
\v 30 แล้วอาหิยาห์ก็ได้จับเสื้อคลุมตัวใหม่ที่เขาใส่อยู่และแยกออกเป็นสิบสองชิ้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 เขาได้พูดกับเยโรโบอัมว่า “จงเอาไปสิบชิ้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เรากำลังจะแยกอาณาจักรจากมือของซาโลมอน และจะแบ่งให้เจ้าสิบเผ่า
|
||
\v 32 (แต่ซาโลมอนจะมีหนึ่งเผ่าเพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราได้เลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล)
|
||
\v 33 เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเราไปนมัสการอัชโทเรทพระของชาวไซดอน เคโมชพระของชาวโมอับ และโมเลคพระของชาวอัมโมน และไม่ได้ติดตามทางของเราคือทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายตาของเรา อีกทั้งไม่ได้รักษาบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา ไม่เหมือนอย่างดาวิดบิดาของเขาได้กระทำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 34 กระนั้นก็ดี เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากมือของซาโลมอน แต่เราจะให้เขาเป็นผู้ปกครองตลอดชีวิตของเขา เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ที่เราเลือกเขาไว้ ผู้ได้รักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา
|
||
\v 35 แต่เราจะเอาอาณาจักรออกไปจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบสิบเผ่าแก่เจ้า
|
||
\v 36 เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่พระโอรสของซาโลมอน เพราะดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเหลือตะเกียงดวงหนึ่งเบื้องหน้าเราเสมอในกรุงเยรูซาเล็ม เมืองซึ่งเราเลือกให้ตัวเราเองเพื่อจารึกชื่อของเราไว้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 37 เราจะเอาตัวเจ้า และเจ้าจะครอบครองทุกอย่างที่ใจของเจ้าปรารถนา และเจ้าจะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล
|
||
\v 38 หากเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งเจ้า และทำตามทางทั้งหลายของเรา และปฏิบัติสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราได้กระทำ จากนั้นเราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างราชวงศ์ที่เข้มแข็งให้แก่เจ้า เหมือนกับที่เราสร้างให้แก่ดาวิด และเราจะมอบอิสราเอลให้แก่เจ้า
|
||
\v 39 เราจะลงโทษเชื้อสายของดาวิด แต่ไม่ตลอดกาลไป’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 40 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงพยายามที่จะสังหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ยืนขึ้นหนีไปอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และเขาอยู่ในอียิปต์จนกระทั่งซาโลมอนสวรรคต
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกนั้นของซาโลมอน และทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำและพระสติปัญญาของพระองค์ เรื่องราวเหล่านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอนแล้วไม่ใช่หรือ?
|
||
\v 42 ซาโลมอนได้ทรงปกครองกรุงเยรูซาเล็มต่ออิสราเอลเป็นเวลาทั้งสิ้นสี่สิบปี
|
||
\v 43 พระองค์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์ถูกฝังไว้ในเมืองดาวิดพระบิดาของพระองค์ เรโหโบอัมพระโอรสของพระองค์ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
|
||
\s5
|
||
\c 12
|
||
\p
|
||
\v 1 เรโหโบอัมไปเมืองเชเคม เพราะอิสราเอลทั้งหมดได้มายังเชเคม เพื่อจะแต่งตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์
|
||
\v 2 เมื่อเยโรโบอัมโอรสของเนบัทรู้เรื่องนี้แล้ว (เขายังคงอยู่ในอียิปต์ เพราะเขาหนีจากพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอน) เยโรโบอัมได้ตั้งรกรากอยู่ในอียิปต์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 ดังนั้นพวกเขาได้ใช้คนไปและเชิญเขา และเยโรโบอัม และชุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นได้มาและทูลต่อเรโหโบอัมว่า
|
||
\v 4 “พระบิดาของพระองค์ได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระองค์หนักนัก บัดนี้ขอพระองค์ทรงลดงานหนักของพระบิดาของพระองค์ และทำให้แอกที่หนักของพระองค์ที่พระองคฺ์วางบนพวกข้าพระองค์เบาลง แล้วพวกข้าพระองค์จะรับใช้พระองค์”
|
||
\v 5 เรโหโบอัมได้ตรัสต่อพวกเขาว่า “จงกลับไปก่อน อีกสามวันค่อยมาหาเรา” ดังนั้นประชาชนจึงได้กลับไป
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 กษัตริย์เรโหโบอัมก็ได้ทรงหารือกับพวกผู้อาวุโส ผู้ได้รับใช้กษัตริย์ซาโลมอนพระบิดาของพระองค์ ตอนเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะชี้แนะเราให้ตอบกับประชาชนนี้อย่างไรดี?”
|
||
\v 7 พวกเขาได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์จะทรงเป็นผู้รับใช้ประชาชนเหล่านี้ในวันนี้ และรับใช้พวกเขา และจงตรัสถ้อยคำดีๆ แก่พวกเขาเถิด แล้วพวกเขาจะเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เสมอไป”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 แต่เรโหโบอัมได้ทรงเพิกเฉยต่อคำชี้แนะที่บรรดาผู้อาวุโสถวายนั้น และพระองค์ได้ไปหารือกับพวกคนหนุ่มที่โตมากับพระองค์ และได้อยู่ฝ่ายพระองค์
|
||
\v 9 พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านจะชี้แนะอะไรแก่เรา เพื่อพวกเราจะตอบประชาชนนี้ผู้ที่ได้ขอเราว่า ‘ขอทรงทำให้แอกซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้ทรงวางอยู่บนพวกข้าพระองค์เบาลงได้อย่างไร’? ”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 คนหนุ่มเหล่านั้นผู้ได้โตขึ้นมากับเรโหโบอัม ได้ทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ตรัสดังนี้แก่ประชาชนนี้ผู้ได้ทูลพระองค์ว่า พระบิดาของพระองค์ กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระองค์หนัก แต่ขอพระองค์ทรงทำให้เบาลง นั้น ขอพระองค์ตรัสแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า ‘นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระบิดาเรา
|
||
\v 11 ดังนั้นตอนนี้แม้ว่าพระบิดาของเราได้วางภาระหนักบนพวกเจ้าด้วยแอกหนัก ส่วนเราก็จะเพิ่มแอกบนพวกเจ้า พระบิดาของเราลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแส้ แต่เราจะลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแมงป่อง’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 12 ดังนั้นเยโรโบอัมกับประชาชนทั้งสิ้น จึงได้มาพบเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่กษัตริย์ได้ทรงรับสั่งว่า “ในวันที่สามจงมาหาเรา”
|
||
\v 13 กษัตริย์ได้ตรัสตอบประชาชนอย่างแข็งกร้าว และทรงเพิกเฉยต่อคำชี้แนะที่พวกผู้อาวุโสได้ถวายพระองค์นั้น
|
||
\v 14 พระองค์ได้ตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำชี้แนะของพวกคนหนุ่มว่า “พระบิดาของเราได้วางภาระหนักบนท่านทั้งหลายด้วยแอกที่หนัก ส่วนเราก็จะเพิ่มแอกของท่านทั้งหลายอีก พระบิดาของเราลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแส้ แต่เราจะลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแมงป่อง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 เพราะฉะนั้นกษัตริย์ไม่ได้ทรงฟังประชาชน เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงทำให้ถ้อยคำของพระองค์จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 เมื่ออิสราเอลทั้งหมดได้เห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ทรงฟังพวกเขา ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “พวกข้าพระองค์มีส่วนแบ่งอะไรในดาวิดหรือ? พวกข้าพระองค์ไม่มีส่วนร่วมมรดกในบุตรชายของเจสซี อิสราเอล จงกลับไปเต็นท์ของท่านเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” ดังนั้นคนอิสราเอลจึงได้กลับไปยังเต็นท์ของพวกเขา
|
||
\v 17 แต่ประชาชนอิสราเอลที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ เรโหโบอัมยังทรงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมได้ทรงใช้อาโดรัมดูแลแรงงานที่เกณฑ์มา แต่ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็เอาหินขว้างเขาตาย กษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถม้าศึกหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
|
||
\v 19 ดังนั้นอิสราเอลจึงกบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดตั้งแต่วันนี้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 ฝ่ายอิสราเอลทั้งสิ้นเมื่อได้ยินว่าเยโรโบอัมได้กลับมาแล้ว พวกเขาได้ส่งคนไปและเชิญพระองค์มายังที่ประชุม แล้วก็แต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดทำตามเชื้อพระวงศ์ของดาวิด นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 เมื่อเรโหโบอัมได้ถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ได้ทรงระดมพลจากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมดและเผ่าเบนยามิน เป็นผู้ชายที่คัดเลือกเพื่อมาเป็นทหาร 180,000 นาย เพื่อจะต่อสู้กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะกอบกู้ราชอาณาจักรคืนมาให้แก่เรโหโบอัมพระโอรสของกษัตริย์ซาโลมอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 แต่พระคำของพระเจ้าได้มายังเชไมยาห์ คนของพระเจ้าว่า
|
||
\v 23 “จงไปบอกเรโหโบอัมพระโอรสของกษัตริย์ซาโลมอนแห่งยูดาห์ และบอกกับเชื้อสายทั้งสิ้นของยูดาห์และเบนยามิน และประชาชนที่เหลืออยู่ว่า
|
||
\v 24 ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าห้ามขึ้นไปโจมตีหรือต่อสู้กับประชาชนอิสราเอลพี่น้องของเจ้าเลย แต่ละคนจงกลับบ้านของตนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’” ดังนั้นพวกเขาจึงได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ และกลับไปตามทางของตน และพวกเขาได้เชื่อพระคำของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 แล้วเยโรโบอัมได้ทรงสร้างเมืองเชเคมในดินแดนเทือกเขาเอฟราอิม และประทับในที่นั้น พระองค์ได้เสด็จออกจากที่นั่น และสร้างเมืองเปนูเอล
|
||
\v 26 เยโรโบอัมได้ดำริในพระทัยว่า “ตอนนี้ราชอาณาจักรจะกลับไปเป็นของราชวงศ์ของดาวิด
|
||
\v 27 หากประชาชนเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชา ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม จากนั้นจิตใจของประชาชนนี้จะกลับใจไปยังเจ้านายของพวกเขา คือไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ พวกเขาจะสังหารเรา แล้วกลับใจไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 เพราะฉะนั้นกษัตริย์เยโรโบอัมจึงได้ทรงหารือ และได้ทรงสร้างลูกวัวทองคำขึ้นสองตัว แล้วพระองค์ตรัสกับประชาชนว่า “พวกท่านขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มลำบากเกินไป โอ อิสราเอล จงดูพระเจ้าของท่านเถิด ผู้ได้ทรงนำท่านขึ้นมาจากอียิปต์”
|
||
\v 29 พระองค์ได้ทรงวางตัวหนึ่งไว้ที่เบธเอล และอีกตัวหนึ่งก็ทรงวางไว้ที่เมืองดาน
|
||
\v 30 ดังนั้นการกระทำนี้เป็นบาป เพราะประชาชนได้ไปหาตัวใดตัวหนึ่ง ตามทางที่จะไปเมืองดาน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 เยโรโบอัมได้ทรงสร้างวิหารบนสถานสูง และพระองค์ได้ทรงตั้งปุโรหิตจากคนธรรมดาผู้ซึ่งไม่ใช่บรรดาบุตรชายของคนเลวี
|
||
\v 32 เยโรโบอัมได้ทรงตั้งเทศกาลเลี้ยง ในวันที่สิบห้าเดือนแปดเหมือนกับการเลี้ยงในยูดาห์ และพระองค์ได้ไปที่แท่นบูชา พระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้นในเบธเอล ได้แก่ ตั้งเครื่องสัตวบูชาแก่รูปลูกวัวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น และพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งปุโรหิตไว้ดูแลสถานสูงที่เบธเอล ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างนั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 เยโรโบอัมได้ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชา ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นที่เบธเอล ในวันที่สิบห้าเดือนแปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และได้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงเพื่อคนอิสราเอล และได้ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม
|
||
\s5
|
||
\c 13
|
||
\p
|
||
\v 1 คนของพระเจ้าคนหนึ่งออกยูดาห์ไปเบธเอลโดยพระคำของพระยาห์เวห์ เยโรโบอัมได้ทรงกำลังยืนอยู่ที่แท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม
|
||
\v 2 พระองค์ทรงร้องตำหนิแท่นบูชานั้นโดยพระคำของพระยาห์เวห์ว่า “ แท่นบูชา แท่นบูชา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด บุตรชายคนหนึ่งนาม โยสิยาห์จะเกิดมาในวงศ์วานของดาวิด และ เขาจะบูชายัญปุโรหิตแห่งสถานสูงผู้จะเผาเครื่องหอมและเผากระดูกคนบนเจ้า คือ บนแท่นบูชานี้’”
|
||
\v 3 จากนั้นคนของพระเจ้าได้ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า “สิ่งนี้คือหมายสำคัญที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘ดูเถิด แท่นบูชานั้นจะถูกแยกออกจากกันและขี้เถ้าที่อยู่บนแท่นจะถูกเทออก’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 เมื่อกษัตริย์ได้ทรงสดับถ้อยคำของคนของพระเจ้า ซึ่งได้ตำหนิแท่นบูชาที่เบธเอลนั้น เยโรโบอัมก็ได้ทรงถอนพระหัตถ์ออกจากแท่น ตรัสว่า “จับเขาไว้” จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งกางไปหาชายนั้นก็ได้แห้งจนไม่ทรงสามารถดึงกลับหาตัวเองได้”
|
||
\v 5 (แท่นบูชาก็ได้แยกออกจากกัน และขี้เถ้าก็ได้ถูกเท ดังที่ได้กล่าวตามหมายสำคัญที่คนของพระเจ้าโดยพระคำของพระยาห์เวห์ )
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 กษัตริย์เยโรโบอัมได้ตรัสตอบคนของพระเจ้าว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระกรุณา และขอท่านอธิษฐานเพื่อเรา เพื่อว่าเราจะดึงมือเข้าหาตัวได้” ดังนั้นคนของพระเจ้าก็ได้อธิษฐานขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์ และพระหัตถ์ของกษัตริย์ก็สามารถดึงเข้าหาพระองค์ได้อีก และกลับเป็นปกติเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน
