th_ulb/42-MRK.usfm

1242 lines
211 KiB
Plaintext

\id MRK Unlocked Literal Bible
\ide UTF-8
\h MARK
\toc1 Mark
\toc2 Mark
\toc3 mrk
\mt1 MARK
\s5
\c 1
\p
\v 1 นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า
\v 2 ตามที่เขียนในพระธรรมอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน ผู้ที่จะไปเพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่าน
\v 3 เสียงร้องของผู้หนึ่งในถิ่นทุรกันดารว่า "จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้พร้อมและทำทางของพระองค์ให้ตรงไป"
\s5
\p
\v 4 ยอห์นก็มาและให้บัพติศมาอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเทศนาการบัพติศมาเรื่องการกลับใจเพื่อได้รับการยกโทษความผิดบาป
\v 5 ประชาชนทั่วทั้งแคว้นยูเดียและเยรูซาเล็มก็พากันไปหาเขา เพื่อสารภาพบาปของตนเองโดยให้พวกเขารับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน
\v 6 ยอห์นสวมเสื้อผ้าที่ทำจากขนอูฐ และคาดเอวด้วยเข็มขัดหนัง เขากินจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร
\s5
\p
\v 7 ยอห์นประกาศว่า "จะมีท่านอีกผู้หนึ่งที่จะมาภายหลังข้าพเจ้า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะก้มลงแก้เชือกรองเท้าของพระองค์
\v 8 ข้าพเจ้าให้บัพติศมาท่านด้วยน้ำ แต่พระองค์ผู้นี้จะให้บัพติศมาแก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์"
\s5
\p
\v 9 อยู่มาวันหนึ่ง พระเยซูเสด็จมาจากนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และพระองค์ได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
\v 10 ขณะที่พระเยซูเสด็จขึ้นจากน้ำ พระองค์เห็นท้องฟ้าแยกออก และพระวิญญาณเหมือนอย่างนกพิราบเสด็จลงมาประทับเหนือพระองค์
\v 11 มีเสียงจากสวรรค์นั้นว่า "ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"
\s5
\p
\v 12 จากนั้นพระวิญญาณดลใจพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
\v 13 พระองค์ทรงอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบวัน ทรงถูกซาตานทดลอง พระองค์อยู่กับเหล่าสัตว์ป่าและมีทูตสวรรค์คอยดูแลพระองค์
\s5
\p
\v 14 หลังจากที่ยอห์นถูกจับ พระเยซูเสด็จเข้าไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าในแคว้นกาลิลี
\v 15 พระองค์ตรัสว่า "เวลามาถึงแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าก็อยู่ใกล้ จงกลับใจและเชื่อในข่าวประเสริฐเถิด"
\s5
\p
\v 16 เมื่อพระองค์กำลังเดินผ่านมาที่ริมทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทรงเห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของซีโมนกำลังหย่อนอวนลงในทะเลสาบเพราะพวกเขาเป็นชาวประมง
\v 17 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "มาเถิด จงตามเรามา แล้วเราจะให้ท่านเป็นผู้จับคนเหมือนดั่งจับปลา"
\v 18 แล้วพวกเขาก็ทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไปโดยทันที
\s5
\p
\v 19 เมื่อพระเยซูเสด็จต่อไปอีกหน่อย พระองค์เห็นยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายของเขา พวกเขากำลังซ่อมอวนอยู่ในเรือ
\v 20 พระองค์จึงเรียกพวกเขา และพวกเขาจึงทิ้งเศเบดีบิดาของพวกเขากับพวกคนงานไว้ในเรือแล้วติดตามพระองค์ไป
\s5
\p
\v 21 แล้วพวกเขามายังคาเปอร์นาอุม และในวันสะบาโตพระเยซูเสด็จเข้าไปในธรรมศาลาและเทศนาสั่งสอน
\v 22 ผู้คนประหลาดใจกับคำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสอนเขาในฐานะผู้ที่มีสิทธิอำนาจและไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์
\s5
\p
\v 23 ในเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีวิญญาณโสโครกสิงอยู่ร้องออกมา
\v 24 มันร้องตะโกนว่า "พระเยซู ชาวนาซาเร็ธ พระองค์จะทำอะไรกับเรา? พระองค์จะมาทำลายเราหรือ? ข้ารู้นะว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์คือองค์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า"
\v 25 พระเยซูสั่งห้ามวิญญาณร้ายนั้นและตรัสว่า "จงเงียบเสียและออกมาจากเขา"
\v 26 วิญญาณโสโครกนั้นจึงทำให้เขาล้มลงและออกจากเขาขณะที่กรีดร้องเสียงดัง
\s5
\p
\v 27 ประชาชนทั้งปวงพากันประหลาดใจ ดังนั้นเขาจึงถามกันว่า "นี่มันอะไรกัน? เป็นคำสอนใหม่ที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจอย่างนั้นหรือ? เขาสามารถสั่งให้เหล่าวิญญาณร้ายออกไปและพวกมันก็เชื่อฟังเขา"
\v 28 แล้วข่าวเรื่องของพระองค์ก็แพร่กระจายออกไปทั่วทุกที่ทั้งแคว้นกาลิลี
\s5
\p
\v 29 หลังจากที่ออกมาจากธรรมศาลาแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่บ้านของซีโมนและอันดรูว์ โดยมียากอบและยอห์นไปด้วย
\v 30 เวลานั้นแม่ยายของซีโมนกำลังนอนป่วยด้วยไข้สูง พวกเขาจึงบอกเรื่องของเธอกับพระเยซู
\v 31 ดังนั้นพระองค์จึงมาจับมือของเธอ และพยุงเธอขึ้น เธอก็หายป่วย และเธอก็เริ่มปรนนิบัติพวกเขา
\s5
\p
\v 32 ในเย็นวันนั้นหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลับฟ้า ผู้คนพาคนป่วยหรือคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงมาหาพระองค์
\v 33 ผู้คนทั้งเมืองพากันมาอยู่ที่หน้าประตู
\v 34 พระองค์ได้รักษาคนป่วยจำนวนมากให้หายจากโรคต่างๆ และขับไล่วิญญาณร้ายจำนวนมากให้ออกไป แต่พระองค์ไม่ให้วิญญาณร้ายเหล่านั้นพูดอะไร เพราะพวกมันรู้จักพระองค์
\s5
\p
\v 35 พระองค์ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ทั้งๆ ที่ยังมืดอยู่ พระองค์เสด็จออกไปยังที่เงียบสงบแล้วพระองค์อธิษฐานอยู่ที่นั่น
\v 36 ซีโมนและบรรดาคนที่อยู่กับเขาก็พากันออกตามหาพระองค์
\v 37 เมื่อพวกเขาพบพระองค์ก็ทูลว่า "ทุกคนกำลังตามหาพระองค์กันอยู่"
\s5
\p
\v 38 พระองค์ตรัสว่า "ให้เราไปที่อื่น ออกไปยังเมืองที่อยู่รายรอบเถิด เพื่อว่าเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนี้นั่นเอง"
\v 39 พระองค์ออกไปทั่วทั้งแคว้นกาลิลี เข้าไปสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขาและขับไล่เหล่าวิญญาณร้ายออก
\s5
\p
\v 40 มีชายโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ เขาคุกเข่าและทูลขอร้องกับพระองค์ว่า "ถ้าหากพระองค์เต็มใจ ข้าพระองค์ก็จะหายจากโรคได้"
\v 41 พระเยซูเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร จึงยื่นมือของพระองค์ออกไปแตะต้องตัวเขา และตรัสกับเขาว่า "เราเต็มใจ จงหายจากโรคเถิด"
\v 42 ทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หายไปจากเขาและเขาก็กลับเป็นปกติ
\s5
\p
\v 43 พระเยซูกำชับเขาอย่างเคร่งครัดแล้วส่งเขาไป
\v 44 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงอย่าพูดอะไรกับใครโดยเด็ดขาด แต่จงไปแสดงตนกับปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาสำหรับการหายจากโรคของท่าน ตามที่โมเสสสั่งก็เพื่อเป็นพยานให้กับคนเหล่านั้น"
\s5
\p
\v 45 แต่เมื่อเขาออกไปแล้วนั้น ก็ประกาศเรื่องนี้ให้คนอื่นทราบไปทั่ว จนพระเยซูไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผย แต่พระองค์ประทับอยู่ในที่เปลี่ยวข้างนอก กระนั้นผู้คนจากทุกหนทุกแห่งก็ยังมาเข้าเฝ้าพระองค์
\s5
\c 2
\p
\v 1 หลังจากนั้นไม่กี่วัน เมื่อพระองค์เสด็จกลับมายังคาเปอร์นาอุมอีก ผู้คนได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ที่บ้าน
\v 2 ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้แต่ที่ประตู และพระเยซูทรงกล่าวพระวจนะแก่พวกเขา
\s5
\p
\v 3 แล้วมีชายสี่คนกำลังหามชายคนหนึ่งที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์
\v 4 เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้ามาใกล้พระองค์ได้ เนื่องจากมีฝูงชนเบียดเสียดกันอยู่ พวกเขาจึงรื้อหลังคาที่อยู่เหนือที่พระเยซูประทับอยู่ และหลังจากนั้นพวกเขาเปิดหลังคาออกเป็นช่อง พวกเขาหย่อนที่นอนที่คนที่เป็นอัมพาตนอนอยู่ลงมา
\s5
\p
\v 5 เมื่อเห็นความเชื่อของพวกเขา พระเยซูจึงตรัสกับชายคนที่เป็นอัมพาตคนนั้นว่า "ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว"
\v 6 พวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และพวกเขาก็คิดอยู่ในใจของพวกเขาว่า
\v 7 "ชายคนนี้พูดอย่างนี้ได้อย่างไร? เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า แล้วใครที่สามารถยกโทษบาปได้นอกจากพระเจ้าเพียงผู้เดียว?"
\s5
\p
\v 8 ทันใดนั้น พระเยซูทรงทราบว่า พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านจึงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจของพวกท่านเล่า?
\v 9 อะไรจะง่ายกว่ากันที่จะบอกชายคนที่เป็นอัมพาตคนนี้ว่า บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว หรือบอกว่าจงลุกขึ้นหอบที่นอนของเจ้า และเดินไป?"
\s5
\p
\v 10 แต่เพื่อที่พวกท่านจะรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจบนโลกที่จะยกโทษบาปได้" พระองค์จึงตรัสกับคนที่เป็นอัมพาตว่า
\v 11 "เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นแล้วหอบเสื่อของเจ้า และกลับไปที่บ้านของเจ้า"
\v 12 เขาก็ลุกขึ้นแล้วหอบเสื่อในทันที และกลับไปบ้านต่อหน้าต่อตาทุกคน ดังนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็ประหลาดใจ แล้วพวกเขาจึงสรรเสริญพระเจ้า และพวกเขาพูดว่า "พวกเราไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลย"
\s5
\p
\v 13 พระองค์เสด็จไปที่ทะเลสาบอีกครั้ง และฝูงชนได้เข้ามาหาพระองค์ และพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขา
\v 14 ขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นเลวีบุตรอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่เต็นท์เก็บภาษี และพระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา" เขาก็ลุกขึ้นและตามพระองค์ไป
\s5
\p
\v 15 และขณะที่พระเยซูกำลังรับประทานอาหารที่บ้านของเลวี พวกคนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนกำลังรับประทานอาหารร่วมกับพระองค์และสาวกของพระองค์ มีคนจำนวนมากและพวกเขาได้ติดตามพระองค์
\v 16 เมื่อพวกธรรมาจารย์ซึ่งเป็นพวกฟาริสีได้เห็นพระเยซูทรงรับประทานอาหารร่วมกับพวกคนบาปและพวกคนเก็บภาษี พวกเขาจึงพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ทำไมเขาจึงรับประทานอาหารร่วมกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปเหล่านี้?"
\s5
\p
\v 17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้ พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "คนที่ร่างกายแข็งแรงดีไม่ต้องการหมอ คนป่วยเท่านั้นที่ต้องการหมอ เราไม่ได้มาหาคนที่เรียกว่าเป็นคนชอบธรรม แต่มาหาคนที่เป็นคนบาป"
\s5
\p
\v 18 ขณะที่สาวกของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังอดอาหาร และบางคนมาหาและพูดกับพระองค์ว่า "ทำไมสาวกของยอห์นและสาวกของพวกฟาริสีอดอาหาร แต่สาวกของท่านถึงไม่อดอาหาร?"