|
||
\v 7 กษัตริย์ได้ตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “เชิญมาวังกับเราเถิด และให้ท่านเองได้สดชื่น และเราจะมอบรางวัลแก่ท่าน”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 คนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “แม้นพระองค์จะประทานราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ข้าพระองค์ก็จะไม่สามารถไปกับพระองค์ได้ และจะไม่อาจรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำจากสถานที่แห่งนี้
|
||
\v 9 เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงสั่งข้าพระองค์ โดยพระคำของพระองค์ว่า ‘ห้ามกินอาหาร หรือดื่มน้ำ หรือหันหลังกลับไปทางที่เจ้ามา’”
|
||
\v 10 ดังนั้นคนของพระเจ้าจึงได้ไปอีกทางหนึ่ง และไม่ได้กลับไปบ้านของเขาตามทางที่เขาได้มาเบธเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 ตอนนี้มีผู้เผยพระวจนะชราคนหนึ่งอยู่ในเบธเอล หนึ่งในบุตรชายของเขาได้มาและเล่าให้ฟังถึงทุกอย่างในวันนั้นที่คนของพระเจ้าได้กระทำในเบธเอล บุตรชายของเขายังได้เล่าให้เขาฟังถึงคำพูดที่คนของพระเจ้าได้ทูลต่อกษัตริย์
|
||
\v 12 บิดาของพวกเขาได้ถามพวกเขาว่า “เขาไปซึ่งทางใด?” ตอนนี้พวกบุตรชายได้เห็นทางที่คนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ไป
|
||
\v 13 ฉะนั้นเขาจึงได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” ดังนั้นพวกเขาจึงได้ผูกอานลาและเขาก็ได้ขึ้นขี่บนลา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 ผู้เผยพระวจนะชราได้ไปตามคนของพระเจ้า และได้พบเขากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊กและเขาจึงพูดกับท่านว่า “ท่านเป็นคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์ใช่ไหม ? ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็น”
|
||
\v 15 แล้วผู้เผยพระวจนะชราได้พูดกับเขาว่า “ขอเชิญท่านไปบ้านกับข้าพเจ้า และรับประทานอาหาร”
|
||
\v 16 คนของพระเจ้าได้พูดว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจจะกลับไปกับท่าน หรือเข้าไปพักกับท่าน ข้าพเจ้าจะไม่อาจรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำกับท่านในสถานที่นี้
|
||
\v 17 เพราะพระวจนะของพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำของที่นั่น หรือกลับไปทางที่เจ้ามา’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ฉะนั้นผู้เผยพระวจนะชราจึงได้พูดกับเขาว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับท่านด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้บอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงพาเขากลับบ้านกับเจ้า เพื่อว่าเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’” แต่เขาโกหกคนของพระเจ้า
|
||
\v 19 ฉะนั้นคนของพระเจ้าจึงได้กลับไปกับผู้เผยพระวจนะชราและในบ้านของเขาเขาได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 ระหว่างที่พวกเขาได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มายังผู้เผยพระวจนะผู้ได้นำท่านกลับมา
|
||
\v 21 และเขาได้ตำหนิคนของพระเจ้าผู้ได้มาจากยูดาห์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เหตุที่เจ้าไม่ได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ และไม่ได้รักษากฎเกณฑ์ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงสั่งเจ้าไว้
|
||
\v 22 แต่เจ้าได้กลับมาและรับประทานอาหาร และได้ดื่มน้ำในสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเจ้าว่า “จงห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ” มิฉะนั้นศพของเจ้าจะไม่ได้ถูกฝังในอุโมงค์ของบรรพบุรุษของเจ้า’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 หลังจากเขาได้รับประทานอาหารและเขาได้ดื่มน้ำแล้ว ผู้เผยพระวจนะได้ผูกอานลาให้กับคนของพระเจ้าผู้ที่เขาได้พากลับมากับเขา
|
||
\v 24 เมื่อคนของพระเจ้าได้จากไป มีสิงโตได้มาพบเขาที่ถนนและได้ฆ่าเขา และศพของเขาก็ได้ถูกทิ้งไว้ที่ถนน แล้วลาได้ยืนอยู่ด้านข้างมันและสิงโตตัวนั้นก็ได้ยืนอยู่ข้างศพ
|
||
\v 25 เมื่อพวกผู้ชายได้ผ่านไปได้เห็นศพทิ้งอยู่ที่ถนน และเห็นสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพนั้น พวกเขาก็ได้มาดูและได้ไปเล่ากันในเมืองที่ซึ่งผู้เผยพระวจนะชราได้อยู่
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 ครั้นผู้เผยพระวจนะผู้ที่นำเขากลับมาได้ทราบข่าว เขาก็ได้พูดว่า “นี่คือคนของพระเจ้า ผู้ที่ไม่ได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบเขาไว้กับสิงโต ซึ่งได้กัดฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ และได้ฆ่าเขา ตามพระคำซึ่งพระยาห์เวห์ได้เตือนต่อเขา”
|
||
\v 27 ดังนั้น ผู้เผยพระวจนะชราจึงได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานให้ข้า” แล้วพวกเขาก็ได้ผูกอาน
|
||
\v 28 เขาจึงได้ไปและได้พบศพนั้นทิ้งอยู่ที่ถนน และลากับสิงโตก็กำลังยืนอยู่ข้างศพ สิงโตไม่ได้กินศพนั้นหรือได้ฆ่าลานั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ผู้เผยพระวจนะก็ได้เอาศพคนของพระเจ้าขึ้นวางบนลา แล้วได้นำกลับไปเขาได้นำกลับไปยังเมืองของตนเอง เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังเขา
|
||
\v 30 เขาได้วางศพนั้นในอุโมงค์ฝังศพของตนเอง และพวกเขาก็ได้ไว้ทุกข์ให้เขากล่าวว่า “หายนะแล้ว น้องชายของข้า”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 พอหลังจากที่เขาได้ฝังเขา ผู้เผยพระวจนะชราก็ได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “เมื่อพ่อตาย จงฝังพ่อไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่ฝังคนของพระเจ้านั้น จงวางกระดูกของพ่อไว้ข้างกระดูกของเขา
|
||
\v 32 เพราะว่าคำพูดที่เขาได้ประกาศโดยพระคำของพระยาห์เวห์ ตำหนิแท่นบูชาในเบธเอล และตำหนิพระวิหารทุกแห่งของสถานสูงซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย จะเกิดขึ้นอย่างแน่แท้”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 ภายหลังเหตุการณ์นี้ เยโรโบอัมไม่ได้ทรงกลับตัวจากทางชั่วของพระองค์ แต่ยังคงแต่งตั้งปุโรหิตจากผู้ใดก็ได้เป็นปุโรหิตประจำสถานสูงต่างๆ ในท่ามกลางประชาชนต่อไป ผู้ใดที่ประสงค์รับใช้พระองค์ก็ได้ทรงได้แต่งตั้งเขาให้เป็นปุโรหิต
|
||
\v 34 สิ่งนี้ได้กลายเป็นบาปต่อราชวงศ์เยโรโบอัม และเป็นเหตุให้ถูกทำลายและล้างผลาญราชวงศ์นั้นเสียจากพื้นแผ่นดินโลก
|
||
\s5
|
||
\c 14
|
||
\p
|
||
\v 1 ในตอนนั้น อาบียาห์พระโอรสของเยโรโบอัมได้ป่วยหนัก
|
||
\v 2 เยโรโบอัมได้สั่งกับพระมเหสีของพระองค์ว่า “จงยืนขึ้นและอำพรางตัว เพื่อจะไม่ให้มีใครจำเจ้าได้ว่าเจ้าเป็นพระมเหสีของเรา และจงไปยังเมืองชีโลห์ เพราะอาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่น เขาเป็นผู้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนเหล่านี้
|
||
\v 3 เจ้าจงเอาขนมปังสิบก้อน ขนมเค้กบางส่วน และน้ำผึ้งหนึ่งไห ไปหาอาหิยาห์ เขาจะบอกเจ้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับลูก”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 มเหสีของเยโรโบอัมก็ได้ทำตามนั้น พระนางได้ออกไปและมายังเมืองชีโลห์ และมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ตอนนี้อาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าเขาเสียสายตาด้วยความชราของเขา
|
||
\v 5 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูเถิด พระมเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าเกี่ยวกับลูกของนาง เพราะเขาป่วย เจ้าจงบอกนางอย่างนี้ เพราะเมื่อพระนางมาถึง นางจะก็ทำตัวเป็นเหมือนหญิงคนอื่นๆ ”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 6 เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีเท้าของพระนางเมื่อพระนางมาถึงประตู เขาได้พูดว่า “เสด็จเข้ามาข้างในเถิด พระมเหสีของเยโรโบอัม เหตุไฉนจึงทรงทำตัวเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวท่านเองเล่า? ข้าพระองค์ได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวร้ายแก่ท่าน
|
||
\v 7 ขอเสด็จไปรายงานต่อเยโรโบอัมว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ชูเจ้าขึ้นจากท่ามกลางประชาชน และทำให้เจ้าเป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา
|
||
\v 8 เราได้แยกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดและได้มอบให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งได้รักษาพระบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยหมดทั้งใจของเขา ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 แต่เจ้าได้ทำชั่วมากกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า เจ้าไปทำพระอื่นและรูปหล่อโลหะและทำให้เราโกรธ และโยนเราทิ้งเบื้องหลังของเจ้า
|
||
\v 10 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำภัยพิบัติมาเหนือราชวงศ์ของเจ้า เราจะตัดชายทุกคนในอิสราเอลทั้งทาสและเสรี และจะผลาญราชวงศ์ของเจ้าอย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้จนสิ้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 ผู้ใดที่เป็นคนในราชวงศ์ของเจ้าที่ตายในเมือง สุนัขก็จะกิน และใครก็ตามที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศก็จะกิน เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้’
|
||
\v 12 ดังนั้น มเหสีของเยโรโบอัมจึงยืนขึ้นกลับไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อเท้าของพระนางย่างเข้าเมือง พระกุมารของอาบียาห์นั้นก็จะตาย
|
||
\v 13 จากนั้นอิสราเอลทั้งสิ้นจะโศกเศร้า และพระศพจะได้ฝังไว้ เพราะมีพระกุมารผู้เดียวเท่านั้นในวงศ์วานเยโรโบอัมที่จะไปถึงอุโมงค์ฝังศพ เพราะในตัวพระกุมารซึ่งอยู่ในวงศ์วานของเยโรโบอัมนั้นไม่เห็นว่ามีอะไรดีในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 อีกทั้งพระยาห์เวห์จะทรงแต่งตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งของอิสราเอล ผู้ที่จะมากำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียในวันนั้น วันนั้นคือวันนี้ ตั้งแต่นี้ไป
|
||
\v 15 เพราะพระยาห์เวห์จะทรงตีอิสราเอลดุจต้นกกที่กำลังสั่นอยู่ในน้ำ และพระองค์จะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากดินแดนอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา พระองค์จะกระจัดกระจายกระจายพวกเขาให้เลยพ้นแม่น้ำยูเฟรติสไป เพราะพวกเขาได้สร้างบรรดาเสาพระอาเชราห์ ซึ่งได้ทำให้พระยาห์เวห์ทรงกริ้ว
|
||
\v 16 พระองค์จะทรงไม่ใส่พระทัยต่ออิสราเอลไว้ เพราะบาปของเยโรโบอัม บาปซึ่งพระองค์ได้ทำ และโดยทางพระองค์ที่ยังทรงนำให้อิสราเอลทำบาปด้วย”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 ดังนั้นพระมเหสีของเยโรโบอัมทรงยืนขึ้น และทรงจากไป และเสด็จถึงเมืองทีรซาห์ เมื่อพระนางได้เสด็จถึงธรณีประตูพระตำหนักของพระนาง พระกุมารก็สวรรคต
|
||
\v 18 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ อย่างที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเขาโดยถ้อยคำของผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 ในเรื่องพระราชกิจต่างๆ ของเยโรโบอัม ในเรื่องพระองค์ได้ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูเถิด ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของอิสราเอล
|
||
\v 20 เยโรโบอัมได้ทรงปกครองเป็นเวลายี่สิบสองปี แล้วได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และนาดับพระโอรสของพระองค์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่ของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 บัดนี้เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนได้ทรงครอบครองยูดาห์ ขณะที่เรโหโบอัมทรงมีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ และพระองค์ทรงครองราชย์สิบเจ็ดปีในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล เพื่อพระนามของพระองค์จะอยู่ที่นั่น พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์ เป็นคนอัมโมน
|
||
\v 22 ยูดาห์ได้ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พวกเขาได้ยั่วยุให้พระองค์ขัดพระทัยต่อความบาปที่พวกเขาได้กระทำ มากกว่าทุกสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำทุกอย่าง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 เพราะพวกเขาได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้ตัวพวกเขาเอง คือ สถานสูง เสาหิน และพวกเสาอาเชราห์ ที่บนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น
|
||
\v 24 มีโสเภณีในพิธีศาสนาในแผ่นดินนั้นด้วย พวกเขาได้ทำตามสิ่งที่น่าชังทั้งสิ้นของบรรดาชนชาติ ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงไล่พวกเขาออกไปให้จากหน้าประชาชนอิสราเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์อียิปต์ได้เสด็จขึ้นมาสู้รบกับกรุงเยรูซาเล็ม
|
||
\v 26 พระองค์ทรงเอาทรัพย์สมบัติของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติแห่งพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงเอาไปทุกอย่าง พระองค์ยังทรงเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนได้ทรงสร้างไป
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 กษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทนที่ และมอบไว้ในการดูแลของพวกผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ผู้ได้เฝ้าดูแลประตูพระราชวังของกษัตริย์
|
||
\v 28 เมื่อใดก็ตามที่กษัตริย์เสด็จไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทหารรักษาพระองค์ก็จะถือบรรดาโล่ออกมา แล้วพวกเขาจะนำกลับไปเก็บไว้ในป้อมของทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ในเรื่องนอกจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกับเรโหโบอัม และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้วไม่ใช่หรือ?
|
||
\v 30 มีสงครามดำเนินอย่างต่อเนื่องในรัชสมัยระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัม
|
||
\v 31 ดังนั้นเรโหโบอัมก็ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในเมืองดาวิด พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์ เป็นคนอัมโมน อาบียาห์พระโอรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่ของพระองค์
|
||
\s5
|
||
\c 15
|
||
\p
|
||
\v 1 ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโรโบอัมโอรสของเนบัท อาบียาห์ได้ทรงเริ่มปกครองเหนือยูดาห์
|
||
\v 2 พระองค์ทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสามปี มีมารดาชื่อว่า มาอาคาห์ นางเป็นธิดาของอาบีชาโลม
|
||
\v 3 พระองค์ทรงทำบาปทุกสิ่งเช่นเดียวกับที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำก่อนสมัยของพระองค์ และพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้อุทิศต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์เหมือนจิตใจของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 แต่เพื่อเห็นแก่ดาวิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้โปรดประทานดวงประทีปดวงหนึ่งในเยรูซาเล็ม โดยให้พระโอรสองค์หนึ่งได้ขึ้นมาปกครองต่อและทำให้กรุงเยรูซาเล็มเข้มแข็ง
|
||
\v 5 พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งนี้เพราะดาวิดได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ทุกประการ ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับอุรียาห์ชาวฮิตไทต์
|
||
\v 6 บัดนี้มีสงครามระหว่าง เรโหโบอัมกับเยโรโบอัม ตลอดพระชนม์ชีพของอาบียาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอาบียาห์และพระราชกิจทั้งปวงได้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? และมีสงครามช่วงเวลาของอาบียาห์กับเยโรโบอัม
|
||
\v 8 อาบียาห์ได้ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์และพวกเขาได้ฝังพระองค์ไว้ในเมืองดาวิด อาสาโอรสของพระองค์ก็ได้กลายเป็นกษัตริย์แทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 ในปีที่ยี่สิบของรัชกาลเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาสาได้เริ่มปกครองเหนือยูดาห์
|
||
\v 10 พระองค์ได้ทรงปกครองอยู่ สี่สิบเอ็ดปีในกรุงเยรูซาเล็ม สมเด็จย่าของพระองค์คือมาอาคาห์ บุตรหญิงของอาบีชาโลม
|
||
\v 11 อาสาได้ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์เหมือนดาวิดบรรพบุรุษของเขาได้กระทำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 12 อาสาทรงขับไล่โสเภณีประจำศาสนาออกไปจากดินแดน และทรงขจัดรูปเคารพทั้งปวงที่บรรพบุรุษของเขาสร้างขึ้น
|
||
\v 13 พระองค์ทรงถอดนางมาอาคาห์ย่าของพระองค์ออกจากตำแหน่งพระพันปีหลวง เพราะพระนางได้สร้างเสาเจ้าแม่อาเชราห์อันน่ารังเกียจ อาสาทรงโค่นเสานั้นและเผาทิ้งที่หุบเขาขิดโรน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 แม้พระองค์ไม่ได้ทรงรื้อสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายทิ้ง แต่พระทัยของอาสาก็อุทิศแน่วแน่ต่อพระยาห์เวห์ตลอดพระชนม์ชีพ
|
||
\v 15 พระองค์ทรงนำเงินและทองกับภาชนะต่างๆ ซึ่งพระองค์กับพระบิดาได้ทรงถวายแด่พระเจ้ามาไว้ในพระวิหารของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 สงครามยังมีขึ้นช่วงของอาสากับบาอาชากษัตริย์ของอิสราเอลตลอดรัชกาล
|
||
\v 17 บาอาชากษัตริย์ของอิสราเอลได้ทรงมาสู้รบอย่างหนักกับยูดาห์ และบาอาชาได้ทรงสร้างป้อมปราการที่เมืองรามาห์ เพื่อทรงปิดทางเข้าออกสู่เขตแดนของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 แล้วอาสาจึงทรงนำเงินและทองคำที่เหลือทั้งสิ้นจากพระคลังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และจากท้องพระคลังของพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ได้ทรงนำมอบให้กับมือของข้าราชบริพารและเพื่อนำไปถวายกษัตริย์เบนฮาดัดเป็นโอรสของทับริมโมโอรสของเฮซีโอน กษัตริย์แห่งอารัมซึ่งประทับอยู่ที่เมืองดามัสกัส พระองค์ตรัสว่า
|
||
\v 19 “ขอให้เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า เหมือนอย่างที่เคยทำระหว่างพระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าส่งของกำนัลที่เป็นเงินและทองมาให้ท่าน ขอให้ท่านได้ทรงตัดสัมพันธไมตรีกับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าพระองค์ทิ้งข้าพเจ้าไว้เพียงลำพัง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 เบนฮาดัดได้ทรงเห็นชอบกับกษัตริย์อาสา และได้ทรงส่งแม่ทัพและกองกำลังไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล ได้ทรงพิชิตเมืองอิโยน ดาน อาเบล เบธมาอาคาห์ คินเนเรททั้งสิ้น รวมทั้งนัฟทาลี
|
||
\v 21 เมื่อบาอาชาทรงรู้ข่าวก็หยุดการสร้างเมืองรามาห์ แล้วได้ทรงถอยทัพกลับไปยังเมืองทีรซาห์
|
||
\v 22 จากนั้นกษัตริย์อาสาทรงประกาศให้ทุกคนในยูดาห์ ไม่ละเว้นผู้ใดเลย ให้พวกเขาช่วยกันขนหินและไม้ซึ่งบาอาชาได้ทรงใช้อยู่ที่เมืองรามาห์ แล้วกษัตริย์อาสาทรงนำไปสร้างเมืองเกบาในแดนเบนยามินและเมืองมิสปาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 ในเรื่องอื่นๆ ในรัชกาลของอาสา ความสำเร็จทั้งปวง พระราชกิจทั้งหมด และเมืองต่างๆ ที่ได้ทรงสร้างขึ้นมีบันทึกในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? เมื่ออาสาทรงชราแล้วก็ทรงประชวรด้วยโรคที่พระบาท
|
||
\v 24 แล้วอาสาก็ได้ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮชาฟัทพระโอรสของพระองค์ได้เป็นกษัตริย์แทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 นาดับพระโอรสของเยโรโบอัมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอล ตรงกับปีที่สองของรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ ได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลอยู่สองปี
|
||
\v 26 พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ กระทำตามวิถีและบาปของพระบิดา ซึ่งชักนำอิสราเอลให้ทำบาปตาม
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 ฝ่ายบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์เชื้อสายอิสสาคาร์วางแผนและลงมือสังหารนาดับ ขณะที่ได้ทรงร่วมกับกองทัพอิสราเอลล้อมเมืองกิบเบโธนของฟีลิสเตีย
|
||
\v 28 ในปีที่สามของรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ บาอาชาได้ปลงพระชนม์นาดับแล้วขึ้นปกครองแทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ทันทีที่พระองค์เป็นกษัตริย์ บาอาชาก็ทรงสังหารวงศ์วานทั้งปวงของเยโรโบอัม ไม่ปล่อยให้ใครในเชื้อสายของเยโรโบอัมรอดชีวิต โดยวิธีนี้พระองค์ได้ทำลายหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ของเขา เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์ผู้รับใช้ของพระองค์
|
||
\v 30 เพราะบาปที่เยโรโบอัมได้ทรงกระทำและชักนำอิสราเอลให้กระทำตาม และเพราะเขาได้ทรงยั่วยุความกริ้วของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 ในเรื่องอื่นๆ ในรัชกาลของนาดับและพระราชกิจทั้งปวงได้ทรงมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
|
||
\v 32 มีสงครามในช่วงเวลาของอาสาและบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลตลอดช่วงเวลาของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 รัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ในปีที่สามของ บาอาชาพระโอรสของอาหิยาห์ได้ทรงปกครองเหนือดินแดนอิสราเอลทั้งปวงที่เมืองทีรซาห์ ได้ทรงปกครองยี่สิบสี่ปี
|
||
\v 34 บาอาชาได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ได้ทรงกระทำตามวิถีและบาปของเยโรโบอัม และพระองค์ได้ทรงชักนำให้อิสราเอลทำบาปตาม
|
||
\s5
|
||
\c 16
|
||
\p
|
||
\v 1 พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้มายังเยฮูบุตรชายของฮานานี ได้ตำหนิบาอาชาว่า
|
||
\v 2 “ในเมื่อเราได้ยกย่องเจ้าขึ้นมาจากผงคลี และได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้นำปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา เจ้าได้กระทำตามทางของเยโรโบอัม และได้ทำให้อิสราเอลประชาชนของเรากระทำบาปซึ่งยั่วยุให้เราโกรธด้วยบาปของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 ดูเถิดเราจะทำลายล้างบาอาชาและราชวงศ์ของเขาให้หมด และทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเป็นอย่างกับราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท
|
||
\v 4 สุนัขจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์บาอาชาที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินผู้ที่ตายในทุ่งนา”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 เรื่องอื่นๆ ของบาอาชาและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และพระราชอำนาจของพระองค์ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
|
||
\v 6 บาอาชาได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์และได้ทรงฝังไว้ที่เมืองทีรซาห์ และเอลาห์โอรสก็ได้เป็นกษัตริย์แทนที่
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 ดังนั้นโดยผู้เผยพระวจนะเยฮูบุตรชายของฮานานี พระคำของพระยาห์เวห์ได้มากล่าวตำหนิบาอาชาและเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ ทั้งเรื่องความชั่วร้ายทุกสิ่งซึ่งได้ทรงกระทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ คือทำให้พระองค์มีพระพิโรธด้วยพระราชกิจแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ที่เป็นเช่นเดียวกันกับวงศ์วานของเยโรโบอัม และเพราะพระองค์ได้ทรงสังหารราชวงศ์เยโรโบอัมทั้งหมดด้วย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 ในปีที่ยี่สิบหกแห่งสมัยของอาสากษัตริย์ของยูดาห์ เอลาห์โอรสของบาอาชาได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลในเมืองทีรซาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สองปี
|
||
\v 9 ศิมรีข้าราชบริพารของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองรถม้าศึกครึ่งหนึ่งของพระองค์ ได้คิดกบฏต่อพระองค์ ขณะนั้นเอลาห์ได้ประทับที่เมืองทีรซาห์ พระองค์ได้เสวยน้ำจัณฑ์จนเมาในบ้านของอารซา ผู้ซึ่งดูแลทรัพย์สินของเมืองทีรซาห์
|
||
\v 10 ศิมรีได้เข้ามาโจมตีและสังหารพระองค์ ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์แล้วก็ได้เป็นกษัตริย์แทนที่พระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 เมื่อศิมรีได้เริ่มปกครองและประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงสังหารราชวงศ์ของบาอาชาจนหมดพระองค์ไม่ได้ทรงเหลือผู้ชายสักคนเดียวทั้งที่เป็นญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายของบาอาชา
|
||
\v 12 ดังนั้นศิมรีได้ทรงทำลายราชวงศ์ของบาอาชาจนหมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ทรงกล่าวตำหนิบาอาชาโดยเยฮูผู้เผยพระวจนะ
|
||
\v 13 เพราะบาปทั้งหมดของบาอาชาและบาปของเอลาห์ พระโอรสของพระองค์ซึ่งได้ทรงกระทำ และได้ทรงทำให้อิสราเอลกระทำบาปด้วย พวกเขาได้กระตุ้นให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลมีพระพิโรธเพราะบรรดารูปเคารพของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 ในเรื่องอื่นๆ ของเอลาห์และทุกอย่างซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ ศิมรีได้ทรงปกครองได้เพียงเจ็ดวันในเมืองทีรซาห์ บัดนี้กองทัพได้ตั้งค่ายเพื่อสู้กับเมืองกิบเบโธนซึ่งเป็นของพวกคนฟีลิสเตีย
|
||
\v 16 กองทัพนั้นที่ตั้งค่ายอยู่ได้รู้ข่าวว่า “ศิมรีได้วางแผนร้ายและได้ปลงพระชนม์กษัตริย์” ในวันนั้นที่ในค่ายคนอิสราเอลทั้งหมดจึงตั้งอมรีผู้บัญชาการกองทัพให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
|
||