\v 19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกเพื่อนเจ้าบ่าวจะอดอาหารในขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? ตราบเท่าที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็ไม่ต้องอดอาหาร
\s5
\p
\v 20 แต่เมื่อวันหนึ่งมาถึง เมื่อเจ้าบ่าวถูกรับไปจากพวกเขา และในวันนั้นพวกเขาจะอดอาหาร
\v 21 ไม่มีใครเย็บเศษผ้าใหม่ลงบนเสื้อผ้าเก่า ซึ่งจะทำให้รอยปะฉีกออกจากเสื้อผ้าเก่า ผ้าใหม่ขาดออกจากผ้าเก่าและรอยขาดจะกว้างมากขึ้น
\s5
\p
\v 22 ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ไว้ในถุงหนังเก่า เพราะการทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้ถุงหนังขาด และทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังก็จะเสียไป แทนที่จะทำเช่นนั้น จงใส่เหล้าองุ่นใหม่ในถุงหนังใหม่"
\s5
\p
\v 23 ในวันสะบาโต พระเยซูทรงดำเนินผ่านทุ่งนา และพวกสาวกก็เริ่มเด็ดรวงข้าว
\v 24 พวกฟาริสีจึงถามพระองค์ว่า "ดูสิ ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฎของวันสะบาโต?"
\s5
\p
\v 25 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านไม่เคยอ่านว่าดาวิดได้ทำอะไรในคราวที่เขาลำบากและหิว ทั้งเขาและพวกคนของเขา
\v 26 เขาได้ไปที่พระนิเวศน์ของพระเจ้า ในเวลาที่อาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต และกินขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งเป็นการทำผิดกฎบัญญัติสำหรับใครก็ตามที่กิน ยกเว้นพวกปุโรหิตเท่านั้น และเขาก็ยังให้แก่คนที่อยู่กับเขาด้วยได้อย่างไร?"
\s5
\p
\v 27 พระเยซูตรัสว่า "วันสะบาโตได้สร้างไว้เพื่อมนุษย์ ไม่ได้สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต
\v 28 เพราะเหตุนั้น บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโตด้วย"
\s5
\c 3
\p
\v 1 อีกครั้งที่พระเยซูเข้าไปในธรรมศาลาและที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือลีบ
\v 2 มีบางคนจ้องจับผิดพระองค์ว่าพระองค์จะรักษาชายคนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่ ทั้งนี้ก็เพื่อว่าพวกเขาจะได้กล่าวหาพระองค์
\s5
\p
\v 3 พระเยซูพูดกับชายที่มือลีบนั้นว่า "ลุกขึ้นเและยืนที่ตรงกลางของทุกคน"
\v 4 ต่อมาพระองค์ตรัสกับคนทั้งหลายว่า "เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎบัญญัติหรือไม่ที่จะทำสิ่งดีในวันสะบาโตหรือทำสิ่งร้าย ที่จะช่วยชีวิตคนหรือจะให้เขาตาย?" แต่พวกเขาทั้งหลายได้แต่นิ่งเงียบ
\s5
\p
\v 5 พระองค์มองดูรอบๆ พวกเขาด้วยความโกรธและพระองค์เศร้าใจอย่างยิ่งต่อใจที่แข็งกระด้างของพวกเขาและพระองค์ตรัสกับชายคนนั้นว่า "จงเหยียดมือของเจ้าออกมา" เขาก็เหยียดมือออกมา แล้วมือของเขาก็หายเป็นปกติ
\v 6 พวกฟาริสีจึงออกไปและเริ่มวางแผนร้ายกับพวกเฮโรดทันทีว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับถึงจะให้พระองค์ตายได้
\s5
\p
\v 7 ต่อมาพระเยซูพร้อมด้วยเหล่าสาวกของพระองค์ไปที่ทะเล และมีฝูงชนจำนวนมากตามพระองค์มาทั้งจากกาลิลีและจากยูเดีย
\v 8 และจากเยรูซาเล็มและจากอิดูเมอา และจากที่ไกลออกไปของจอร์แดนและรอบๆ เมืองไทระและไซดอน เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่พระองค์ได้กระทำฝูงชนมากมายจึงได้มาหาพระองค์
\s5
\p
\v 9 พระองค์จึงได้ขอให้เหล่าสาวกเตรียมเรือเล็กลำหนึ่งไว้ให้กับพระองค์เนื่องจากฝูงชนและเพื่อว่าพวกเขาจะไม่เบียดเสียดพระองค์
\v 10 เนื่องจากพระองค์ได้รักษาคนเป็นอันมากทำให้คนที่เจ็บป่วยพยายามเบียดเสียดพระองค์เพื่อจะได้แตะต้องพระองค์
\s5
\p
\v 11 เมื่อใดก็ตามที่พวกวิญญาณชั่วเห็นพระองค์ พวกมันก็ก้มหน้าหมอบกราบพระองค์และร้องออกมา และพวกมันพูดว่า "พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า"
\v 12 พระองค์จึงสั่งกำชับพวกมันว่าอย่าเปิดเผยว่าพระองค์คือผู้ใด
\s5
\p
\v 13 พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาและพระองค์ทรงเรียกบรรดาคนที่พระองค์ต้องการพบ และคนเหล่านั้นก็มาหาพระองค์
\v 14 พระองค์แต่งตั้งคนสิบสองคน (ซึ่งพระองค์เรียกว่าอัครทูต) เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่กับพระองค์และพระองค์จะได้ส่งพวกเขาออกไปประกาศ
\v 15 และทรงให้มีสิทธิอำนาจที่จะขับผีออกได้
\v 16 แล้วพระองค์ทรงแต่งตั้งสาวกสิบสองคนได้แก่ ซีโมนซึ่งพระองค์ทรงประทานอีกชื่อว่าเปโตร
\s5
\p
\v 17 ยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นน้องชายของยากอบซึ่งพระองค์ทรงประทานอีกชื่อว่าโบอาเนอเยหมายถึงลูกฟ้าร้อง
\v 18 และอันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม
\v 19 และยูดาสอิสคาริโอท ผู้ซึ่งทรยศพระองค์
\s5
\p
\v 20 ต่อมาเมื่อพระองค์ไปที่บ้าน และฝูงชนก็ยังชุมนุมกันอีก จนพวกเขาไม่สามารถรับประทานอาหารได้
\v 21 เมื่อครอบครัวของพระองค์ได้ยินเรื่องนี้พวกเขาก็มาเพื่อจะรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาพูดว่า “พระองค์เสียสติไปแล้ว”
\v 22 พวกธรรมาจารย์ที่มาจากเยรูซาเล็มพูดว่า "เขาถูกเบเอลเซบูลเข้าสิง" และ "ที่ขับผีออกได้ โดยเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น"
\s5
\p
\v 23 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาหาพระองค์และตรัสเป็นคำอุปมาว่า "ซาตานจะขับซาตานออกไปได้อย่างไร?
\v 24 หากอาณาจักรใดแตกแยกกันแล้ว อาณาจักรนั้นก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้
\v 25 หากครัวเรือนใดแตกแยกกันเองแล้ว ครอบครัวนั้นก็ไม่อาจตั้งอยู่ได้
\s5
\p
\v 26 หากซาตานลุกขึ้นต้านตนเองและแตกแยกกัน มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ แต่จุดจบมาถึงแล้ว
\v 27 แต่ไม่มีใครจะเข้าไปในบ้านของคนที่แข็งแรงและปล้นทรัพย์ของเขาไปได้หากไม่ได้จับคนที่แข็งแรงนั้นมัดเสียก่อน แล้วเขาจึงจะเข้าไปปล้นบ้านของคนนั้นได้
\s5
\p
\v 28 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปทุกอย่างและคำหมิ่นประมาทที่เขากล่าวนั้น จะทรงโปรดยกให้บุตรทั้งหลายของมนุษย์ได้
\v 29 แต่ใครก็ตามที่หมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการยกโทษ แต่จะมีความผิดบาปติดตัวตลอดไป"
\v 30 พระเยซูตรัสเช่นนี้เพราะพวกเขาพูดกันว่า "พระองค์มีวิญญาณชั่วเข้าสิง"
\s5
\p
\v 31 ต่อมามารดาและพี่น้องของพระองค์มาหาและรออยู่ด้านนอก พวกเขาส่งคนเข้าไปทูลเรียกพระองค์
\v 32 ในขณะที่ฝูงชนนั่งล้อมรอบพระองค์อยู่ พวกเขาทูลพระองค์ว่า "มารดาและพี่น้องของท่านอยู่ที่ด้านนอก และพวกเขากำลังมองหาท่าน"
\s5
\p
\v 33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ใครกันที่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา?"
\v 34 พระองค์มองรอบๆ ไปยังผู้คนที่นั่งล้อมรอบพระองค์อยู่และตรัสว่า "จงมองดู นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา
\v 35 ผู้ใดก็ตามที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นคือพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา"
\s5
\c 4
\p
\v 1 พระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนที่ชายฝั่งทะเลอีก และฝูงชนรุมล้อมพระองค์แน่นขนัด พระองค์จึงได้เสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเลและทรงนั่งลงในเรือ ส่วนฝูงชนทั้งหมดก็อยู่บนชายฝั่งทะเล
\v 2 พระองค์ทรงสั่งสอนหลายสิ่งด้วยคำอุปมา และในคำสอนของพระองค์พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
\s5
\p
\v 3 "จงฟังเถิด มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ด
\v 4 ขณะที่เขาหว่านเมล็ดลงไปนั้น บางเมล็ดก็ตกลงบนถนนแล้วนกก็มาจิกกินเสีย
\v 5 บางเมล็ดร่วงหล่นลงบนพื้นหินซึ่งมีดินไม่มาก พืชนั้นก็งอกขึ้นมาในทันทีเนื่องจากมีดินไม่ลึกมากนัก
\s5
\p
\v 6 แต่เมื่อเจอกับแสงแดดพืชนั้นก็ไหม้เกรียมเหี่ยวแห้งไปเนื่องจากไม่มีราก
\v 7 บางเมล็ดตกไปยังท่ามกลางพงหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาปกคลุมเสียและไม่เกิดผล
\s5
\p
\v 8 บางเมล็ดก็ตกยังพื้นดินที่ดี ซึ่งทำให้พืชนั้นเจริญเติบโตและเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง"
\v 9 แล้วพระองค์ตรัสว่า "ใครมีหู จงฟังเถิด"
\s5
\p
\v 10 เมื่อพระเยซูอยู่ตามลำพัง ผู้ซึ่งใกล้ชิดพระองค์และสาวกทั้ง 12 คน ถามเกี่ยวกับคำอุปมานั้น
\v 11 พระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า "ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ส่วนคนนอกนั้นทุกอย่างจะใช้คำอุปมา
\v 12 ดังนั้นเมื่อพวกเขาดูแล้วดูเล่า แต่ก็มองไม่เห็น และเมื่อพวกเขาฟังแล้วฟังเล่าก็ไม่เข้าใจ มิฉะนั้นพวกเขาจะหันมาและพระเจ้าจะทรงอภัยให้พวกเขา"
\s5
\p
\v 13 แล้วพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ? แล้วจะเข้าใจคำอุปมาอื่นๆ ทั้งหมดได้อย่างไร?