\v 17 อมรีและคนอิสราเอลทั้งหมดได้ขึ้นไปจากเมืองกิบเบโธน พวกเขาได้เข้าโอบล้อมเมืองทีรซาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ดังนั้น เมื่อศิมรีได้ทรงเห็นว่าเมืองนั้นยึดได้แล้ว พระองค์ก็ได้เข้าไปที่ป้อมที่ติดกับพระราชวังของกษัตริย์ และพระองค์ได้ทรงเผาไฟอาคารนั้นรวมกับพระองค์ และในวิธีนี้พระองค์ก็ได้สวรรคตในกองไฟ
|
||
\v 19 เพราะบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้ คือได้ทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ได้ทรงกระทำแบบเดียวกับเยโรโบอัม และด้วยบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ดังนั้นจึงชักนำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย
|
||
\v 20 แต่เรื่องอื่นของศิมรี และการกบฏซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 แล้วประชาชนอิสราเอลได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนครึ่งหนึ่งได้ติดตามทิบนีบุตรชายของกีนัท และได้แต่งตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ และครึ่งหนึ่งได้ติดตามอมรี
|
||
\v 22 แต่ประชาชนผู้ที่ได้ติดตามอมรีได้มีความแข็งแกร่งกว่าประชาชนที่ได้ติดตามทิบนีบุตรชายของของกีนัท ดังนั้นทิบนีจึงได้ตาย และอมรีก็ได้กลายเป็นกษัตริย์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 อมรีได้เริ่มปกครองอิสราเอลในปีที่สามสิบเอ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สิบสองปี พระองค์ได้ทรงครองราชย์ในเมืองทีรซาห์เป็นเวลาหกปี
|
||
\v 24 พระองค์ได้ทรงซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เป็นเงินสองตะลันต์ พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองบนเนินเขานั้น และได้ทรงเรียกนามเมืองนั้นว่า สะมาเรีย ตามชื่อของเชเมอร์ผู้เป็นอดีตเจ้าของเนินเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 อมรีได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ และได้ทรงกระทำชั่วมากกว่าบรรดากษัตริย์ผู้อยู่มาก่อน
|
||
\v 26 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำตามทางทุกอย่างของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และโดยบาปของพระองค์ทรงกระทำ พระองค์ก็ได้นำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลถูกยั่วยุความกริ้วเพราะเหล่ารูปเคารพที่ไร้ค่าทั้งหลายของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 ในเรื่องอื่นๆ ของอมรีซึ่งได้ทรงกระทำ และพระราชอำนาจซึ่งได้ทรงสำแดงไว้แล้ว ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
|
||
\v 28 ดังนั้นอมรีได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพในกรุงสะมาเรีย และอาหับพระโอรสของพระองค์ก็ได้กลายเป็นกษัตริย์แทนที่พระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ในสมัยของอาสากษัตริย์ของยูดาห์ในปีที่สามสิบแปด อาหับพระโอรสของอมรีได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอล อาหับโอรสของอมรีได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในกรุงสะมาเรียยี่สิบสองปี
|
||
\v 30 อาหับโอรสของอมรีได้ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ มากยิ่งกว่าบรรดากษัตริย์ที่อยู่มาก่อนพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 การที่อาหับได้ทรงดำเนินตามบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัทนั้นดูเหมือนว่าเป็นสิ่งไม่สำคัญสำหรับพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงรับเยเซเบลพระธิดาของเอ็ทบาอัลกษัตริย์ของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี และพระองค์ได้ไปนมัสการพระบาอัล และก้มกราบพระนั้น
|
||
\v 32 พระองค์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาพระบาอัลในพระวิหารของพระบาอัล ที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ในกรุงสะมาเรีย
|
||
\v 33 อาหับได้ทรงสร้างเสาพระอาเชราห์ อาหับได้ทรงทำการที่ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงมีความกริ้วมากยิ่งกว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลทุกพระองค์ซึ่งมาก่อนพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 34 ระหว่างการปกครองของอาหับ ฮีเอลชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโคขึ้นมาใหม่ ฮีเอลได้วางฐานรากเมืองนั้นด้วยมูลค่าของชีวิตของอาบีรัมพระราชโอรสหัวปีของท่าน และเสกุบพระโอรสคนสุดท้องของท่านที่ต้องเสียชีวิตขณะที่พระองค์กำลังสร้างประตูเมือง ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสผ่านทางโยชูวาบุตรชายของนูน
|
||
\s5
|
||
\c 17
|
||
\p
|
||
\v 1 เอลียาห์ชาวทิชบีแห่งเมืองทิชบีในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระองค์ได้รับใช้ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากข้าพระองค์จะทูลขอฉันนั้น”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 2 พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ว่า
|
||
\v 3 “จงออกจากที่นี่และไปทางตะวันออกและซ่อนตัวข้างลำธารเครีท ที่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
|
||
\v 4 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้ฝูงกาเลี้ยงดูเจ้าที่นั่น”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 ดังนั้นเอลียาห์จึงได้ไปและกระทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงบัญชา เขาได้ไปอาศัยอยู่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
|
||
\v 6 ฝูงกาได้นำขนมปังและเนื้อมาให้เขาในตอนเช้า และได้นำขนมปังและเนื้อมาในตอนเย็น และเขาได้ดื่มน้ำจากลำธาร
|
||
\v 7 แต่หลังจากนั้นไม่นาน ลำธารก็แห้งเหือด เพราะไม่มีฝนตกในดินแดน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ว่า
|
||
\v 9 “จงยืนขึ้นไปที่เมืองศาเรฟัท ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเมืองไซดอน และอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้สั่งให้หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้ให้อาหารสำหรับเจ้า”
|
||
\v 10 ดังนั้นเขาจึงได้ยืนขึ้นและเดินทางไปเมืองศาเรฟัท และเมื่อเขามาถึงประตูของเมือง ซึ่งหญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกำลังรวบรวมไม้ฟืน ดังนั้นเขาจึงได้เรียกนางและพูดว่า “ขอเอาน้ำใส่เหยือกมาให้ข้าพเจ้าสักเล็กน้อย เพื่อข้าพเจ้าจะได้ดื่ม”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 เมื่อในขณะที่นางจะไปเอาน้ำมาให้ เขาก็ได้เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำขนมปังในมือเจ้ามาให้ข้าพเจ้าสักชิ้นหนึ่งเถิด”
|
||
\v 12 นางได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีขนมปังเลย นอกจากอาหารในกำมือเดียวในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยในเหยือก ดูเถิด ดิฉันกำลังรวบรวมไม้ฟืนสักสองอัน เพื่อว่าดิฉันจะเข้าไปปรุงอาหารสำหรับตัวเองและบุตรชายของดิฉัน เพื่อพวกเราจะกินและตาย”
|
||
\v 13 เอลียาห์บอกนางว่า “จงอย่ากลัว จงไปและทำอย่างที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมปังก้อนเล็กน้อยให้ข้าพเจ้าก่อน แล้วเอาออกมาให้ข้าพเจ้า ต่อมาภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้า
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 เหตุเพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘อาหารในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในเหยือกนั้นจะไหลไม่หยุดไหลจนกว่าในวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงส่งฝนตกลงมายังโลก”
|
||
\v 15 ดังนั้นนางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์ที่ได้บอกนาง นางและเอลียาห์พร้อมด้วยครอบครัวของนางก็ได้รับประทานอยู่หลายวัน
|
||
\v 16 อาหารในหม้อก็ไม่ขาด และน้ำมันในเหยือกก็จะไม่หยุดไหล ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัสผ่านทางเอลียาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 ภายหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ บุตรชายของหญิงนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ป่วย อาการป่วยของเขานั้นหนักมาก จนหายใจไม่ออก
|
||
\v 18 ดังนั้นนางจึงได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “ คนของพระเจ้า ดิฉันทำอะไรผิดต่อท่าน? ท่านจึงมาหาดิฉัน เพื่อเตือนความบาปของดิฉัน และเพื่อฆ่าบุตรชายของดิฉันเช่นนั้นหรือ?”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 แล้วเอลียาห์พูดกับนางว่า “เอาบุตรชายของเจ้ามาให้ข้าพเจ้าเถิด” เขาก็นำเด็กชายไปจากแขนของนาง และแบกเขาขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่ท่านพัก และเขาวางเด็กชายบนที่นอนของเขาเอง
|
||
\v 20 เขาร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงนำหายนะมาสู่หญิงม่ายที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วย โดยได้ทรงสังหารบุตรชายของนางเช่นนั้นหรือ? ”
|
||
\v 21 แล้วเอลียาห์ได้ยืดตัวลงบนเด็กนั้นสามครั้ง เขาได้ร้องต่อพระยาห์เวห์และพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอร้องพระองค์ ได้โปรดประทานชีวิตของเด็กคนนี้กลับเข้ามาในตัวเขาด้วยเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 พระยาห์เวห์ได้ทรงรับฟังเสียงเอลียาห์ ชีวิตของเด็กนั้นจึงกลับคืนมาหาเขา และเขาก็ได้ฟื้น
|
||
\v 23 เอลียาห์ก็ได้จับเด็กนั้น และได้พาเขาลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในบ้าน เขาได้มอบเด็กชายให้แก่มารดาของเด็กและพูดว่า “ดูเถิด บุตรชายของเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
|
||
\v 24 หญิงนั้นได้พูดกับเอลียาห์ว่า “บัดนี้ดิฉันทราบแล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่มาจากปากท่านนั้นเป็นความจริง”
|
||
\s5
|
||
\c 18
|
||
\p
|
||
\v 1 หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายต่อหลายวันพระคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ ในปีที่สามของความแห้งแล้งกล่าวว่า “จงไปแสดงตัวของเจ้าต่ออาหับ และเราจะส่งฝนให้ตกลงมาในโลก”
|
||
\v 2 เอลียาห์จึงได้ไปแสดงตัวของเขาต่ออาหับ บัดนี้ความอดอยากในสะมาเรียรุนแรงมาก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 อาหับทรงรับสั่งให้โอบาดีห์ผู้ดูแลราชวังมาพบ บัดนี้โอบาดีห์ได้ถวายเกียรติพระยาห์เวห์มาก
|
||
\v 4 เพราะเมื่อครั้งเยเซเบลได้เข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ โอบาดีห์ได้ช่วยเหลือพวกผู้เผยพระวจนะหนึ่งร้อยคนและได้ซ่อนตัวพวกเขาแห่งละห้าสิบคนในแต่ละถ้ำและเลี้ยงอาหารกับน้ำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 อาหับจึงตรัสกับโอบาดีห์ว่า “จงไปยังตาน้ำและลำธารทุกแห่งทั่วดินแดน บางทีเราอาจจะพบหญ้าและช่วยชีวิตม้าและล่อของเราให้มีชีวิต เพื่อว่าเราจะได้ไม่สูญเสียสัตว์ทั้งหมด”
|
||
\v 6 เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงแยกพื้นที่กันเพื่อจะได้เสาะหาให้ทั่วและค้นหาน้ำ อาหับได้เสด็จไปทางหนึ่งด้วยตัวพระองค์เองและโอบาดีห์ได้ไปอีกทางหนึ่ง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 ขณะที่โอบาดีห์เดินไปตามถนน เอลียาห์ก็บังเอิญมาพบเขา โอบาดีห์นั้นจำเอลียาห์ได้ และได้หมอบคำนับลงกับพื้น เขาได้กล่าวว่า “เอลียาห์นายของข้าพเจ้าคือท่านใช่ไหม? ”
|
||
\v 8 เอลียาห์ตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าเอง ไปกราบทูลเจ้านายของท่านเถิดว่า ‘ดูสิ เอลียาห์อยู่ที่นี่แล้ว’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 โอบาดีห์ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาปผิดอะไรหรือ ท่านจึงใคร่จะให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเข้าไปในมือของอาหับ เพื่อให้พระองค์ประหารข้าพเจ้า?