\v 14 ชาวนาผู้ที่หว่านเมล็ดของตนนั้น ก็คือผู้ซึ่งหว่านพระวจนะ
\v 15 ซึ่งตกตามข้างถนนบ้าง ที่ซึ่งพระวจนะถูกหว่านลงไป แต่เมื่อพวกเขาได้ยินพระวจนะนั้น ซาตานก็มาและเอาพระวจนะนั้นไปจากพวกเขาทันที
\s5
\p
\v 16 พืชที่ซึ่งหว่านตกลงบนพื้นหินนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้ทันทีด้วยความชื่นชมยินดี
\v 17 และเนื่องจากพวกเขาไม่มีรากในตัวเอง จึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเจอกับความยากลำบากหรือการถูกข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นพวกเขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด
\s5
\p
\v 18 ส่วนพืชที่หว่านตกลงกลางพงหนาม คือคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะ
\v 19 แต่ความกังวลของโลก ความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่นๆ ได้เข้ามาและปกคลุมพระวจนะนั้น จึงไม่เกิดผล
\v 20 ส่วนพืชที่หว่านตกในดินดี ก็คือคนที่ได้ยินพระวจนะและรับไว้จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และหนึ่งร้อยเท่าบ้าง"
\s5
\p
\v 21 พระเยซูตรัสแก่พวกเขาว่า "ท่านนำตะเกียงเข้ามาในบ้านนั้นท่านนำมันไปวางไว้ใต้ตระกร้าหรือว่าใต้เตียงนอนหรือ? ท่านนำมาและท่านย่อมวางไว้บนเชิงตะเกียง
\v 22 เช่นกันไม่มีสิ่งใดที่ถูกปิดซ่อนไว้จะไม่มีใครรู้และไม่มีความลับใดจะไม่ถูกเปิดเผย
\v 23 ถ้าใครมีหู จงฟังเถิด"
\s5
\p
\v 24 พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า "ท่านจงเอาใจใส่ในสิ่งที่ท่านได้ยินให้ดี ด้วยว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระองค์จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะเพิ่มเติมให้ท่านอีก
\v 25 เพราะว่าผู้ใดที่มีอยู่แล้วพระองค์ก็จะเพิ่มเติมให้อีก ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ที่เขามีอยู่นั้นพระองค์ก็จะเอาไปเสียจากเขา"
\s5
\p
\v 26 แล้วพระองค์ตรัสว่า "แผ่นดินของพระเจ้าเป็นเหมือนชายคนหนึ่งซึ่งได้หว่านเมล็ดของเขาลงบนดิน
\v 27 เมื่อเขาหลับในตอนกลางคืนและตื่นขึ้นมาในตอนกลางวัน และเมล็ดก็งอก และเติบโตขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้
\v 28 เพราะว่าแผ่นดินทำให้พืชนั้นเติบโตขึ้นเอง เป็นลำต้นก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ออกรวง ต่อจากนั้นก็มีเมล็ดข้าวจนเต็มรวง
\v 29 เมื่อรวงข้าวสุก แล้วเขาก็เอาเคียวไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว"
\s5
\p
\v 30 พระองค์ตรัสอีกว่า "เราจะเปรียบแผ่นดินของพระเจ้ากับอะไรดีหรือจะยกอุปมาใดมาอธิบาย?
\v 31 ซึ่งเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมื่อถูกหว่านลงไป ก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน
\v 32 แต่เมื่อถูกหว่านลงไปมันก็เติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ที่ใหญ่กว่าต้นไม้ทั้งปวงในสวนนั้นและมันแผ่กิ่งก้านใหญ่ออกมาจึงทำให้บรรดานกในอากาศสามารถมาทำรังในร่มเงาได้"
\s5
\p
\v 33 พระองค์ตรัสสอนถ้อยคำเป็นคำอุปมาแบบนี้อีกหลายอย่างแก่พวกเขาเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้
\v 34 และพระองค์ไม่ได้ตรัสสอนพวกเขานอกจากคำอุปมา แต่เมื่อพระองค์อยู่ลำพัง พระองค์ได้อธิบายทุกสิ่งให้เหล่าสาวกของพระองค์
\s5
\p
\v 35 ในวันนั้น เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า "ให้พวกเราข้ามไปฝั่งโน้นกันเถิด"
\v 36 ขณะที่พวกเขาละจากฝูงชนนั้น พวกเขาได้เชิญพระเยซูเสด็จลงเรือไปกับพวกเขา มีเรือลำอื่นๆ แล่นไปด้วยกันกับพระองค์
\v 37 มีพายุใหญ่เกิดขึ้นและคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนน้ำจวนจะเต็มเรืออยู่แล้ว
\s5
\p
\v 38 แต่พระเยซูทรงบรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ท้ายเรือ เหล่าสาวกของพระองค์จึงได้ปลุกพระองค์ขึ้นมาแล้วพูดว่า "พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะตายหรือ?"
\v 39 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นห้ามลมและตรัสกับทะเลว่า “จงสงบเงียบ” จากนั้นลมก็หยุดและเงียบสงบดี
\s5
\p
\v 40 แล้วพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า "ทำไมพวกเจ้าจึงกลัวนัก? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?"
\v 41 พวกเขามีความรู้สึกเกรงกลัวเป็นอย่างมากและพูดกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ แม้แต่ลมและทะเลยังเชื่อฟังท่าน?"
\s5
\c 5
\p
\v 1 พวกเขาข้ามมาอีกฟากหนึ่งของทะเลถึงเขตแดนเกราซา
\v 2 เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากเรือ ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีโสโครกเข้าสิงได้วิ่งออกจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์
\s5
\p
\v 3 ชายนั้นอาศัยอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ ไม่มีผู้ใดสามารถเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้ แม้จะเอาโซ่ล่ามไว้
\v 4 เขาถูกล่ามด้วยตรวนและโซ่อยู่หลายครั้ง เขาหักโซ่ออกและทำลายตรวนของเขาจนพัง ไม่มีผู้ใดที่มีกำลังพอที่ปราบเขาได้
\s5
\p
\v 5 เขากรีดร้อง และเขาเชือดเฉือนตนเองด้วยหินแหลมคมทั้งคืนทั้งวันในอุโมงค์ฝังศพและตามภูเขา
\v 6 เมื่อเขาเห็นพระเยซูมาแต่ไกล เขาจึงวิ่งไปหาพระองค์และก้มกราบต่อพระองค์
\s5
\p
\v 7 เขาร้องด้วยเสียงอันดังว่า "พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ข้าเกี่ยวข้องอะไรกับท่านหรือ? ข้าขอร้องท่าน โดยพระเจ้า อย่าทรมานข้าเลย"
\v 8 เพราะพระองค์ได้ตรัสกับมันว่า "เจ้าผีโสโครก จงออกจากชายคนนี้"
\s5
\p
\v 9 และพระองค์ตรัสถามมันว่า "เจ้าชื่ออะไร?" มันตอบพระองค์ว่า "ข้าชื่อกองเพราะพวกเรามีจำนวนมาก"
\v 10 มันขอร้องพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้ขับพวกมันออกไปจากเขตแดนนั้น
\s5
\p
\v 11 มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่บนเนินเขา
\v 12 และพวกมันขอพระองค์ว่า "โปรดให้พวกเราเข้าไปสิงอยู่ในฝูงสุกรเถิด"
\v 13 ดังนั้นพระองค์จึงทรงอนุญาตตามนั้น พวกผีโสโครกจึงออกมาและเข้าไปสิงอยู่ในฝูงสุกร และพวกมันได้วิ่งกระโจนลงหน้าผาชันลงสู่ทะเล และจมน้ำตายในทะเลประมาณสองพันตัว
\s5
\p
\v 14 พวกคนเลี้ยงสุกรได้วิ่งหนีไปและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้แก่คนที่อยู่ในเมืองและตามชนบทฟัง ดังนั้นคนทั้งปวงจึงพากันออกมาดูสิ่งที่เกิดขึ้น
\v 15 แล้วพวกเขาจึงมาหาพระเยซู และพวกเขาได้เห็นชายที่ถูกผีทั้งกองสิงอยู่นั้นกำลังนั่งสงบอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าและมีสติกลับคืนมา และพวกเขาก็กลัว
\s5
\p
\v 16 ผู้ที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายที่ถูกผีสิงได้เล่าเหตุการณ์ให้พวกเขาฟัง และพวกเขาก็บอกเรื่องราวเกี่ยวกับฝูงสุกรด้วย
\v 17 แล้วพวกเขาจึงเริ่มขอร้องพระองค์ให้ออกไปจากเขตแดนของพวกเขา
\s5
\p
\v 18 เมื่อพระองค์เสด็จลงเรือ ชายที่เคยถูกผีสิงขอร้องพระองค์ให้เขาไปกับพระองค์ด้วย
\v 19 แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงกลับไปยังบ้านของเจ้าและผู้คนของเจ้า และจงเล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า และที่พระองค์ทรงสำแดงพระเมตตาให้แก่เจ้าอย่างไร"
\v 20 ดังนั้นเขาจึงจากไปและเริ่มต้นประกาศความยิ่งใหญ่ที่พระเยซูได้ทรงกระทำแก่เขาในแคว้นเดคาโปลิสและทุกคนก็พากันประหลาดใจ
\s5
\p
\v 21 เมื่อพระเยซูลงเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่ง ขณะที่พระองค์อยู่ริมทะเล ได้มีฝูงชนเป็นอันมากรวมตัวกันรายล้อมพระองค์
\v 22 มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสเข้ามา เมื่อเขาเห็นพระองค์ก็ได้ก้มลงแทบพระบาทของพระองค์
\v 23 เขารบเร้าขอร้องพระองค์หลายต่อหลายครั้งว่า "ลูกสาวของข้าพระองค์ใกล้จะตายแล้ว ข้าพระองค์ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จไปและวางมือของพระองค์บนตัวเธอเพื่อว่าเธอจะหายดีและมีชีวิต"
\v 24 ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปกับเขา และฝูงชนเป็นอันมากได้ตามพระองค์และล้อมรอบเบียดเสียดพระองค์
\s5
\p
\v 25 ขณะนั้นหญิงคนหนึ่งผู้ซึ่งมีโลหิตตกเป็นเวลาสิบสองปี
\v 26 เธอทุกข์ทรมานอย่างมาก เสียเงินหาหมอมาหลายคน จนหมดตัว แต่แทนที่จะดีขึ้นอาการกลับทรุดลง
\v 27 เมื่อเธอได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซู เธอจึงมาด้านหลังพระองค์ขณะทรงดำเนินในฝูงชน และได้แตะต้องฉลองพระองค์
\s5
\p
\v 28 เนื่องจากเธอได้กล่าวว่า "ถ้าฉันได้แตะฉลองพระองค์ ฉันก็จะหายโรค"
\v 29 เมื่อเธอได้แตะต้องพระองค์ โลหิตก็หยุดไหล และเธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอได้รับการรักษาจากความเจ็บปวดที่เป็นอยู่แล้ว
\s5
\p
\v 30 พระเยซูทรงทราบทันทีว่าฤทธิ์ได้ซ่านออกจากพระองค์แล้ว พระองค์ทรงหันไปรอบฝูงชนและตรัสว่า "ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา?"
\v 31 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "พระองค์ก็ทรงเห็นว่าฝูงชนเบียดเสียดล้อมรอบพระองค์อยู่ แล้วพระองค์ยังจะถามอีกหรือว่า "ใครแตะต้องเรา?"
\v 32 แต่พระเยซูทรงมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าใครเป็นผู้กระทำ
\s5
\p
\v 33 ฝ่ายหญิงนั้นรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง ก็เกิดความกลัวและตัวสั่น เธอเข้ามาและก้มลงกราบต่อหน้าพระองค์ และกราบทูลความจริงทั้งหมดต่อพระองค์
\v 34 พระองค์จึงตรัสกับเธอว่า "ลูกหญิงเอ๋ยความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหาย จงไปเป็นสุขและหายจากโรคของเธอเถิด"
\s5
\p
\v 35 ขณะที่พระองค์กำลังตรัสอยู่นั้น มีคนที่มาจากบ้านของนายธรรมศาลากล่าวว่า "ลูกสาวของท่านตายแล้ว เหตุใดจึงรบกวนอาจารย์อยู่อีกเล่า?"
\s5
\p
\v 36 แต่เมื่อพระเยซูได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดพระองค์จึงตรัสกับนายธรรมศาลาว่า "อย่ากลัวเลย จงเชื่อเถิด"
\v 37 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดไปกับพระองค์ ยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์น ซึ่งเป็นน้องชายของยากอบ
\v 38 พวกเขาไปยังบ้านของนายธรรมศาลา และพระองค์เห็นว่ามีคนส่งเสียงดังมาก พวกเขาร้องไห้และคร่ำครวญเสียงดัง
\s5
\p
\v 39 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านนั้น พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "เหตุใดพวกท่านจึงว้าวุ่นและเหตุใดพวกท่านจึงร้องไห้คร่ำครวญเล่า? เด็กนั้นไม่ได้ตายหรอก เพียงแค่หลับไปเท่านั้น"
\v 40 พวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์ แต่พระองค์จึงให้พวกเขาทั้งหมดออกไปข้างนอก และทรงพาพ่อและแม่ของเด็ก และคนซึ่งมากับพระองค์ และพระองค์เสด็จเข้าไปหาเด็กคนนั้น
\s5
\p
\v 41 พระองค์จับมือของเด็กนั้นแล้วตรัสกับเธอว่า "ทาลิธา คูม" ซึ่งแปลว่า "เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกเจ้าให้ลุกขึ้น"
\v 42 ทันใดนั้นเด็กก็ลุกขึ้นและเดิน (เธออายุได้สิบสองปี) พวกเขาประหลาดใจในทันทีด้วยความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
\v 43 พระองค์ทรงกำชับพวกเขาอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร และตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน
\s5
\c 6
\p
\v 1 พระองค์เสด็จไปจากที่นั่น และมายังบ้านเกิดของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์ได้ติดตามพระองค์ไปด้วย
\v 2 เมื่อถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา คนมากมายที่ได้ยินพระองค์และพวกเขาก็พากันประหลาดใจ พวกเขากล่าวว่า "เขาเอาคำสอนเหล่านี้มาจากไหน?" "สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหนกัน?" "อะไรที่ทำให้เขาถึงทำการอัศจรรย์นี้ได้ด้วยมือของเขา?"
\v 3 "นี่ไม่ใช่ช่างไม้ ลูกของมารีย์และเป็นพี่ชายของยากอบและโยเสส ยูดาห์และซีโมน และน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่มิใช่หรือ?" และเขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระเยซู
\s5
\p
\v 4 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ผู้เผยพระวจนจะไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในบ้านเกิดของตน ท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในครอบครัวของตนเอง"
\v 5 พระองค์ไม่สามารถทำงานอันยิ่งใหญ่ได้ นอกจากทรงวางมือของพระองค์บนคนป่วยบางคนและรักษาพวกเขาให้หาย
\v 6 พระองค์ประหลาดใจที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่งสอนหมู่บ้านโดยรอบ
\s5
\p
\v 7 แล้วพระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคน และส่งพวกเขาออกไปทีละสองคน และพระองค์มอบสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่วร้ายแก่พวกเขา
\v 8 และทรงกำชับกับพวกเขาไม่ให้เอาอะไรไป นอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินใส่เข็มขัดไป
\v 9 แต่ให้สวมรองเท้าและอย่าสวมเสื้อสองตัว
\s5
\p
\v 10 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าพวกท่านเข้าไปบ้านไหนให้พักอยู่ที่นั่นจนกว่าพวกท่านจะออกจากที่นั่น
\v 11 ถ้าเมืองใดไม่ต้อนรับพวกท่านหรือไม่ฟังพวกท่าน เมื่อพวกท่านออกจากสถานที่นั้นแล้วจงสะบัดฝุ่นที่เท้าของพวกท่านออก เพื่อเป็นพยานต่อพวกเขา
\s5
\p
\v 12 พวกเขาก็ออกไปและประกาศให้ประชาชนหันกลับจากความบาปของพวกเขา
\v 13 พวกเขาได้ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายมากมายและเจิมคนเจ็บป่วยเหล่านั้นด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย
\s5
\p
\v 14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องนี้ เพราะชื่อเสียงของพระเยซูเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว บางคนบอกว่า "เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นจากความตาย เพราะเหตุนี้เขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้"
\v 15 บางคนก็บอกว่า "เขาคือเอลียาห์" บางคนก็บอกว่า "เขาคือผู้เผยพระวจนะแบบเดียวกับผู้เผยพระวจนะในสมัยก่อน"
\s5
\p
\v 16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยิน พระองค์ตรัสว่า "ยอห์นคนที่ถูกเราสั่งตัดศรีษะ ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว"
\v 17 เพราะเฮโรดได้ส่งคนไปจับยอห์นและพระองค์ขังเขาไว้ในคุกด้วยเหตุจากนางเฮโรเดียส (ภรรยาของฟิลิปน้องชายของพระองค์) เพราะว่าเฮโรดได้แต่งงานกับเธอ
\s5
\p
\v 18 ยอห์นได้ทูลกับเฮโรดว่า "ไม่ถูกต้องตามกฏที่พระองค์แต่งงานกับภรรยาของน้องชายตนเอง"
\v 19 แต่นางเฮโรเดียสโกรธเคืองท่านและอยากที่จะฆ่าท่านเสีย แต่เธอไม่สามารถทำได้
\v 20 เพราะเฮโรดนั้นเกรงกลัวยอห์น พระองค์รู้ว่าท่านเป็นคนชอบธรรมและเป็นคนบริสุทธิ์ เฮโรดจึงรักษาชีวิตท่านไว้ แม้เฮโรดจะไม่พอใจกับสิ่งที่ยอห์นบอก แต่พระองค์ก็ยังอยากฟังจากท่าน
\s5
\p
\v 21 แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อถึงวันเกิดของเฮโรด และพระองค์ได้เชิญเจ้าหน้าที่ของพระองค์ ผู้บังคับบัญชาของพระองค์ และผู้นำทั้งหลายของกาลิลีมางานเลี้ยงมื้อเย็น
\v 22 ธิดาของนางเฮโรเดียสเข้ามาในงานและเต้นรำถวายเพื่อคนเหล่านั้น เฮโรดและแขกที่มาในงานของพระองค์ก็ชอบใจเธอ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวว่า "จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ"
\s5
\p
\v 23 พระองค์ทรงปฏิญาณกับเธอว่า "ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราจะให้ จะขออาณาจักรของเราถึงครึ่งหนึ่งก็ได้"
\v 24 เธอก็ออกไปและถามมารดาของเธอว่า "ลูกจะขออะไรพระองค์ดี" มารดาจึงบอกว่า "ขอศรีษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ"
\v 25 เธอจึงกลับเข้าไปหากษัตริย์ทันทีและทูลว่า "ดิฉันขอศรีษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้ดิฉันเดี๋ยวนี้เถิด"
\s5
\p
\v 26 ถึงแม้ว่าสิ่งนี้ทำให้กษัตริย์เศร้าโศกเป็นอย่างมาก แต่พระองค์ก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ เพราะคำปฏิญาณที่พระองค์ทำไว้ และเพราะแขกที่มาทานอาหารค่ำของพระองค์
\v 27 ดังนั้นกษัตริย์จึงส่งทหารจากหน่วยองครักษ์ของพระองค์ไปและสั่งให้เขานำศีรษะของยอห์นมา องครักษ์ก็ไปและตัดศีรษะเขาในคุก
\v 28 เขานำศรีษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่มารดาของเธอ
\v 29 เมื่อเหล่าสาวกของยอห์นได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็เข้ามาและนำร่างของท่านเพื่อเอาไปฝังไว้ในอุโมงค์
\s5
\p
\v 30 อัครทูตก็กลับมาหาพระเยซู และทูลพระองค์ถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอนทั้งหมด
\v 31 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง" เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร
\v 32 ดังนั้นพระองค์และเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบตามลำพัง
\s5
\p
\v 33 แต่คนทั้งหลายเห็นพวกเขากำลังจากไปและคนมากมายจำพวกเขาได้ และประชาชนก็พากันวิ่งไปที่นั่นด้วยกันจากทุกเมืองและประชาชนก็มาถึงที่นั่นก่อนพวกเขา
\v 34 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกมาถึงฝั่ง พระองค์ทรงเห็นฝูงชนมากมาย และพระองค์รู้สึกสงสารพวกเขา เพราะพวกเขาเหมือนแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง
\s5
\p
\v 35 เมื่อเวลาล่วงไปมากแล้ว พวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า "ที่นี่กันดารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว
\v 36 ขอทรงให้ประชาชนไปเถิด เพื่อที่พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารกินตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้เพื่อตนเอง"
\s5
\p
\v 37 แต่พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "พวกท่านจงหาอาหารให้พวกเขากินเถิด" เหล่าสาวกทูลตอบพระองค์ว่า "พวกเราจะเอาเงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารมาให้พวกเขากินได้หรือ?"
\v 38 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? จงไปหาดู" เมื่อพวกเขาพบแล้ว พวกเขาจึงมาทูลพระองค์ว่า "มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว"
\s5
\p
\v 39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขานั่งลงเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้า
\v 40 พวกเขาก็นั่งลงเป็นกลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
\v 41 พระองค์รับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ พระองค์ทรงขอพรเสร็จ พระองค์ทรงหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวกเอาไปให้แก่ประชาชน แล้วพระองค์ทรงแบ่งปลาสองตัวนั้นให้แก่พวกเขาทั้งหมด
\s5
\p
\v 42 พวกเขาทั้งหมดก็กินกันจนอิ่ม
\v 43 เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้ทั้งหมดสิบสองตะกร้าเต็ม
\v 44 มีผู้ชายห้าพันคนที่ได้กินขนมปังนั้น
\s5
\p
\v 45 แล้วพระองค์ก็ให้บรรดาสาวกขึ้นเรือทันทีและข้ามฟากไปล่วงหน้าพระองค์ไปที่เบธไซดา ในขณะที่พระองค์คอยส่งฝูงชนกลับไป
\v 46 เมื่อพวกเขาไปแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน
\v 47 เมื่อถึงตอนเย็น และขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเล และพระองค์ยังอยู่บนแผ่นดินตามลำพัง
\s5
\p
\v 48 พระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขากำลังตีกรรเชียงด้วยความลำบากเพราะทวนลมอยู่ พอถึงเวลายามที่สี่ พระองค์ทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปหาพวกเขา และพระองค์ทรงดำเนินเหมือนจะผ่านพวกเขาไป
\v 49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ดำเนินบนน้ำทะเล พวกเขาก็คิดว่าพระองค์เป็นผีจึงร้องเสียงดัง
\v 50 เพราะว่าพวกเขาเห็นพระองค์และหวาดกลัว ทันใดนั้นพระองค์พูดกับพวกเขาและตรัสกับพวกเขาว่า "อย่ากลัวเลย นี่เราเอง อย่ากลัวเลย"
\s5
\p
\v 51 พระองค์ก็ขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมก็สงบลง พวกเขาประหลาดใจกันมาก
\v 52 เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปังและหัวใจของพวกเขาก็แข็งกระด้าง
\s5
\p
\v 53 เมื่อพวกเขาข้ามฟากมาถึงเมืองเยนเนซาเรธและทอดสมอเรือไว้
\v 54 เมื่อพวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระองค์ได้ทันที
\v 55 และพวกเขารีบไปทั่วแว่นแคว้นและเอาคนเจ็บป่วยวางบนเสื่อหามมายังที่ซึ่งพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่
\s5
\p
\v 56 ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน ในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท ผู้คนก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางกลางตลาด และทูลขออนุญาตจากพระองค์ที่จะได้แตะต้องแม้เพียงชายฉลองพระองค์ และทุกคนที่แตะต้องก็หายป่วย
\s5
\c 7
\p
\v 1 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์บางคน ซึ่งมาจากเยรูซาเล็ม พากันมารวมตัวกันล้อมรอบพระองค์
\s5
\p
\v 2 พวกเขาเห็นว่าสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารด้วยมือที่สกปรก นั่นคือเป็นมลทิน
\v 3 (เพราะพวกฟาริสีและชาวยิวทุกคนจะไม่ยอมรับประทาน จนกว่าพวกเขาจะได้ล้างมือของพวกเขา เพราะพวกเขายึดถือตามธรรมเนียมของเหล่าผู้อาวุโส
\v 4 เมื่อพวกฟาริสีมาจากตลาด พวกเขาจะไม่ยอมรับประทานจนกว่า พวกเขาจะได้อาบน้ำ และพวกเขายังถือธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายข้อ ได้แก่ การล้างถ้วยชาม หม้อ ภาชนะทองแดง และโต๊ะที่พวกเขารับประทานอาหาร)
\s5
\p
\v 5 พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ถามพระเยซูว่า "ทำไมเหล่าสาวกของท่านจึงไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของเหล่าผู้อาวุโส ด้วยการที่พวกเขาไม่ล้างมือเพื่อรับประทานอาหารของพวกเขา?"