|
||
\v 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ก็ไม่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดที่นายของข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาตัวท่าน และเมื่อใดก็ตามที่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดบอกว่า ‘เอลียาห์ไม่ได้อยู่ที่นั่น’ อาหับก็จะทรงให้พวกเขาสาบานว่าพวกเขาไม่พบท่าน
|
||
\v 11 มาตอนนี้ท่านบอกให้ ‘ไปทูลเจ้านายว่าเอลียาห์อยู่ที่นี่’
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 12 แต่เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว พระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะมารับตัวท่านไปในที่ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ แล้วเมื่อข้าพเจ้าไปและทูลแล้วอาหับเสด็จมาไม่พบท่าน พระองค์จะทรงสังหารข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านได้นมัสการพระยาห์เวห์มาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังหนุ่ม นายของข้าพเจ้า
|
||
\v 13 เจ้านายของข้าพเจ้า ไม่มีใครบอกท่านหรือว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรเมื่อครั้งเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์นั้น ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ร้อยคนในถ้ำ โดยได้แบ่งห้าสิบคนในแต่ละถ้ำ และจัดส่งอาหารกับน้ำให้อย่างไร?
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 14 บัดนี้ท่านบอกข้าพเจ้าให้ทูลว่า ‘ไปและบอกนายของเจ้าว่าเอลียาห์อยู่ที่นี่’ ดังนั้นพระองค์จะสังหารชีวิตข้าพเจ้า”
|
||
\v 15 แล้วเอลียาห์ได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์จอมเจ้านายที่ข้าพเจ้าเคยยืนหยัดเพื่อพระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าก็จะแสดงตัวต่ออาหับในวันนี้อย่างแน่นอนฉันนั้น”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 ดังนั้นโอบาดีห์จึงได้ไปเข้าเฝ้าอาหับและกราบทูลพระองค์ในสิ่งที่เอลียาห์ได้พูด แล้วกษัตริย์ก็ได้เสด็จออกมาพบเอลียาห์
|
||
\v 17 เมื่ออาหับเห็นเอลียาห์ พระองค์ก็ได้ตรัสว่า “นี่เจ้าหรือ? เจ้าคือคนที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 เอลียาห์ได้ตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล แต่พระองค์และวงศ์วานของพระบิดาของพระองค์ต่างหากที่ได้นำความเดือดร้อนมา โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ และโดยการติดตามพระบาอัล
|
||
\v 19 บัดนี้จงส่งข่าวไปและรวมอิสราเอลทั้งหมดมาพบข้าพเจ้าบนภูเขาคารเมล พร้อมทั้ง ผู้พระยากรณ์ของพระบาอัล 450 คน และผู้เผยพระวจนะของเจ้าแม่อาเชราห์สี่ร้อยคน ซึ่งร่วมโต๊ะเสวยของเยเซเบล”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 เพราะฉะนั้นอาหับจึงได้ส่งข่าวไปยังประชาชนทั้งสิ้นของอิสราเอล และเรียกบรรดาผู้เผยพระวจนะให้มาประชุมบนภูเขาคารเมล
|
||
\v 21 เอลียาห์เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งหมดและได้พูดว่า “พวกท่านจะเปลี่ยนใจไปมาอีกนานสักเท่าใด? หากพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่หากพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามเขา” แต่ประชาชนไม่ได้ตอบอะไรกับท่านแม้นคำเดียวเลย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 จากนั้นเอลียาห์จึงกล่าวกับประชาชนว่า “เรา เราเพียงคนเดียวเป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่หลงเหลืออยู่ แต่ฝ่ายพระบาอัลมีผู้พระยากรณ์ถึง 450 คน
|
||
\v 23 ดังนั้นพวกท่านจงมอบโคผู้มาสองตัวให้พวกเรา ให้พวกเขาเลือกไปตัวหนึ่ง และตัดเป็นชิ้นๆ วางบนไม้ฟืน แต่ไม่ต้องจุดไฟข้างล่าง แล้วข้าพเจ้าจะเตรียมโคผู้อีกตัว และนำมาวางบนไม้ฟืนโดยไม่จุดไฟข้างล่าง
|
||
\v 24 จากนั้นพวกท่านจงร้องออกนามพระของพวกท่าน และเราจะร้องออกนามพระยาห์เวห์ และพระเจ้าองค์ที่ตอบโดยส่งไฟมานั่นแหละคือพระเจ้าที่แท้จริง” ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงตอบ และได้กล่าวว่า “นี่เข้าท่าดี”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 ดังนั้นเอลียาห์ได้กล่าวกับ ผู้พระยากรณ์ของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคผู้ไปตัวหนึ่งสำหรับพวกท่านและจัดเตรียมก่อนเถิดเพราะพวกท่านมีกันหลายคน แล้วจงร้องเรียกพระนามของพระของพวกท่าน แต่อย่าจุดไฟข้างล่างโคผู้”
|
||
\v 26 พวกเขาจึงได้รับโคผู้ที่มีคนนำมามอบให้ไปและได้จัดเตรียม แล้วพวกเขาได้ร้องเรียกพระนามของพระบาอัลตั้งแต่ตอนเช้าจนในตอนเที่ยง ร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดสดับพวกข้าพระองค์เถิด” แต่ไม่มีเสียงหรือผู้ใดตอบอะไรมาเลย พวกเขาร่ายรำไปรอบๆ แท่นที่พวกเขาได้สร้างขึ้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 ตอนเที่ยงเอลียาห์จึงถากถางพวกเขาว่า “ตะโกนดังขึ้นอีกหน่อย ก็พระบาอัลคือพระเจ้านี่ บางทีพระองค์อาจจะกำลังใจลอย หรือปลดทุกข์อยู่ หรือกำลังเดินทาง ไม่พระองค์อาจกำลังหลับอยู่ ต้องช่วยกันปลุกให้ตื่น”
|
||
\v 28 ฉะนั้นพวกเขายิ่งร้องตะโกนดังขึ้น และพวกเขาได้เอาดาบและหอกมาเฉือนเนื้อตัวเองตามพิธีจนพวกเขาเลือดไหลทั่วตัวพวกเขาเอง
|
||
\v 29 เที่ยงวันผ่านไป และพวกเขายังคงทำสิ่งที่บ้าคลั่งต่อไปจนถึงเวลาถวายบูชาเครื่องบูชาเวลาตอนเย็น แต่ไม่มีเสียงตอบรับหรือไม่มีใครตอบอะไรเลย ไม่มีใครสนใจคำทูลร้องขอของพวกเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 30 จากนั้นเอลียาห์จึงได้กล่าวแก่เหล่าประชาชนว่า “มาใกล้ๆเรา” และพวกเขาทั้งหมดก็มาใกล้เขา แล้วเอลียาห์ได้ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ซึ่งอยู่ในสภาพปรักพักพัง
|
||
\v 31 เอลียาห์ได้นำหินมาสิบสองก้อน หนึ่งก้อนแทนหนึ่งเผ่าของบรรดาบุตรชายของยาโคบ เป็นยาโคบผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่า “อิสราเอลจะเป็นนามของเจ้า”
|
||
\v 32 ด้วยหินเหล่านี้ เขาได้ใช้ในการสร้างแท่นบูชาในพระนามพระยาห์เวห์และเขาได้ขุดร่องรอบแท่นบูชาขนาดใหญ่พอที่จะใส่เมล็ดพืชได้ถึงสองซีอาห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 เขาได้เรียงไม้ฟืนเพื่อจุดไฟ สับโคผู้เป็นชิ้นๆ วางชิ้นต่างๆของโคผู้บนไม้ฟืน เขาได้พูดว่า “จงตักน้ำให้เต็มสี่ถัง และเทลงบนเครื่องเผาบูชาและบนไม้ฟืน”
|
||
\v 34 แล้วเขาได้กล่าวว่า “จงทำอีกเป็นครั้งที่สอง” และพวกเขาก็ทำเป็นครั้งที่สอง ทำอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงพูดว่า “จงทำเป็นครั้งที่สาม” และพวกเขาได้ทำตามเป็นครั้งที่สาม
|
||
\v 35 น้ำนั้นไหลรอบๆ แท่นบูชาและเต็มร่องที่ขุดไว้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 36 เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในตอนเย็นเวลาถวายบูชาเครื่องบูชา ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ได้เดินมาใกล้และกล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เป็นที่ทราบทั่วกันในวันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้กระทำทั้งหมดเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์
|
||
\v 37 ขอโปรดสดับข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอโปรดสดับข้าพระองค์ เพื่อประชาชนเหล่านี้จะได้รู้ว่าคือพระองค์ พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าและขอพระองค์ทรงนำจิตใจของพวกเขากลับมาหาพระองค์เองอีกครั้ง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 38 หลังจากนั้นเองไฟของพระยาห์เวห์ก็ตกลงมาและเผาไหม้เครื่องเผาบูชา ขณะที่ไม้ฟืน หิน และพื้นดินตรงนั้น และแม้แต่น้ำในร่องรอบๆ แท่นก็แห้งไปหมด
|
||
\v 39 เมื่อประชาชนได้เห็นดังนั้น พวกเขาก็ได้ก้มหน้าลงที่พื้นดินและร้องว่า “พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า”
|
||
\v 40 ดังนั้นเอลียาห์ก็ได้กล่าวกับพวกเขาว่า “จงจับกุมตัว ผู้พยากรณ์ของพระบาอัลไว้ อย่าให้พวกเขาหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” ดังนั้นพวกเขาก็เข้าจับกุม และเอลียาห์ได้นำตัวบรรดาผู้พระยากรณ์ของพระบาอัลที่ลงไปยังลำธารคีโชนและสังหารพวกเขาที่นั่น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 เอลียาห์ได้กราบทูลอาหับว่า “ขอทรงยืนขึ้นเชิญเสวยและทรงดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนห่าใหญ่”
|
||
\v 42 ดังนั้นอาหับจึงได้เสด็จไปเสวยและทรงดื่ม แล้วเอลียาห์ได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล แล้วเขาได้โค้งตัวลงถึงพื้นดิน และก้มหน้าของเขาลงตรงกลางเข่าของเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 43 เขาได้สั่งคนรับใช้ของเขาว่า “จงไปและมองไปทางทะเล” คนรับใช้ของเขาได้ขึ้นไป และมองดู และพูดว่า “ไม่มีอะไรเลย” ดังนั้น เอลียาห์จึงได้พูดว่า “กลับไปดูอีกเจ็ดครั้ง”
|
||
\v 44 ในครั้งที่เจ็ด คนรับใช้นั้นได้พูดว่า “ดูเถิด มีเมฆเล็กๆ ขนาดราวฝ่ามือของคนกำลังเคลื่อนขึ้นมาจากทะเล” เอลียาห์จึงได้กล่าวว่า “จงไปทูลต่ออาหับว่า ‘จงเตรียมรถม้าศึกของพระองค์แล้วลงจากภูเขา ก่อนพระองค์จะทรงติดฝน’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 45 สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นในไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดทะมึนด้วยเมฆและลม มีฝนโหมกระหน่ำ อาหับได้รีบเสด็จไปยังยิสเรเอล
|
||
\v 46 แต่พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ทรงลงมาบนเอลียาห์ เขาได้กระชับที่คาดเอวเสื้อคลุมของเขา และวิ่งแซงหน้าอาหับมาจนถึงทางเข้าเมืองยิสเรเอล
|
||
\s5
|
||
\c 19
|
||
\p
|
||
\v 1 อาหับได้ทรงกล่าวแก่เยเซเบลถึงทุกอย่างที่เอลียาห์ได้กระทำ และการที่เอลียาห์ได้ประหารผู้พยากรณ์ของพระบาอัลทั้งหมดด้วยดาบ
|
||
\v 2 จากนั้นเยเซเบลส่งคนมาแจ้งเอลียาห์ว่า “ขอให้พระทั้งหลายทำกับเราและมากยิ่งกว่านั้น หากภายในพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ เรายังไม่ปลิดชีวิตเจ้าเหมือนที่เจ้าทำปลิดชีวิตของผู้พยากรณ์เหล่านั้น”
|
||
\v 3 เมื่อเอลียาห์ได้ยินดังนั้น เขาก็ยืนขึ้นและรีบหนีเอาชีวิตรอด ไปยังเบเออร์เชบาซึ่งเป็นของอาณาจักรยูดาห์ และทิ้งคนรับใช้ของเขาไว้ที่แห่งนั่น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 ส่วนเขาเองเดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารแต่ลำพัง รอนแรมตลอดวัน แล้วเขาจึงได้มาและนั่งลงใต้ต้นไม้พุ่มต้นหนึ่ง เขาได้อธิษฐานให้ตัวเองตายเสียและกล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ทนมามากพอแล้ว ขอทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเถิด ข้าพระองค์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ที่ได้ตายไปแล้ว”
|
||
\v 5 ฉะนั้นเขาก็นอนลงใต้ต้นไม้พุ่มและหลับไป ทันใดนั้นมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาสัมผัสตัวเขาและบอกว่า “จงลุกขึ้นและรับประทานอาหาร”
|
||
\v 6 เอลียาห์ได้มองไปรอบๆ และมีขนมปังปิ้งอยู่บนถ่านร้อนๆ และมีน้ำเหยือกหนึ่งอยู่ที่ใกล้ศีรษะของเขา ฉะนั้นเขาจึงรับประทานขนมปัง ดื่มน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ได้มาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง ได้สัมผัสตัวขาและได้บอกว่า “จงลุกขึ้นและรับประทานอาหารเพราะการเดินทางครั้งนี้มากเกินกว่ากำลังของท่าน”
|
||