\s5
\p
\v 6 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "อิสยาห์ได้เผยพระวจนะถึงพวกท่านคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกต้องแล้วตามที่เขียนไว้ว่า 'ประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ส่วนใจของพวกเขาห่างจากเรา
\v 7 พวกเขานมัสการเราอย่างเปล่าประโยชน์ คำสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา'
\s5
\p
\v 8 พวกท่านละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้าและหันไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์"
\v 9 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า เพื่อที่พวกท่านจะได้ถือตามธรรมเนียมของตนเอง
\v 10 เพราะโมเสสกล่าวไว้ว่า 'จงให้เกียรติแก่บิดา มารดาของเจ้า' และ 'ใครที่กล่าวร้ายต่อบิดา มารดาของตน จะต้องตายแน่นอน'
\s5
\p
\v 11 แต่พวกท่านกลับพูดว่า 'ถ้าใครกล่าวกับบิดา หรือมารดาของตนว่า "สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจช่วยเหลือท่านได้ สิ่งนั้นคือโกระบาน"' (ซึ่งหมายถึง 'ของที่ถวายแก่พระเจ้าแล้ว')
\v 12 พวกท่านจึงไม่อนุญาตให้เขาทำสิ่งใดเพื่อบิดาหรือมารดาของตนอีกต่อไป
\v 13 พวกท่านกำลังทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะไปด้วยธรรมเนียมซึ่งพวกท่านรับต่อกันมา และเรื่องอื่นๆ ในทำนองเดียวกันซึ่งพวกท่านปฏิบัติอยู่"
\s5
\p
\v 14 พระองค์ทรงเรียกฝูงชนอีกครั้งหนึ่งและตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านทุกคน จงฟังเราและจงเข้าใจเถิด
\v 15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทำให้เขาเป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากเขาต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน"
\v 16 .
\s5
\p
\v 17 เมื่อพระเยซูละจากฝูงชนและเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกของพระองค์จึงทูลถามพระองค์ถึงเรื่องคำอุปมานั้น
\v 18 พระเยซูตรัสว่า "พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์แล้วทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้
\v 19 เพราะสิ่งนั้นไม่ได้เข้าไปในใจของเขา แต่สิ่งนั้นลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายลงส้วมไป?" ด้วยถ้อยคำนี้พระเยซูทรงประกาศอาหารทุกอย่างให้สะอาด
\s5
\p
\v 20 พระองค์ตรัสว่า "สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
\v 21 เพราะที่ออกมาจากภายในมนุษย์ จากใจของมนุษย์ คือความคิดที่ชั่วร้าย การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การฆาตกรรม
\v 22 การล่วงประเวณี ความโลภ ความชั่วร้าย การหลอกลวง ราคะตัณหา ความอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความโง่เขลา
\v 23 ความชั่วเหล่านี้แหละที่ออกมาจากภายใน และสิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน"
\s5
\p
\v 24 พระองค์ทรงเสด็จจากที่นั่น และไปยังเมืองไทระและไซดอน พระองค์เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง และพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้ใดรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ที่ไหน แต่พระองค์ก็ไม่อาจหลบพ้นได้
\v 25 มีหญิงคนหนึ่งซึ่งบุตรสาวเล็กๆ ของเธอมีผีโสโครกเข้าสิง ทันทีที่ได้ยินข่าวเรื่องพระองค์ เธอจึงเข้ามาและกราบลงที่พระบาทของพระองค์
\v 26 หญิงคนนี้เป็นชาวกรีก เชื้อสายซีเรียฟีนีเซีย เธอวิงวอนขอให้พระองค์ขับผีออกจากบุตรสาวของเธอ
\s5
\p
\v 27 พระองค์ตรัสกับเธอว่า "จงให้ลูกได้กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกแล้วโยนให้แก่พวกสุนัข"
\v 28 แต่เธอทูลตอบพระองค์ว่า "ใช่แล องค์พระผู้เป็นเจ้า สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ย่อมได้กินเศษอาหารของลูก"
\s5
\p
\v 29 พระองค์ตรัสกับเธอว่า "เพราะเหตุที่เจ้าพูดอย่างนี้ เจ้าจงกลับไปเถิด ผีได้ออกจากบุตรสาวของเจ้าแล้ว"
\v 30 เธอจึงกลับไปยังบ้านของเธอ และพบบุตรสาวนอนอยู่บนที่นอน และผีได้ออกไปแล้ว
\s5
\p
\v 31 จากนั้นพระองค์เสด็จออกจากเมืองไทระอีกครั้ง และผ่านเมืองไซดอนจนถึงทะเลสาบกาลิลี ขึ้นไปยังเขตแดนแคว้นเดคาโปลิส
\v 32 และพวกเขาพาคนหนึ่งที่หูหนวกและพูดไม่ได้มาหาพระองค์ และพวกเขาทูลขอให้พระองค์วางมือของพระองค์บนเขา
\s5
\p
\v 33 พระองค์ทรงพาเขาออกจากฝูงชนไปเพียงลำพัง และพระองค์ทรงเอานิ้วพระหัตถ์แหย่เข้าไปในหูของเขา และเมื่อถ่มน้ำลายแล้ว พระองค์จึงเอานิ้วแตะที่ลิ้นของเขา
\v 34 พระองค์แหงนมองบนท้องฟ้า พระองค์ทรงถอนหายใจและตรัสกับเขาว่า "เอฟฟาธา"ซึ่งแปลว่า "จงเปิดออก"
\v 35 แล้วหูของชายคนนั้นก็หายหนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน
\s5
\p
\v 36 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือเรื่องนี้ไปทั่ว
\v 37 พวกเขาประหลาดใจเป็นที่สุด จึงพูดกันว่า "พระองค์ทรงกระทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้"
\s5
\c 8
\p
\v 1 คราวนั้น มีฝูงชนพากันมามากมายอีกครั้งและพวกเขาไม่มีอาหารกิน พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์และตรัสกับพวกเขาว่า
\v 2 "เราสงสารฝูงชนเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาตลอดสามวันแล้ว และพวกเขาไม่มีอาหารกิน
\v 3 ถ้าหากเราปล่อยพวกเขากลับไปบ้านของพวกเขาโดยที่ไม่ได้กินอะไรเลย พวกเขาคงจะเป็นลมล้มลงกลางทางได้ พวกเขาบางคนก็เดินทางมาไกลด้วย"
\v 4 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบพระองค์ว่า "ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้พวกเราจะไปหาขนมปังจากที่ไหนได้มากพอเพื่อจะเลี้ยงดูคนเหล่านี้ทั้งหมดได้หรือ?"
\s5
\p
\v 5 พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า "พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน?" พวกเขาทูลว่า "มีเจ็ดก้อน"
\v 6 พระองค์สั่งให้ฝูงชนนั่งลงที่พื้น พระองค์ทรงหยิบขนมปังทั้งเจ็ดก้อนขึ้นมาเพื่อขอบพระคุณ และทรงหักขนมปังนั้น พระองค์ทรงแจกจ่ายให้กับเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วเหล่าสาวกจึงแจกจ่ายให้กับฝูงชน
\s5
\p
\v 7 พวกเขามีปลาตัวเล็กสองสามตัวด้วย และหลังจากพระองค์อธิษฐานขอบพระคุณสำหรับปลาเหล่านั้น พระองค์สั่งเหล่าสาวกให้เอาปลาทั้งหมดไปแจกด้วย
\v 8 พวกเขาได้รับประทานอาหารจนอิ่ม และพวกเขาเก็บรวบรวมเศษขนมปังที่เหลือได้ทั้งหมดเจ็ดตะกร้าใหญ่
\v 9 มีคนประมาณสี่พันคน แล้วพระองค์ทรงส่งพวกเขากลับไป
\v 10 จากนั้นพระองค์จึงทรงลงเรือไปกับเหล่าสาวกของพระองค์เพื่อไปยังแคว้นดาลมานูธาทันที
\s5
\p
\v 11 แล้วพวกฟาริสีออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ พวกเขาให้พระองค์แสวงหาหมายสำคัญจากสวรรค์เพื่อทดสอบพระองค์
\v 12 พระองค์ทรงถอนหายใจยาวและตรัสว่า "ทำไมชนในรุ่นนี้จึงแสวงหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า จะไม่ประทานหมายสำคัญใดๆ ให้แก่ชนในรุ่นนี้เลย"
\v 13 จากนั้นพระองค์จึงเสด็จจากพวกเขาไปแล้วเสด็จลงเรืออีกครั้ง และไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
\s5
\p
\v 14 ในเวลานี้เหล่าสาวกลืมเอาขนมปังมาพร้อมกับพวกเขาด้วย ในเรือมีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น
\v 15 พระองค์ทรงเตือนพวกเขาและตรัสว่า "จงเฝ้าดูและระวังเชื้อของพวกฟาริสีและเชื้อของเฮโรด"
\s5
\p
\v 16 เหล่าสาวกให้เหตุผลกันว่า "นี่เป็นเพราะพวกเราไม่มีขนมปัง"
\v 17 พระเยซูทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านจึงให้เหตุผลกันเรื่องไม่มีขนมปังเล่า? พวกท่านยังมองไม่เห็นหรือ? พวกท่านยังไม่เข้าใจหรืออย่างไร? ใจของพวกท่านแข็งกระด้างไปแล้วใช่ไหม?"
\s5
\p
\v 18 พวกท่านมีตาแต่มองไม่เห็นใช่ไหม? พวกท่านมีหูแต่ไม่ได้ยินใช่ไหม? พวกท่านจำไม่ได้ใช่ไหม?
\v 19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนท่ามกลางคนห้าพันคน พวกท่านเก็บเศษขนมปังที่เหลือได้ทั้งหมดกี่ตะกร้า?" พวกเขาทูลพระองค์ว่า "สิบสองตะกร้า"
\s5
\p
\v 20 "เมื่อเราหักขนมปังเจ็ดก้อนท่ามกลางคนสี่พันคน พวกท่านเก็บเศษขนมปังที่เหลือได้เต็มทั้งหมดกี่ตะกร้าหรือ?" พวกเขาทูลพระองค์ว่า "เจ็ดตะกร้า"
\v 21 พระองค์ตรัสว่า "พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?"
\s5
\p
\v 22 พวกเขามาที่เบธไซดา ผู้คนที่นั่นพาชายตาบอดมาหาพระองค์และทูลอ้อนวอนให้พระเยซูสัมผัสเขา
\v 23 พระเยซูจูงมือชายตาบอด และพาเขาออกไปนอกหมู่บ้าน เมื่อพระองค์ทรงบ้วนน้ำลายรดตาของเขา และทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนเขา พระองค์ทรงถามเขาว่า "ท่านมองเห็นอะไรบ้างไหม?"
\s5
\p
\v 24 เขาเงยหน้าขึ้นมองและทูลว่า "ข้าพเจ้ามองเห็นผู้คนซึ่งดูเหมือนต้นไม้เดินได้"
\v 25 จากนั้นพระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์บนดวงตาของเขาอีกครั้ง และชายคนนั้นก็ลืมตาของเขาขึ้น สายตาของเขาได้รับการรักษา และเขามองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
\v 26 พระเยซูทรงส่งเขากลับบ้านของเขาและตรัสว่า "อย่าเข้าไปในเมือง"
\s5
\p
\v 27 พระเยซูทรงออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์เพื่อเข้าไปในหมู่บ้านของเมืองซีซารียาฟิลิปปี ในระหว่างทางพระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร?"
\v 28 พวกเขาทูลตอบพระองค์และทูลว่า "เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนก็บอกว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็บอกว่า เป็นคนหนึ่งในผู้เผยพระวจนะ"
\s5
\p
\v 29 พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า "แต่พวกท่านเล่าพูดว่าเราเป็นใคร?" เปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์เป็นพระคริสต์"
\v 30 พระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใครเกี่ยวกับพระองค์
\s5
\p
\v 31 พระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และจะต้องถูกปฏิเสธจากพวกผู้อาวุโส และพวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และจะถูกประหารชีวิต ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่
\v 32 พระองค์ตรัสสิ่งนี้ไว้อย่างชัดเจน แล้วเปโตรจึงพูดกับพระองค์เป็นการส่วนตัวและเริ่มห้ามปรามพระองค์
\s5
\p
\v 33 แต่พระเยซูหันพระพักตร์และมองดูที่เหล่าสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ทรงตำหนิเปโตรอย่างรุนแรงและตรัสว่า "ถอยไป เจ้าซาตาน เจ้าไม่ได้มีความคิดอย่างพระเจ้าแต่คิดอย่างมนุษย์"
\v 34 จากนั้นพระองค์จึงทรงเรียกฝูงชนและพวกสาวกของพระองค์ให้มาอยู่ด้วยกัน และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าผู้ใดต้องการติดตามเรา ผู้นั้นต้องปฏิเสธตนเอง แบกกางเขนของตน และตามเรามา
\s5
\p
\v 35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการรักษาชีวิตของเขาให้รอด คนนั้นจะเสียชีวิต และใครที่ยอมสูญเสียชีวิตของเขาเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด
\v 36 จะเกิดประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งที่จะได้ทั้งโลกนี้ แต่ต้องสูญเสียชีวิตของตนเล่า?
\v 37 คนนั้นจะเอาอะไรไปแลกกับชีวิตของตนได้หรือ?
\s5
\p
\v 38 ใครก็ตามที่อับอายเพราะเรา และเพราะถ้อยคำของเราในยุคที่เต็มไปด้วยการล่วงประเวณี และความผิดบาป บุตรมนุษย์จะอับอายเพราะเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระสิริของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์อันบริสุทธิ์"
\s5
\c 9
\p
\v 1 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า มีบางคนในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ได้ลิ้มรสความตายก่อนพวกเขาจะได้เห็นราชอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธิ์เดช"
\v 2 หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์นไปที่บนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระกายของพระองค์ได้ถูกทำให้เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
\v 3 ฉลองของพระองค์ดุจดังแสงโชติช่วง ขาวมากที่สุด ขาวยิ่งกว่าช่างฟอกผ้าคนใดๆ ในโลกจะสามารถทำได้
\s5
\p
\v 4 แล้วเอลียาห์กับโมเสสได้ปรากฏแก่พวกเขาและพวกเขากำลังสนทนาอยู่กับพระเยซู
\v 5 เปโตรจึงตอบและทูลพระเยซูว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า ดีแล้วที่พวกเราอยู่ที่นี่ ให้พวกเราสร้างที่พักสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสสและหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์"
\v 6 (เพราะเขาไม่รู้จะพูดอะไรเพราะพวกเขารู้สึกหวาดกลัว)
\s5
\p
\v 7 มีเมฆมาปกคลุมพวกเขาไว้ จากนั้นมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด"
\v 8 ทันใดนั้น เมื่อพวกเขามองไปรอบๆ พวกเขาไม่เห็นใครอื่นอีกเลยนอกจากพระเยซูที่อยู่กับพวกเขาเท่านั้น
\s5
\p
\v 9 ขณะที่พวกเขากำลังลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาว่าไม่ให้บอกเรื่องที่พวกเขาได้เห็นนี้แก่ใครจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย
\v 10 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ แต่พวกเขาก็ปรึกษากันว่า "การเป็นขึ้นมาจากความตาย" นั้นหมายความว่าอะไร
\s5
\p
\v 11 พวกเขาถามพระองค์ว่า "ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงกล่าวว่าเอลียาห์ต้องมาก่อน?"
\v 12 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เอลียาห์ต้องมาก่อนอย่างแน่นอนเพื่อทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม ทำไมจึงมีเขียนไว้ว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการและถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม?
\v 13 แต่เราบอกกับพวกท่านว่าเอลียาห์ได้มาถึงแล้ว และพวกเขาได้กระทำต่อเอลียาห์ตามที่พวกเขาต้องการ ดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้เกี่ยวกับเขา"
\s5
\p
\v 14 เมื่อพวกเขากลับมาหาเหล่าสาวกแล้ว พวกเขาเห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่อยู่ล้อมรอบพวกเขา และพวกธรรมาจารย์กำลังโต้เถียงกับพวกเขาอยู่
\v 15 ทันทีที่พวกเขาเห็นพระเยซู ฝูงชนทั้งหมดก็ประหลาดใจ และวิ่งเข้าไปทักทายพระองค์
\v 16 พระองค์จึงถามเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "พวกท่านโต้เถียงกับพวกเขาเรื่องอะไร?"
\s5
\p
\v 17 มีบางคนในฝูงชนทูลตอบพระองค์ว่า "พระอาจารย์ ข้าพระองค์นำบุตรชายมาหาพระองค์ เขามีผีสิงที่ทำให้เขาพูดไม่ได้
\v 18 เวลาผีเข้าสิงเขา มันก็ทำให้เขาล้มลงที่พื้น และทำให้เขาน้ำลายฟูมปาก กัดฟันและตัวแข็งทื่อ ข้าพระองค์ขอให้พวกสาวกของพระองค์ขับไล่ผีนี้ออกจากเขา แต่พวกเขาทำไม่ได้"
\v 19 พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า "คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านอีกนานแค่ไหน? เราจะต้องอดทนกับพวกท่านอีกนานแค่ไหน? จงไปพาเขามาหาเรา"
\s5
\p
\v 20 พวกเขาจึงพาเด็กชายมาหาพระองค์ ทันทีที่ผีนั้นเห็นพระเยซู มันทำให้เด็กนั้นชัก เด็กชายคนนั้นจึงล้มลงที่พื้นและน้ำลายฟูมปาก
\v 21 พระเยซูจึงตรัสถามบิดาของเขาว่า "เขาเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?" พ่อของเขาทูลว่า "เป็นมาแต่เด็กแล้ว
\v 22 มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารพวกเราและช่วยพวกเราด้วยเถิด"
\s5
\p
\v 23 พระเยซูตรัสกับเขาว่า '"ถ้าช่วยได้อย่างนั้นหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ"
\v 24 ทันใดนั้นบิดาของเด็กร้องออกมาและทูลว่า "ข้าพระองค์เชื่อ โปรดช่วยข้าพระองค์ในส่วนที่ยังขาดความเชื่อด้วยเถิด"
\v 25 เมื่อพระเยซูเห็นฝูงชนวิ่งมาหาพวกเขา พระองค์จึงขับไล่ผีชั่วนั้นออกไปและตรัสว่า "เจ้าผีใบ้และหูหนวก เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้ามารบกวนเขาอีก"
\s5
\p
\v 26 มันร้องออกมาและทำให้เด็กชายชักกระตุกอย่างแรงแล้วออกมา เด็กชายดูเหมือนคนที่ตายแล้วจนหลายคนพูดว่า "เขาตายแล้ว"
\v 27 แต่พระเยซูจับมือเขาและพยุงเขาขึ้นแล้วเด็กชายนั้นจึงยืนขึ้น
\s5
\p
\v 28 เมื่อพระเยซูเข้ามาในบ้าน เหล่าสาวกของพระองค์จึงถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า "ทำไมพวกข้าพระองค์ถึงขับออกไม่ได้?"
\v 29 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐาน"
\s5
\p
\v 30 พวกเขาออกไปจากที่นั่นและผ่านแคว้นกาลิลีไป พระองค์ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
\v 31 เพราะพระองค์กำลังสอนเหล่าสาวกของพระองค์อยู่ พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนเหล่านั้นและพวกเขาจะประหารพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ถูกประหารแล้วสามวัน พระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่"
\v 32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจคำตรัสของพระองค์ และไม่กล้าทูลถามพระองค์
\s5
\p
\v 33 เมื่อพวกเขามาถึงคาเปอร์นาอุมหลังจากพระองค์เข้าไปในบ้าน พระองค์จึงตรัสถามพวกเขาว่า "ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?"
\v 34 แต่พวกเขานิ่งเงียบ เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด
\v 35 พระองค์นั่งลงและเรียกสาวกทั้งสิบสองคนเข้ามาหา และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าผู้ใดต้องการจะเป็นคนต้น เขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นผู้ปรนนิบัติคนทั้งปวง"
\s5
\p
\v 36 พระองค์จึงให้เด็กเล็กคนหนึ่งเข้ามาและยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา พระองค์จึงอุ้มเด็กคนนั้นไว้ในอ้อมแขนของพระองค์และตรัสกับพวกเขาว่า
\v 37 "ผู้ใดก็ตามที่ยอมรับเด็กเช่นนี้ไว้ในนามของเราก็ยอมรับเราด้วย และถ้าผู้ใดที่ยอมรับเรา ผู้นั้นก็ไม่ได้ยอมรับเพียงแค่เราเท่านั้น แต่ยอมรับพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย"
\s5
\p
\v 38 ยอห์นจึงทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นบางคนที่ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และพวกเราจึงห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ได้ติดตามพวกเรา"
\v 39 แต่พระเยซูตรัสว่า "อย่าห้ามเขาเลยเพราะไม่มีใครที่กระทำกิจอันยิ่งใหญ่ในนามของเราแล้วจะพูดให้ร้ายเราในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
\s5
\p
\v 40 ใครก็ตามที่ไม่ได้ขัดขวางพวกเราก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา
\v 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำดื่มถ้วยหนึ่งแก่พวกท่านเพราะพวกท่านอยู่ฝ่ายพระคริสต์ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่าผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จของเขาเลย
\s5
\p
\v 42 ผู้ใดก็ตามเป็นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราสักคนหนึ่งสะดุด ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นไว้แล้วโยนลงทะเลยังจะดีกว่า
\v 43 ถ้ามือของพวกท่านเป็นเหตุให้สะดุด ก็จงตัดทิ้งเสีย การจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆที่มือด้วนก็ยังดีกว่ามีสองมือ และต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ
\v 44 .
\s5
\p
\v 45 ถ้าเท้าของพวกท่านเป็นเหตุให้สะดุด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่ขาพิการก็ยังดีกว่ามีเท้าสองข้างและต้องถูกโยนลงในนรก
\v 46 .
\s5
\p
\v 47 ถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้สะดุด จงควักทิ้งเสีย การจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีสองข้างและต้องถูกโยนลงในนรก
\v 48 ที่ซึ่งหนอนไม่มีวันตายและไฟไม่มีวันดับ
\s5
\p
\v 49 เพราะว่าทุกคนจะต้องถูกคลุกเคล้าด้วยไฟอย่างกับคลุกเคล้าด้วยเกลือ
\v 50 เกลือเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าเกลือหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับมาเค็มอีกได้อย่างไร? พวกท่านจงมีเกลืออยู่ในตัวและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข"
\s5
\c 10
\p
\v 1 พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่นและเสด็จไปยังแคว้นยูเดีย และข้ามไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และก็มีฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีก พระองค์ทรงสอนพวกเขาอีกตามที่พระองค์เคยสอน
\v 2 แล้วพวกฟาริสีก็เข้ามาหยั่งเชิงพระองค์ว่า "ตามบัญญัติแล้วพวกผู้ชายหย่าภรรยาได้หรือไม่?"
\v 3 พระองค์ตรัสตอบว่า "แล้วโมเสสได้สั่งพวกท่านว่าอย่างไร?"
\v 4 พวกเขากล่าวว่า "โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่าภรรยาและปล่อยเธอไปได้"
\s5
\p
\v 5 "เป็นเพราะใจของพวกท่านแข็งกระด้าง ทำให้เขาต้องเขียนบัญญัตินี้ให้พวกท่าน" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า
\v 6 "แต่เริ่มแรกในการทรงสร้างนั้น 'พระเจ้าทรงสร้างพวกเขาเป็นผู้ชายและผู้หญิง'
\s5
\p
\v 7 'เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา
\v 8 และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน' ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่งเดียว
\v 9 ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้มนุษย์แยกออกจากกันเลย"
\s5
\p
\v 10 เมื่อพวกเขาอยู่ในบ้าน เหล่าสาวกก็มาทูลถามพระเยซูอีกในเรื่องนี้อีก
\v 11 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ผู้ใดหย่าภรรยาของเขาแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่น ก็ล่วงประเวณีต่อเธอ
\v 12 ถ้าผู้หญิงหย่าสามีของเธอ แล้วไปแต่งงานกับชายอื่น เธอก็ล่วงประเวณี"
\s5
\p
\v 13 แล้วพวกเขาก็พาพวกเด็กเล็กๆ มาหาพระองค์เพื่อให้พระองค์วางมือบนพวกเขา แต่เหล่าสาวกก็ตำหนิพวกเขา
\v 14 แต่เมื่อพระเยซูทรงสังเกตเห็น พระองค์ทรงไม่พอพระทัยมาก และตรัสกับพวกเขาว่า "จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางพวกเขาเลย เพราะราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้
\s5
\p
\v 15 เราบอกท่านตามจริงว่า ถ้าใครไม่รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะเข้าในนั้นไม่ได้"
\v 16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กๆ ขึ้นมา ทรงวางมือบนพวกเขาและอวยพร
\s5
\p
\v 17 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มออกเดินทาง ชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ และทูลถามว่า "ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?"