\v 8 ดังนั้นเอลียาห์จึงได้ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเขาได้เดินทางด้วยกำลังจากอาหารนั้นเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนจนมาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 เขาได้เข้าไปพักในถ้ำแห่งหนึ่งที่นั่น แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์จึงมาถึงเขาและได้ตรัสแก่เขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
|
||
\v 10 เอลียาห์ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้ทุ่มเทอย่างมากเพื่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมเจ้านาย เพราะประชาชนอิสราเอลได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และได้สังหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์ด้วยคมดาบ บัดนี้เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียว และพวกเขากำลังพยายามเอาชีวิตของข้าพระองค์ด้วย”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงออกไปยืนต่อหน้าเราบนภูเขา” แล้วเมื่อพระยาห์เวห์เสด็จผ่านไป ก็มีลมพายุกล้าพัดปะทะภูเขาอย่างรุนแรง ทำให้หินแตกเป็นชิ้นๆ ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในลม แล้วต่อจากลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหวนั้น
|
||
\v 12 จากนั้นแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟมีเสียงกระซิบเบาๆ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 ครั้นเมื่อเอลียาห์ได้ยินเสียง เขาก็ได้ยกเสื้อคลุมขึ้นคลุมหน้า และได้ออกไปยืนอยู่ตรงทางเข้าปากถ้ำ แล้วก็มีเสียงหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
|
||
\v 14 เอลียาห์ได้ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้ทุ่มเทอย่างมากเพื่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมเจ้านาย เพราะประชาชนอิสราเอลได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และได้สังหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์ด้วยคมดาบ บัดนี้เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียว และพวกเขากำลังพยายามเอาชีวิตของข้าพระองค์ด้วย”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า “จงกลับไปเส้นทางที่เจ้ามา แล้วไปยังแดนทุรกันดารแห่งดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น จงเจิมตั้งฮาซาเอลให้เป็นกษัตริย์เหนืออารัม
|
||
\v 16 และเจ้าจงเจิมเยฮูบุตรชายของนิมชีให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล แล้วเจ้าจงเจิมเอลีชาบุตรชายของชาฟัทจากอาเบลเมโหลาห์ให้เป็นผู้เผยพระวจนะสืบต่อจากเจ้า
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ผู้ใดหนีรอดจากคมดาบของฮาซาเอลจะถูกเยฮูฆ่า และผู้ใดหนีรอดจากคมดาบของเยฮูจะถูกเอลีชาฆ่า
|
||
\v 18 แต่เราจะเหลือประชาชนไว้เจ็ดพันคนในอิสราเอล ผู้ซึ่งเข่าของพวกเขาไม่ได้คุกลงกราบไหว้ และปากของพวกเขาไม่ได้จูบพระบาอัล”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 ดังนั้นเอลียาห์จึงไปจากที่แห่งนั่น และพบเอลีชาบุตรชายของชาฟัทกำลังไถนา โดยมีโคเทียมแอกสิบสองคู่อยู่ต่อหน้าเขา และตัวเขาเองนั้นกำลังไถนาอยู่กับแอกที่สิบสอง เอลียาห์จึงได้ตรงเข้าไปหาและสวมเสื้อคลุมให้เอลีชา
|
||
\v 20 แล้วเอลีชาได้ทิ้งโคเหล่านั้นไว้และวิ่งตามเอลียาห์ แล้วเขากล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบลาบิดามารดาเสียก่อน แล้วจะติดตามท่านไป” แล้วเอลียาห์ได้ตอบเขาว่า “กลับไปเถอะ แต่อย่าลืมสิ่งที่เราได้ทำต่อเจ้า ”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 ดังนั้นเอลีชาได้ออกไปจากเอลียาห์ เอาแอกโคมาทำเป็นฟืน ฆ่าสัตว์ และ เอาเนื้อมาปรุงอาหารด้วยไม้ของแอกโค แล้วเขาได้แจกจ่ายเนื้อให้ประชาชนและพวกเขาก็ได้รับประทาน จากนั้นเอลีชาลุกขึ้นติดตามเอลียาห์ไปและได้รับใช้เอลียาห์
|
||
\s5
|
||
\c 20
|
||
\p
|
||
\v 1 เบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงสั่งสมไพร่พลทั้งหมดของพระองค์ มีกษัตริย์ที่รองจากพระองค์สามสิบสององค์ทรงอยู่กับพระองค์ รวมทั้งม้าและรถม้าศึก และพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปล้อมสะมาเรีย และต่อสู้กับชาวเมืองนั้น
|
||
\v 2 พระองค์ได้ส่งผู้สื่อสารเข้าเมืองไปพบอาหับกษัตริย์ของอิสราเอล และทูลพระองค์ว่า “เบนฮาดัดตรัสดังนี้ว่า
|
||
\v 3 ‘เงินและทองของพระองค์เป็นของเรา บรรดาพระมเหสีและพระโอรสที่ดีที่สุดของพระองค์บัดนี้ก็เป็นของเราด้วย’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 4 กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นดังที่พระองค์ตรัส ข้าพเจ้าและทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีเป็นของพระองค์”
|
||
\v 5 บรรดาผู้สื่อสารได้กลับมาอีกครั้งและกล่าวว่า “เบนฮาดัดตรัสตอบดังนี้ว่า ‘เราส่งถ้อยคำมายังพระองค์ว่า จงให้เงินและทองของพระองค์ บรรดาพระมเหสีและพระโอรสทั้งหลายของพระองค์กับเรา
|
||
\v 6 แต่เราจะส่งข้าราชบริพารของเราไปหาพระองค์พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ และพวกเขาจะค้นวังของพระองค์ ค้นบ้านข้าราชบริพารของพระองค์ แล้วพวกเขาจะหยิบสิ่งใดที่ต้องตาของพวกเขาไป’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 จากนั้นกษัตริย์อิสราเอลได้เรียกประชุมพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของดินแดน ตรัสว่า “ขอใคร่ครวญดูและดูว่าชายผู้นี้หาเรื่องเดือดร้อนให้เราอย่างไร เขาได้ส่งถ้อยคำแก่เราเพื่อจะให้คนมาเอาภรรยาและลูกของเรา ทั้งเงินและทองของเรา และเราก็ไม่ได้ปฏิเสธเขา”
|
||
\v 8 บรรดาผู้อาวุโสและประชาชนทั้งหมดได้ทูลอาหับว่า “ขออย่าทรงฟัง หรืออย่าทรงยอมตามคำสั่งของเขา”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 9 ดังนั้นอาหับจึงได้รับสั่งแก่ผู้สื่อสารของเบนฮาดัดว่า “จงไปทูลกษัตริย์เจ้านายของเราว่า ‘เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พระองค์เรียกร้องจากผู้รับใช้ของพระองค์ในครั้งแรกนั้น แต่คำสั่งที่สองนี้เรายอมรับไม่ได้’” ดังนั้นผู้สื่อสารก็ได้จากไป และกลับไปรายงานต่อเบนฮาดัด
|
||
\v 10 แล้วเบนฮาดัดได้ส่งข่าวกลับมายังอาหับและพูดว่า “ขอให้พวกพระทั้งหลายลงโทษเราและสาหัสยิ่งกว่า หากว่าเราเหลือผงขี้เถ้าแห่งสะมาเรียพอให้ประชาชนทั้งหมดที่ติดตามเรากำได้คนละหนึ่งกำมือ”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 กษัตริย์อิสราเอลได้ตรัสตอบว่า “จงทูลเบนฮาดัดว่า ‘ไม่มีใครที่สวมเกราะจะอวดอ้างราวกับว่าเขาได้ถอดเกราะออกแล้ว’”
|
||
\v 12 เบนฮาดัดได้ทรงทราบข่าวนี้ เวลาที่พระองค์ทรงกำลังดื่มอยู่กับพวกกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้พระองค์ ที่ในเต็นท์ เบนฮาดัดก็ได้ทรงรับสั่งคนของพระองค์ว่า “จงเข้าประจำการเพื่อพร้อมรบ” ฉะนั้นเขาทั้งหลายก็ได้เตรียมตัวเองให้พร้อมรบเพื่อเข้าโจมตีเมืองนั้นแล้ว
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง ได้มาหาอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลและได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่นี้หรือไม่? ดูสิ เราจะให้ไว้กับมือของเจ้าในวันนี้ จากนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์’”
|
||
\v 14 อาหับได้ตรัสว่า “โดยใครหรือ?” พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า “โดยมือของข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลาย” จากนั้นอาหับได้ตรัสว่า “ใครจะเริ่มเข้าสู้รบ?” พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “เจ้าไงเล่า”
|
||
\v 15 แล้วอาหับจึงทรงรวบรวมข้าราชบริพารหนุ่ม ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งมี 232 คน ภายหลังพระองค์ได้ทรงรวบรวมทหารทั้งมวล เป็นกองทัพของอิสราเอลทั้งหมด มีเจ็ดพันคน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 พวกเขาได้ยกทัพออกไปในตอนเที่ยง ฝ่ายเบนฮาดัดทรงกำลังดื่มอย่างเมามายในเต็นท์ รวมทั้งพระองค์และกษัตริย์ที่รองจากพระองค์อีกสามสิบสององค์ที่ทรงช่วยพระองค์
|
||
\v 17 ข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลายได้ยกออกไปก่อน แล้วเบนฮาดัดได้รับรายงานจากผู้สอดแนมที่พระองค์ได้ทรงส่งออกไปว่า “มีคนกำลังออกมาจากสะมาเรีย”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 เบนฮาดัดได้ตรัสว่า “ ไม่ว่าพวกเขาออกมาด้วยสันติหรือทำสงคราม จงจับพวกเขามาทั้งที่ยังมีชีวิต ”
|
||
\v 19 ดังนั้นข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลาย และไพร่พลที่ได้ติดตามพวกเขาได้เดินทัพออกจากเมือง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 20 พวกเขาแต่ละคนก็ได้สังหารคู่ต่อสู้ของเขา คนอารัมได้วิ่งหนี และคนอิสราเอลได้ไล่ติดตามพวกเขาไป เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงม้าหนีไปกับทหารม้า
|
||
\v 21 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงออกไปและทรงโจมตีม้าและรถม้าศึก และทรงสังหารคนอารัมเป็นอันมาก
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 22 ดังนั้นผู้เผยพระวจนะคนนั้นได้มาเข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอลและทูลพระองค์ว่า “จงไป ขอเสริมกำลังของพระองค์ และใคร่ครวญดูว่า พระองค์จะทรงทำสิ่งใด เพราะในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า กษัตริย์แห่งอารัมจะยกกองทัพมาต่อสู้กับพระองค์อีกครั้ง”
|
||
\v 23 ข้าราชบริพารของกษัตริย์อารัมได้กราบทูลพระองค์ว่า “บรรดาพระของเขาเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าเรา แต่ขอให้เราต่อสู้กับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 ดังนั้นขอพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ ขอทรงถอดถอนกษัตริย์เสียทุกองค์จากตำแหน่ง และทรงแต่งตั้งนายทหารแทน
|
||
\v 25 จงเพิ่มจำนวนพลของกองทัพเข้าแทนส่วนที่พระองค์ได้สูญเสียไป ม้าต่อม้า รถม้าศึกต่อรถม้าศึก แล้วเราทั้งหลายจะต่อสู้กับพวกเขาในที่ราบ พวกเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน” ดังนั้นเบนฮาดัดทรงฟังเสียงของพวกเขา และทรงทำตามที่พวกเขาได้แนะนำ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 หลังจากเริ่มปีใหม่ เบนฮาดัดได้ทรงรวบรวมคนอารัมและยกขึ้นไปที่เมืองอาเฟกสู้รบกับคนอิสราเอล
|
||
\v 27 คนอิสราเอลก็ถูกรวบรวม และได้ออกไปสู้รบกับเขาทั้งหลาย คนอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าพวกเขาราวกับแพะสองฝูงที่เล็กน้อยแต่คนอารัมได้เต็มพื้นดินไปทั่ว
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 28 จากนั้นคนของพระเจ้าคนหนึ่งได้เข้าไปใกล้ และกราบทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะคนอารัมได้กล่าวว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งเนินเขา พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งที่ราบ เราจะให้กองทัพใหญ่ทั้งสิ้นนี้ในมือของเจ้า และพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ดังนั้นเขาทั้งหลายได้ตั้งค่ายทหารฝั่งตรงข้ามกันเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นในวันที่เจ็ดการสู้รบได้เริ่มต้นขึ้น คนอิสราเอลได้ฆ่าคนอารัม ซึ่งเป็นทหารราบ 100,000 คนในหนึ่งวัน
|
||
\v 30 พวกที่รอดได้หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองได้ล้มทับคนที่เหลือรอดสองหมื่นเจ็ดพันคน เบนฮาดัดทรงหนีและได้เข้าไปในห้องด้านในที่ในเมือง
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 ข้าราชบริพารของเบนฮาดัดได้ทูลพระองค์ว่า “ บัดนี้ ดูเถิด เราได้ยินว่าบรรดากษัตริย์แห่งราชวงศ์อิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่ทรงปราณี ขอให้เราได้เอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันรอบศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล พระองค์อาจจะไว้ชีวิตพระองค์”