\v 18 พระเยซูตรัสว่า "ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครอื่นที่ประเสริฐ
\v 19 ท่านก็รู้พระบัญญัติที่บอกว่า 'อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน'"
\s5
\p
\v 20 ชายคนนั้นทูลว่า "ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก"
\v 21 พระเยซูทรงมองมาที่เขาและทรงรักเขา พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง ให้ท่านไปขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่านที่มีและเอาไปแจกคนยากจนแล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา"
\v 22 แต่เพราะคำกล่าวนี้เขาจึงดูโศกเศร้ามาก แล้วเขาก็จากไปด้วยความทุกข์เพราะเขามีสมบัติมากมาย
\s5
\p
\v 23 พระเยซูทรงมองไปรอบๆ และตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ยากนักที่คนรวยจะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า"
\v 24 เหล่าสาวกแปลกใจในคำตรัสของพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกว่า "ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนักที่จะเข้าราชอาณาจักรของพระเจ้า
\v 25 ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีที่จะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า"
\s5
\p
\v 26 พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจและพูดกันว่า "ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?"
\v 27 พระเยซูทรงมองมาที่พวกเขา และตรัสว่า "สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้"
\v 28 เปโตรก็เริ่มทูลพระองค์ว่า "ดูสิ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งทุกสิ่งแล้วติดตามพระองค์"
\s5
\p
\v 29 พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูกๆ หรือที่ดินเพื่อเรา และเพื่อข่าวประเสริฐ
\v 30 เขาจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ ไม่ว่าบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกๆ ที่ดิน รวมทั้งการข่มเหง และในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์
\v 31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับไปเป็นคนสุดท้ายและคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนต้น"
\s5
\p
\v 32 พวกเขาก็ออกเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงล่วงหน้าไปก่อนพวกเขา เหล่าสาวกต่างก็ประหลาดใจ พวกที่ตามมาข้างหลังก็รู้สึกหวาดกลัว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออกมาและทรงบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์อีกไม่นานว่า
\v 33 "ดูเถิด พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์ก็จะถูกมอบไว้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ พวกเขาจะกล่าวโทษพระองค์ให้ถึงตาย และมอบพระองค์ไว้ให้คนต่างชาติ
\v 34 พวกเขาจะเยาะเย้ยพระองค์ ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเฆี่ยนตีพระองค์ และประหารพระองค์ หลังจากนั้นสามวัน พระองค์ก็จะเป็นขึ้นจากตาย"
\s5
\p
\v 35 ยากอบและยอห์น บุตรชายของเศเบดี ได้มาหาพระองค์และทูลว่า "พระอาจารย์ ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาให้พระองค์กระทำตามคำขอของข้าพระองค์"
\v 36 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า พวกท่านอยากให้เราทำอะไรให้?"
\v 37 พวกเขาทูลว่า "ขอให้พวกเราได้นั่งข้างพระองค์เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติสิริ คนหนึ่งนั่งข้างขวา และอีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์"
\s5
\p
\v 38 แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "พวกท่านไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังขออะไรอยู่ พวกท่านดื่มถ้วยที่เราจะดื่มได้ไหม หรือทนรับบัพติศมาที่เราจะรับได้ไหม?"
\v 39 พวกเขาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์รับได้" แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านจะได้ดื่มถ้วยที่เราจะดื่ม พวกท่านจะรับบัพติศมาที่เราจะรับ
\v 40 แต่ไม่ใช่เราที่จะจัดให้ใครนั่งซ้ายมือหรือขวามือของเรา แต่ที่ตรงนั้นเป็นของผู้ที่ทรงเตรียมไว้แล้ว"
\s5
\p
\v 41 เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็เริ่มไม่พอใจยากอบและยอห์น
\v 42 พระเยซูทรงเรียกพวกเขามาและตรัสว่า "ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าบุคคลที่ถือกันว่าเป็นผู้ปกครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือพวกเขา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา
\s5
\p
\v 43 แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นท่ามกลางพวกท่าน ใครที่อยากเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกท่าน ผู้นั้นต้องรับใช้ท่านทั้งหลาย
\v 44 และใครที่อยากเป็นที่หนึ่งท่ามกลางพวกท่าน ผู้นั้นต้องเป็นทาสของคนทั้งปวง
\v 45 เพราะว่าบุตรของมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติ และประทานชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก"
\s5
\p
\v 46 พวกเขามายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์ทรงออกจากเมืองเยรีโคพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์และฝูงชนมากมาย มีขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส บุตรทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ริมถนน
\v 47 เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา เขาก็ร้องตะโกนขึ้นว่า "เยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด"
\v 48 หลายคนตำหนิชายตาบอดและบอกให้เขาเงียบ แต่เขากลับร้องเสียงดังกว่าเดิมว่า "บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด"
\s5
\p
\v 49 พระเยซูทรงหยุดแล้วตรัสสั่งให้เรียกเขามา พวกเขาก็เรียกชายตาบอดนั้นกล่าวว่า "จงกล้าหาญ ลุกขึ้น พระองค์กำลังเรียกเจ้า"
\v 50 เขาก็ทิ้งเสื้อคลุมของเขา รีบลุกขึ้น และมาหาพระเยซู
\s5
\p
\v 51 พระเยซูทรงถามเขาและตรัสว่า "ท่านต้องการให้เราทำอะไรให้?" ชายตาบอดทูลว่า "รับบี ข้าพระองค์อยากมองเห็น"
\v 52 และพระเยซูตรัสตอบเขาและตรัสว่า "ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายแล้ว" ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไปตามทาง
\s5
\c 11
\p
\v 1 ขณะที่พวกเขามายังกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาอยู่ใกล้หมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานี ที่ภูเขามะกอกเทศพระเยซูได้ส่งสาวกสองคนของพระองค์ไป
\v 2 และตรัสกับพวกเขาว่า "จงเข้าไปในหมู่บ้านตรงข้ามพวกเรา ทันทีที่พวกท่านเข้าไป พวกท่านจะพบลูกลาที่ยังไม่มีใครเคยขี่มาก่อนผูกอยู่ จงแก้เชือกและจูงมาที่นี่
\v 3 ถ้ามีใครถามพวกท่านว่า 'ทำไมพวกท่านทำเช่นนี้?' พวกท่านจงบอกว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการลูกลานี้และจะรีบส่งคืนมาที่นี่โดยเร็ว"'
\s5
\p
\v 4 พวกเขาก็ไปและพบลูกลาผูกอยู่ที่ประตูด้านนอกถนน และพวกเขาก็แก้เชือก
\v 5 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านกำลังทำอะไร แก้เชือกลูกลานั้นทำไม?"
\v 6 พวกเขาจึงพูดตามที่พระเยซูทรงสั่ง พวกเขาไว้ และคนพวกนั้นจึงยอมให้พวกเขาเอาไป
\s5
\p
\v 7 สาวกทั้งสองคนนำเอาลูกลามาให้พระเยซู และพวกเขาเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาให้พระองค์ประทับ
\v 8 ผู้คนเป็นอันมากได้เอาเสื้อคลุมปูบนทางและบางคนก็ตัดกิ่งไม้สดจากท้องทุ่งมาปู
\v 9 ผู้คนที่เดินนำหน้าพระองค์และเดินติดตามมานั้นต่างโห่ร้องว่า "โฮซันนา สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
\v 10 ขอให้ราชอาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่จะมานี้ จงเจริญ โฮซันนาในที่สูงสุด"
\s5
\p
\v 11 แล้วพระเยซูเสด็จเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มและไปยังพระวิหาร แล้วมองดูทุกสิ่งไปรอบๆ เนื่องจากใกล้ค่ำแล้วจึงทรงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับสาวกทั้งสิบสองคน
\v 12 ในวันรุ่งขึ้นเมื่อพวกเขากลับมาจากหมู่บ้านเบธานี พระองค์ทรงหิว
\s5
\p
\v 13 ทรงมองเห็นต้นมะเดื่อมีใบดกแต่ไกล พระองค์ก็เสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ และเมื่อพระองค์ทรงพบว่ามีแต่ใบไม่มีผลเพราะยังไม่ถึงฤดูออกผล
\v 14 พระองค์จึงตรัสแก่ต้นมะเดื่อนั้นว่า "จะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีกเลย" และเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ยินสิ่งที่พระองค์ตรัสสั่งนั้น
\s5
\p
\v 15 พวกเขามาถึงกรุงเยรูซาเล็มและพระองค์ได้เข้าไปยังพระวิหาร และทรงขับไล่ผู้คนที่มาซื้อขายของในพระวิหาร พระองค์ทรงคว่ำโต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของบรรดาคนขายนกพิราบ
\v 16 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครนำเอาสิ่งของที่จะขายได้ออกไปจากพระวิหารเพื่อนำไปขาย
\s5
\p
\v 17 พระองค์ทรงสอนพวกเขาและตรัสว่า "มีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า 'นิเวศของเราจะได้ชื่อว่า นิเวศแห่งการอธิษฐานสำหรับบรรดาประชาชาติทั้งหลาย'? แต่พวกท่านมาทำเป็นซ่องโจร"
\v 18 บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินในสิ่งที่พระองค์ตรัส และพวกเขามองหาช่องทางที่จะฆ่าพระองค์เนื่องจากพวกเขากลัวพระองค์ เพราะประชาชนทั้งปวงเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์
\v 19 เมื่อถึงเวลาเย็นพวกเขาก็ออกจากกรุงไป
\s5
\p
\v 20 ในเวลาเช้าขณะมาตามทาง พวกเขาเห็นต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก
\v 21 เปโตรนึกขึ้นได้และทูลว่า "รับบี ดูสิ มะเดื่อที่ทรงสาปเหี่ยวเฉาไปแล้ว"
\s5
\p
\v 22 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า"จงมีความเชื่อในพระเจ้า
\v 23 เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่าหากผู้ใดสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงทิ้งตัวลงทะเลไป’ และเขาไม่มีความสงสัยในใจของเขาเลย แต่มีความเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดจะเกิดขึ้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำ
\s5
\p
\v 24 ด้วยเหตุนี้เราบอกแก่ท่านทั้งหลายทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานทูลขอนั้น จงขอด้วยความเชื่อว่าพวกท่านจะได้รับ และสิ่งนั้นจะเป็นของพวกท่าน
\v 25 เมื่อท่านยืนอธิษฐาน จงให้อภัยคนที่พวกท่านไม่พอใจ เพื่อว่าพระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยบาปของพวกท่าน”
\v 26 .
\s5
\p
\v 27 พวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง ขณะที่พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และเหล่าพวกผู้อาวุโสได้มาหาพระองค์
\v 28 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยอาศัยสิทธิอำนาจใด และใครให้สิทธิอำนาจท่านทำสิ่งเหล่านั้น?"
\s5
\p
\v 29 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราขอถามคำถามพวกท่านสักข้อหนึ่ง จงตอบมาแล้วเราจะบอกว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้
\v 30 บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์? จงบอกเรามา"
\s5
\p
\v 31 พวกเขาได้ถกเถียงหารือกันและพูดว่า "ถ้าพวกเราตอบว่า 'มาจากสวรรค์' พระองค์จะตรัสว่า 'ทำไมพวกท่านไม่เชื่อเขา?'