|
||
\v 32 ดังนั้นพวกเขาจึงได้เอาผ้ากระสอบคาดเอว ได้เอาเชือกพันศีรษะ ไปเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล และทูลว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของพระองค์ขอกราบทูลว่า ‘ขอทรงโปรดไว้ชีวิตข้าพระองค์’” อาหับได้ตรัสว่า “พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่หรือ? พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของเรา”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 33 บัดนี้คนเหล่านั้นผู้ที่ได้ฟังเห็นสัญญาณดีจากอาหับ ดังนั้นพวกเขาก็รีบตอบโดยเร็วว่า “เบนฮาดัดพระอนุชาของพระองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่” แล้วอาหับตรัสว่า “ไปนำพระองค์มาเถิด” แล้วเบนฮาดัดก็เสด็จออกมาหาพระองค์ แล้วอาหับก็ให้พระองค์ขึ้นไปบนรถม้าศึกของพระองค์
|
||
\v 34 เบนฮาดัดได้กราบทูลอาหับว่า “เมืองต่างๆ ซึ่งพระบิดาของข้าพเจ้ายึดเอาไปจากพระบิดาของพระองค์นั้น ข้าพเจ้าขอคืนให้พระองค์ และพระองค์จะทรงสร้างที่ค้าขายสำหรับพระองค์เองในเมืองดามัสกัส อย่างที่พระบิดาข้าพเจ้าได้ทรงกระทำในสะมาเรีย” แล้วอาหับตรัสว่า “เราจะยอมให้พระองค์ไป ตามพันธสัญญานี้” ดังนั้นอาหับจึงได้ทรงทำพันธสัญญากับพระองค์ และปล่อยพระองค์ไป
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 35 หนึ่งคนในกลุ่มบุตรชายของผู้เผยพระวจนะ ได้พูดกับหนึ่งในบรรดาเพื่อนของเขา ตามพระคำของพระยาห์เวห์ว่า “ได้โปรดตีข้าที” แต่ชายคนนั้นก็ได้ปฏิเสธที่จะตีเขา
|
||
\v 36 จากนั้นผู้เผยพระวจนะจึงพูดกับเพื่อนของเขาว่า “เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ ทันใดที่เจ้าจากข้าไป สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าเจ้า” ทันทีที่ชายคนนั้นได้จากเขาไป สิงโตตัวหนึ่งก็ได้มาพบเขาและได้ฆ่าเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 37 จากนั้นผู้เผยพระวจนะได้ไปพบชายอีกคนหนึ่ง และกล่าวว่า “ได้โปรดตีข้า” ชายคนนั้นได้ตีท่านและทำให้ท่านได้บาดเจ็บ
|
||
\v 38 แล้วผู้เผยพระวจนะนั้นจึงได้จากไป และได้คอยพบกษัตริย์อยู่ที่ถนน เขาได้ปลอมตัวเขาเองด้วยผ้าพันที่ตาของเขา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 39 พอกษัตริย์ทรงผ่านไป ผู้เผยพระวจนะได้ร้องทูลกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าไปในกลางศึก และทหารคนหนึ่งได้หยุดและนำชายคนหนึ่งมาให้ข้าพระองค์ บอกว่า ‘จงระวังชายคนนี้ไว้ ถ้าเขาหลุดไปได้โดยเหตุใดๆ ชีวิตของท่านจะต้องแทนชีวิตของเขา หรือท่านจะต้องสูญเสียเงินหนึ่งตะลันต์’
|
||
\v 40 แต่เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่สะดวกที่จะมาที่นี่และที่นั่น ศัตรูทหารนั้นจึงได้หนีไป” แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเขาว่า “โทษของเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะเจ้าเองได้ตัดสินแล้ว”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 จากนั้นผู้เผยพระวจนะจึงรีบเอาผ้าซึ่งได้เอาพันตาของเขาออก และกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงระลึกได้ว่าท่านเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะ
|
||
\v 42 ผู้เผยพระวจนะจึงทูลกษัตริย์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ปล่อยชายคนที่อยู่ในมือของเจ้า ผู้ซึ่งเราได้กำหนดให้ตาย ดังนั้นชีวิตของเจ้าจะต้องทดแทนชีวิตของเขา และประชาชนของเจ้าต้องทดแทนประชาชนของเขา’”
|
||
\v 43 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จเข้าไปในพระราชวัง ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและโกรธยิ่งนัก และได้เสด็จมาถึงสะมาเรีย
|
||
\s5
|
||
\c 21
|
||
\p
|
||
\v 1 บัดนี้ ในเวลาต่อมา นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ใกล้วังของอาหับกษัตริย์แห่งสะมาเรีย
|
||
\v 2 อาหับได้ตรัสกับนาโบทว่า “จงมอบสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา เพื่อเราจะใช้เป็นสวนผัก เพราะอยู่ใกล้พระราชวังของเรา เพื่อแลกเปลี่ยนกัน เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกกันกับสวนนี้ หรือหากเจ้าไม่ขัดข้อง เราจะจ่ายเงินจำนวนสมกับราคาสวน”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 นาโบทได้ทูลอาหับว่า “ขอพระยาห์เวห์ห้ามข้าพระองค์ไม่ให้ยกมรดกของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ให้แก่พระองค์”
|
||
\v 4 ดังนั้นอาหับจึงได้เสด็จเข้าในวังด้วยความผิดหวังและโกรธจัดเพราะเหตุว่าคำตอบของนาโบทชาวยิสเรเอลที่ได้ทูลตอบพระองค์ เมื่อเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์แก่พระองค์” และพระองค์ก็ได้ทรงเอนพระกายลงบนพระแท่นของพระองค์ ได้ทรงหันพระพักตร์ของพระองค์และได้ทรงปฏิเสธที่จะเสวยพระกระยาหารใดๆ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 เยเซเบลพระมเหสีของพระองค์ได้เข้าพบพระองค์ และได้ทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพระทัยของพระองค์จึงกลัดกลุ้มยิ่งนักจนกระทั่งพระองค์ไม่เสวยพระกระยาหาร? ”
|
||
\v 6 พระองค์ได้ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลและได้แจ้งว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือหากเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกที่หนึ่งแก่เจ้า’ แล้วเขาได้ตอบเราว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ถวายสวนองุ่นของข้าพระองค์แก่พระองค์’”
|
||
\v 7 ดังนั้นเยเซเบลพระมเหสีของพระองค์ได้ทูลพระองค์ว่า “พระองค์ยังคงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสราเอลมิใช่หรือ? ขอทรงยืนขึ้นและเสวยพระกระยาหารเถิด ขอพระองค์ทำพระทัยให้สบาย หม่อมฉันจะนำสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลมาถวายแก่พระองค์เอง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 8 ดังนั้นเยเซเบลจึงได้เขียนและประทับตราจดหมายในพระนามของอาหับ และได้ส่งไปยังบรรดาผู้อาวุโส และผู้มั่งคั่งซึ่งนั่งกับพระองค์ในการชุมนุม และอาศัยอยู่ใกล้กับนาโบท
|
||
\v 9 พระนางได้ทรงเขียนจดหมายว่า “จงประกาศให้อดอาหาร และให้นาโบทนั่งสูงเด่นท่ามกลางประชาชน
|
||
\v 10 นอกจากนี้ให้คนไม่ซื่อสัตย์สองคนอยู่กับเขาด้วย และให้พวกเขาเป็นพยานเท็จต่อเขาว่า ‘เจ้าได้แช่งด่าพระเจ้าและกษัตริย์’” จากนั้นนำเขาออกไปและเอาหินขว้างเขาให้ตาย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 11 ดังนั้นคนของเมืองของเขานั้น คือบรรดาผู้อาวุโสและผู้มั่งคั่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองของนาโบทนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลได้ทรงเขียนจดหมายสั่งไปถึงพวกเขา ดังปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางได้ส่งถึงพวกเขานั้น
|
||
\v 12 พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้ให้นาโบทนั่งในที่นั่งสูงเด่นท่ามกลางประชาชน
|
||
\v 13 คนไม่ซื่อสัตย์สองคนนั้นก็ได้เข้ามา และได้นั่งอยู่ตรงหน้านาโบท พวกเขาได้ปรักปรำนาโบทตรงหน้าประชาชนกล่าวว่า “นาโบทได้แช่งด่าทั้งพระเจ้าและกษัตริย์” พวกเขาจึงพานาโบทไปนอกเมือง และได้ขว้างเขาจนตาย
|
||
\v 14 จากนั้นพวกผู้อาวุโสก็ได้ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า “นาโบทได้ถูกหินขว้างและตายแล้ว”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 15 ดังนั้น เมื่อเยเซเบลได้ทรงได้ยินว่า นาโบทได้ถูกหินขว้างและตายแล้ว พระนางจึงได้ทูลอาหับว่า “ขอทรงลุกขึ้นและทรงไปรับเอาสวนของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาไม่ขายให้กับพระองค์ เพราะว่านาโบทไม่มีชีวิต แต่ตายแล้ว”
|
||
\v 16 เมื่ออาหับได้ยินว่านาโบทได้ตายลง พระองค์ก็ได้ทรงยืนขึ้น ลงไปที่สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลเพื่อเอาสวนนั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 17 จากนั้นพระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มายังเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
|
||
\v 18 “จงยืนขึ้นและเข้าพบอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้อาศัยในสะมาเรีย เขาอาศัยอยู่ในสวนของนาโบทที่เขาลงไปยึดมา
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 19 เจ้าต้องพูดกับเขาดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าได้ฆ่าและยังได้ยึดเอาสมบัติเขามาอีกหรือ? ’ และเจ้าจงบอกเขาว่า พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ตรงที่สุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของเจ้าเช่นกัน ใช่แล้วล่ะ เลือดของเจ้า’”
|
||
\v 20 อาหับได้ทรงตอบกับเอลียาห์ว่า “ เจ้ามาหาเราหรือ ศัตรูของเรา? ” เอลียาห์ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์หาพระองค์เจอแล้ว เพราะว่าพระองค์ได้ขายตัวพระองค์เองเพื่อกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 พระยาห์เวห์ได้ตรัสต่อพระองค์ว่า ‘ดูเถิด เราจะนำภัยพิบัติมาต่อเจ้า และจะกวาดล้างเจ้าออกไปเสียให้หมด และจะกำจัดผู้ชายทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นไทในอิสราเอลออกจากเจ้า
|
||
\v 22 เราจะทำให้วงศ์วานของเจ้าเหมือนวงศ์วานของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และเหมือนวงศ์วานของบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์ เพราะเจ้าทำให้เราโกรธและเจ้าทำให้อิสราเอลกระทำบาปด้วย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าส่วนเยเซเบล ‘สุนัขจะกินเยเซเบลที่ข้างกำแพงยิสเรเอล’
|
||
\v 24 สุนัขจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์วานของอาหับที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์วานของเขาที่ตายในทุ่งนา ”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 25 ไม่มีผู้ใดเหมือนเช่นอาหับ ผู้ซึ่งได้ขายตนเอง เพื่อกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ผู้ที่เยเซเบลพระมเหสีได้ส่งเสริมให้ทำบาป
|
||
\v 26 อาหับได้ทรงทำสิ่งที่น่าชังอย่างมาก คือพระองค์ได้ติดตามรูปเคารพ ตามธรรมเนียมทุกสิ่งของคนอาโมไรต์ที่ได้กระทำ ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงโยนออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 27 เมื่ออาหับได้ทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์และได้ทรงใส่เสื้อผ้ากระสอบ ได้ทรงอดอาหาร ได้ทรงเอนพระกายในผ้ากระสอบ และได้ทรงโศกเศร้ามาก
|
||
\v 28 แล้วถ้อยคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
|
||
\v 29 “เจ้าได้เห็นอาหับถ่อมตนลงต่อเราไหม? เพราะเขาได้ถ่อมตนของเขาลงต่อเรา เราจะไม่นำภัยพิบัติมาในยุคของเขา แต่เราจะนำเหตุร้ายมายังวงศ์วานของเขาในสมัยบุตรชายของเขา”
|
||
\s5
|
||
\c 22
|
||
\p
|
||
\v 1 สามปีผ่านไปโดยปราศจากสงครามระหว่างอารัมกับอิสราเอล
|
||
\v 2 แล้วเมื่อประมาณในปีที่สาม เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เสด็จลงไปพบกษัตริย์แห่งอิสราเอล
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 3 บัดนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสถามพวกข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “ พวกท่านรู้ไหมว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของพวกเรา แต่เรายังจะนิ่ง เรายังไม่ได้ไปเอาจากกษัตริย์แห่งอารัมหรือ?”
|
||
\v 4 ดังนั้นพระองค์ได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะยกทัพไปสู้รบที่ราโมทกิเลอาดกับเราหรือไม่?” และเยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้ากับพระองค์เป็นดั่งคนเดียวกัน ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นดั่งประชาชนของพระองค์ และม้าของข้าพเจ้าก็เป็นดั่งม้าของพระองค์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 5 เยโฮชาฟัทได้ตรัสกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอแสวงหาการทรงนำจากพระทัยของพระยาห์เวห์ก่อนว่าเราควรทำประการใด”
|
||
\v 6 จากนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ได้ทรงเรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะสี่ร้อยคน และได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่เราจะไปทำสงครามโจมตีราโมทกิเลอาดหรือไม่?” พวกเขาได้ทูลตอบว่า “ขอทรงโจมตีเถิด ด้วยเหตุว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้มอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 7 แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ที่แห่งนี้ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกหรือ ที่เราจะปรึกษาได้?”
|
||
\v 8 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “มีชายอีกคนหนึ่งซึ่งโดยเขาเราจะได้รับคำแนะนำของพระยาห์เวห์ มีคายาห์บุตรชายของอิมลาห์ แต่เราเองก็ชังเขา เพราะเขาเผยแต่เรื่องร้าย ไม่เคยเผยเรื่องดีๆ แก่เราเลย” แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ขอกษัตริย์อย่าได้ตรัสเช่นนั้น”
|
||
\v 9 จากนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง และได้ตรัสสั่งว่า “จงรีบไปนำมีคายาห์บุตรชายของอิมลาห์มาทันที”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 10 บัดนี้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ต่างประทับบนพระที่นั่งและได้ทรงฉลองพระองค์เต็มยศ ตรงที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็เผยเฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์
|
||
\v 11 เศเดคียาห์บุตรชายของเคนาอะนาห์จึงได้ทำเขาสัตว์จากเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า ‘จากสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะดันคนอารัมไปจนพวกเขาสิ้นซาก’”
|
||
\v 12 แล้วผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็เผยพระวจนะเหมือนกันว่า “ขอไปโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยเพราะพระยาห์เวห์จะได้มอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 13 ผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “บัดนี้จงดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็ได้เผยสิ่งที่ดีแก่กษัตริย์เป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเป็นอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และเผยแต่สิ่งที่ดี”
|
||
\v 14 มีคายาห์ได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ สิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะพูด”
|
||
\v 15 เมื่อท่านได้มาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ได้ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดดีหรือไม่?” และมีคายาห์ได้ทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปตี และมีชัย พระยาห์เวห์จะได้ทรงมอบเมืองไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 16 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสกับท่านว่า “กี่ครั้งแล้วที่เราได้ให้เจ้าปฏิญาณว่า เจ้าจะพูดความจริงกับเราในพระนามของพระยาห์เวห์?”
|
||
\v 17 ดังนั้นมีคายาห์ได้ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายไปยังภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีผู้เลี้ยง ให้พวกเขาทุกคนกลับบ้านของพวกเขาเองด้วยสวัสดิภาพเถิด’”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 18 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วใช่หรือไม่ว่า เขาจะไม่เผยเรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย แต่จะมีเรื่องร้ายเท่านั้น?”
|
||
\v 19 แล้วมีคายาห์ได้ทูลว่า “ดังนั้น ขอได้ทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และกองทัพทั้งหมดแห่งท้องฟ้ายืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์
|
||
\v 20 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘ใครจะล่อลวงอาหับให้ขึ้นไป เพื่อที่เขาจะล้มลงที่ราโมทกิเลอาด?’ บางคนก็ทูลแบบนี้ อีกคนก็ทูลแบบนั้น
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 21 แล้วมีวิญญาณหนึ่งได้ออกมายืนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และได้ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะล่อลวงเขา’ และพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับมันว่า ‘จะทำเช่นไร?’
|
||
\v 22 วิญญาณได้ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เจ้าไปล่อลวงเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปและทำเถิด’
|
||
\v 23 บัดนี้ ดูเถิด พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของกษัตริย์ และพระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องภัยพิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 24 แล้วเศเดคียาห์บุตรชายของเคนาอะนาห์ได้เข้า และได้ตบแก้มมีคายาห์และได้พูดว่า “ วิธีใดเล่าที่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าแล้วพูดกับเจ้าได้?”
|
||
\v 25 มีคายาห์ได้ตอบว่า “ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปซ่อนตัว ภายในห้อง”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 26 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “จงจับมีคายาห์แล้วส่งเขาไปให้อาโมนเจ้าเมืองและโยอาชโอรสของเรา
|
||
\v 27 บอกเขาว่า ‘กษัตริย์ได้ตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้ไปขังไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะกลับมาด้วยความปลอดภัย”’
|
||
\v 28 แล้วมีคายาห์ได้ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาด้วยความปลอดภัยได้จริง พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระองค์” แล้วท่านได้กล่าวอีกว่า “ประชาชนทั้งหมด จงฟังเถิด”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 29 ดังนั้นอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท กษัตริย์แห่งยูดาห์จึงได้เสด็จไปยังราโมทกิเลอาด
|
||
\v 30 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าสนามรบ แต่ท่านจงใส่ฉลองพระองค์ของกษัตริย์ ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ได้ทรงปลอมพระองค์และได้เข้าสนามรบ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 31 บัดนี้ กษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงบัญชาพวกแม่ทัพรถม้าศึกของพระองค์ทั้งสามสิบสองคนว่า “ห้ามรบกับทหารที่ไม่สำคัญ แต่ให้โจมตีกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น”
|
||
\v 32 ในเวลานั้นเมื่อพวกแม่ทัพรถม้าศึกได้เห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็ได้พูดว่า “ใช่แล้วนี่เป็นกษัตริย์อิสราเอล” พวกเขาจึงกรูกันไปสู้กับพระองค์ ดังนั้น เยโฮชาฟัทได้ทรงตะโกนออกไป
|
||
\v 33 ต่อมาเมื่อพวกแม่ทัพรถม้าศึกได้เห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล พวกเขาก็ได้เลี้ยวรถกลับจากการไล่ตามพระองค์
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 34 แต่มีชายคนหนึ่งได้โก่งธนูยิงสุ่มไปถูกกษัตริย์แห่งอิสราเอลเข้าช่องเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ อาหับจึงรับสั่งคนขับรถม้าศึกว่า “เลี้ยวกลับเถอะ พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บมาก”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 35 สนามรบในวันนั้นก็ได้รุนแรงขึ้น เขาก็ได้ประคองกษัตริย์ขึ้นในรถม้าศึกให้หันพระพักตร์ไปทางพวกอารัม จนในตอนเย็นพระองค์ก็ได้สวรรคต และพระโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกเจิ่งนองทั่วท้องรถม้าศึก
|
||
\v 36 แล้วประมาณตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก มีเสียงร้องไปทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน และภูมิลำเนาของตน”
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 37 ดังนั้นเมื่อกษัตริย์อาหับได้สวรรคตแล้ว เขาก็นำมายังสะมาเรีย และพวกเขาได้ฝังพระองค์ในสะมาเรีย
|
||
\v 38 พวกเขาได้ล้างรถม้าศึกที่สระน้ำสะมาเรีย และพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ (ที่นี่พวกหญิงโสเภณีได้ลงอาบน้ำ) เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสไว้
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 39 ในเรื่องบรรดาพระราชกิจอื่นๆ ของอาหับ และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และราชวังงาช้างซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างไว้ รวมทั้งเมืองทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงสร้าง สิ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ?
|
||
\v 40 ดังนั้นอาหับได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสยาห์พระโอรสของพระองค์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 41 แล้วเยโฮชาฟัทพระโอรสของอาสาได้ทรงปกครองเหนือยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล
|
||
\v 42 เยโฮชาฟัทรงมีพระชนม์ได้สามสิบห้าพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มปกครองและพระองค์ได้ทรงปกครองกรุงเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี พระมารดาของพระองค์ทรงมีพระนามว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของชิลหิ
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 43 พระองค์ได้ทรงดำเนินตามทางทั้งปวงของอาสาพระบิดาของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันเหจากทางนั้น พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่สถานสูงทั้งหลายนั้นยังไม่ได้ถอนลง ผู้คนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมอยู่บนสถานสูงเหล่านั้น
|
||
\v 44 เยโฮชาฟัทได้ทรงสงบศึกกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลด้วย
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 45 ในเรื่องพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮชาฟัท และพระอำนาจที่พระองค์ได้ทรงสำแดง และสงครามที่ได้ทรงกระทำ สิ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ?
|
||
\v 46 พระองค์ก็ได้ทรงกวาดล้างจากแผ่นดินคือ โสเภณีในพิธีศาสนาที่เหลืออยู่ ซึ่งยังเหลือในสมัยของอาสาพระราชบิดานั้น
|
||
\v 47 ในเอโดมไม่มีกษัตริย์ แต่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปกครองแทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 48 เยโฮชาฟัทได้ทรงสร้างเรือเดินมหาสมุทรหลายลำ สำหรับขนทองคำจากโอฟีร์ แต่ไม่อาจไปถึงเพราะเรือล่มที่เอซิโอนเกเบอร์
|
||
\v 49 จากนั้นอาหัสยาห์พระโอรสของอาหับได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชบริพารของข้าพระองค์นั่งเรือไปกับข้าราชบริพารของพระองค์” แต่เยโฮชาฟัทไม่ทรงยอม
|
||
\v 50 เยโฮชาฟัทได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ได้ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในเมืองดาวิด และเยโฮรัมพระโอรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
|
||
\s5
|
||
\p
|
||
\v 51 อาหัสยาห์พระโอรสของอาหับได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอิสราเอลสองปี
|
||
\v 52 พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และได้ทรงดำเนินในทางของพระบิดาของพระองค์ และในทางของพระมารดาของพระองค์ และในทางของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ในวิธีนี้พระองค์ได้ชักนำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย
|
||
\v 53 พระองค์ได้ทรงรับใช้พระบาอัลและได้นมัสการพระนั้น ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงกริ้ว โดยทำตามทุกสิ่งที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำนั้น
|