\v 32 แต่ถ้าพวกเราบอกว่า 'มาจากมนุษย์'..." พวกเขากลัวประชาชนเพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ
\v 33 แล้วพวกเขาจึงทูลพระเยซูว่า "พวกเราไม่ทราบ" ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า "เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้"
\s5
\c 12
\p
\v 1 แล้วพระเยซูทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาด้วยคำอุปมา พระองค์ตรัสว่า "มีชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่น เขาสร้างรั้วล้อมรอบ และขุดบ่อเพื่อย่ำองุ่น เขาสร้างหอคอยสังเกตการณ์ไว้ แล้วจึงให้คนสวนเช่าสวนองุ่นนี้ จากนั้นเขาจึงออกเดินทางไปต่างแดน
\v 2 เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เขาได้ส่งคนรับใช้มาหาผู้เช่าเพื่อรับส่วนแบ่งของผลผลิตจากสวนองุ่น
\v 3 แต่คนสวนจับเขา ทุบตีเขา และส่งเขากลับไปโดยไม่ให้สิ่งใดแก่เขาเลย
\s5
\p
\v 4 ชายคนนั้นจึงส่งคนรับใช้อีกคนหนึ่งไปอีกครั้ง และพวกเขาก็ทุบตีศีรษะของคนรับใช้นั้นและปฏิบัติต่อเขาอย่างน่าอับอาย
\v 5 เจ้าของยังส่งอีกคนหนึ่งมา พวกเขาก็ฆ่าคนนั้นเสีย เจ้าของส่งคนอื่นๆ มาอีกหลายคน บางคนก็ถูกทุบตี บางคนก็ถูกฆ่า
\s5
\p
\v 6 ชายคนนั้นยังมีอีกคนหนึ่งที่จะส่งไปหาพวกเขา คือ บุตรชายของเขา ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่เขาส่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น ชายคนนั้นพูดว่า 'พวกเขาจะต้องให้เคารพบุตรชายของเรา'
\v 7 แต่พวกผู้เช่าพูดกันว่า 'นี่ไงทายาท ให้พวกเราฆ่าเขาแล้วมรดกจะตกเป็นของพวกเรา'
\s5
\p
\v 8 พวกนั้นจึงจับเขา ฆ่าเขา แล้วโยนออกมานอกสวนองุ่น
\v 9 เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว เจ้าของสวนจะทำอย่างไร? เขาจะมาและทำลายคนเช่าสวนเหล่านั้น และมอบสวนองุ่นให้กับคนอื่นแทน
\s5
\p
\v 10 พวกท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือ?ที่ว่า 'ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้วบัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก
\v 11 สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อในสายตาของพวกเรา"'
\v 12 พวกเขาเสาะหาทางที่จะจับกุมตัวพระเยซู แต่ว่าเขากลัวฝูงชน เพราะพวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสคำอุปมานั้นเพื่อต่อต้านพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงละพระองค์และจากไป
\s5
\p
\v 13 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งพวกฟาริสีบางคนและคนของเฮโรดมาที่พระองค์ เพื่อจับผิดถ้อยคำของพระองค์
\v 14 เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "ท่านอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านไม่ได้เห็นแก่ความคิดเห็นของใคร และท่านก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าฝ่ายใดเลย ท่านสอนทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง การเสียภาษีให้กับซีซาร์นั้นถูกต้องตามกฎบัญญัติหรือไม่? พวกเราควรเสียภาษีหรือไม่?"
\v 15 แต่พระเยซูรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของพวกเขา และพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านถึงมาทดสอบเรา? จงเอาเหรียญเดนาริอันมาให้เราดูสักหนึ่งเหรียญ"
\s5
\p
\v 16 พวกเขาจึงนำเหรียญมาให้พระเยซูเหรียญหนึ่ง พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "บนเหรียญนี้จารึกชื่อและภาพเหมือนของใคร?" พวกเขาตอบว่า "ของซีซาร์"
\v 17 พระเยซูจึงตรัสว่า "จงให้แก่ซีซาร์ในสิ่งที่เป็นของซีซาร์ และจงถวายแด่พระเจ้าในสิ่งที่เป็นของพระเจ้า" พวกเขาต่างประหลาดใจในพระองค์
\s5
\p
\v 18 แล้วพวกสะดูสี คือพวกที่กล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้้นจากความตายก็ได้มาหาพระองค์ พวกเขาถามพระองค์ว่า
\v 19 "ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนถ้อยคำเอาไว้ให้กับพวกเราว่า 'ถ้าหากพี่ชายของผู้ชายเสียชีวิตและได้ทิ้งภรรยาเอาไว้โดยที่ไม่มีบุตร ให้น้องชายรับพี่สะใภ้เป็นภรรยา เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชาย'
\s5
\p
\v 20 มีพี่น้องอยู่เจ็ดคน พี่ชายคนแรกมีภรรยาแล้วตายโดยไม่มีบุตร
\v 21 น้องคนที่สองจึงรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ตายโดยยังไม่มีบุตร และน้องคนที่สามก็รับไว้เหมือนกัน แต่ก็ตายโดยไม่มีบุตร
\v 22 ไม่มีพี่น้องสักคนในเจ็ดคนนี้ที่มีบุตร ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย
\v 23 ในการเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อพวกเขาทุกคนเป็นขึ้นมา ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใคร? เพราะทั้งเจ็ดคนก็ได้ผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของพวกเขาทุกคน"
\s5
\p
\v 24 พระเยซูตรัสว่า "นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกท่านผิดพลาดไม่ใช่หรือ เพราะพวกท่านไม่รู้พระคัมภีร์และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้า?
\v 25 เพราะเมื่อพวกเขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกเขาจะไม่มีการสมรสหรือถูกยกให้เป็นคู่สมรสกัน แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนบรรดาทูตในฟ้าสวรรค์
\s5
\p
\v 26 แต่เกี่ยวกับเรื่องคนตายที่ถูกทำให้เป็นขึ้นมานั้น ท่านไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสที่บันทึกเอาไว้เรื่องพุ่มไม้ที่พระเจ้าทรงตรัสกับเขาว่า 'เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ' หรือ?
\v 27 พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น พวกท่านผิดมากแล้ว
\s5
\p
\v 28 หนึ่งในพวกธรรมาจารย์มาถึงและได้ยินการพูดคุยกันของพวกเขา เขาเห็นว่าพระเยซูตอบคำถามของคนเหล่านั้นได้ดี เขาจึงถามพระองค์ว่า "พระบัญญัติข้อไหนสำคัญมากที่สุด?"
\v 29 พระเยซูตรัสว่า "ข้อที่สำคัญที่สุดคือ 'โอ อิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว
\v 30 ท่านต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านด้วยสิ้นสุดใจ ด้วยสิ้นสุดจิต ด้วยสิ้นสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลัง'
\v 31 พระบัญญัติข้อที่สองคือ 'ท่านต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง' ไม่มีพระบัญญัติใดที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว"
\s5
\p
\v 32 ธรรมาจารย์คนนั้นพูดว่า "ดีจริง ท่านอาจารย์ ท่านกล่าวความจริงว่าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวและไม่มีพระเจ้าองค์อื่นนอกจากพระองค์
\v 33 การที่จะรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ด้วยสุดความเข้าใจ และด้วยสิ้นสุดกำลัง และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองนั้นก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาทั้งสิ้น"
\v 34 เมื่อพระเยซูเห็นว่าเขาให้คำตอบที่ชาญฉลาด พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ท่านไม่ได้อยู่ห่างไกลจากราชอาณาจักรของพระเจ้าเลย" หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดกล้าถามคำถามใดๆ ต่อพระเยซูอีก
\s5
\p
\v 35 ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนในลานพระวิหาร พระองค์ตรัสว่า "ที่พวกธรรมาจารย์ว่าพระคริสต์เป็นบุตรของดาวิดนั้นเป็นได้อย่างไร?
\v 36 ในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ดาวิดกล่าวเองว่า 'พระเจ้าจอมเจ้านายตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งที่ข้างขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า"'
\v 37 แม้แต่ดาวิดเองยังเรียกพระองค์ว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า' แล้วพระคริสต์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?" ฝูงชนกลุ่มใหญ่ต่างฟังพระองค์ด้วยความยินดี
\s5
\p
\v 38 ขณะที่พระเยซูทรงสอน พระองค์ตรัสว่า "จงระวังพวกธรรมาจารย์ เขาชอบสวมเสื้อชุดยาวเดินไปมา ชอบให้ผู้คนมาคำนับทักทายในย่านตลาด
\v 39 และพวกเขาชอบนั่งในที่สำคัญที่สุดในธรรมศาลาและที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง
\v 40 เขาริบเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานยืดยาวให้คนเห็น คนเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด"
\s5
\p
\v 41 แล้วพระเยซูทรงประทับอยู่ใกล้กับบริเวณที่วางตู้ถวายในพระวิหาร พระองค์ทรงมองดูผู้คนในขณะที่พวกเขาใส่เงินลงไปในตู้ถวาย คนรวยหลายคนใส่เงินจำนวนมาก
\v 42 มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณหนึ่งเพนนีมาใส่ไว้
\s5
\p
\v 43 พระองค์จึงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มา และตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น
\v 44 เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด"
\s5
\c 13
\p
\v 1 ในขณะที่พระเยซูเสด็จออกมาจากพระวิหาร คนหนึ่งในเหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ดูสิ พระอาจารย์ ก้อนหินและอาคารเหล่านี้ช่างสวยงามยิ่งใหญ่จริงๆ"
\v 2 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านเห็นอาคารที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ไหม? จะไม่มีหินสักก้อนหนึ่งที่ซ้อนทับกันอยู่นี้จะไม่ถูกทำลายลง"
\s5
\p
\v 3 ขณะที่พระองค์ประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์นและอันดรูว์ ได้ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า
\v 4 "ขอทรงบอกพวกเราว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่า เมื่อไรสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น?"
\s5
\p
\v 5 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงระวัง เพื่อที่จะไม่มีใครนำพวกท่านให้หลงไป
\v 6 คนเป็นอันมากจะมาในนามของเราและบอกว่า 'เราคือผู้นั้น' และพวกเขาจะนำคนเป็นอันมากให้หลงไป
\s5
\p
\v 7 เมื่อพวกท่านได้ยินเกี่ยวกับสงครามหรือข่าวลือเรื่องสงคราม จงอย่ากังวล เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น แต่จุดจบยังไม่มาถึง
\v 8 เพราะประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้กับประชาชาติ และอาณาจักรจะต่อสู้กับอาณาจักร จะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ และการกันดารอาหาร เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์ยากลำบาก
\s5
\p
\v 9 จงระวังตัวพวกท่านให้ดี พวกเขาจะมอบพวกท่านไว้ที่สภา และพวกท่านจะถูกเฆี่ยนตีในธรรมศาลา พวกท่านจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพื่อที่จะเป็นพยานต่อพวกเขาเพราะเห็นแก่เรา
\v 10 แต่ข่าวประเสริฐจำเป็นต้องถูกประกาศออกไปถึงชนทุกชาติก่อน
\s5
\p
\v 11 เมื่อพวกเขาจับกุมพวกท่านและมอบตัวพวกท่านไว้ จงอย่ากังวลว่าพวกท่านจะพูดอะไรดี เพราะในชั่วโมงนั้น จงพูดไปตามถ้อยคำที่ประทานแก่ท่านในเวลานั้น เพราะไม่ใช่ตัวท่านเองที่เป็นผู้พูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์
\v 12 พี่ชายจะมอบน้องชายให้ถึงแก่ความตาย และพ่อจะมอบลูกของเขา ลูกๆ จะลุกขึ้นต่อสู้กับพ่อแม่ของพวกเขาและเป็นเหตุให้พวกเขาไปถึงความตาย
\v 13 ทุกคนจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะนามของเรา แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด
\s5
\p
\v 14 เมื่อพวกท่านเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่สมควรจะตั้ง (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเองเถิด) ให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา
\v 15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านอย่าลงมาหรือเข้าบ้านมาหยิบสิ่งใดออกไป
\v 16 และผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาก็อย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมของตน
\s5
\p
\v 17 วันเหล่านั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักสำหรับหญิงมีครรภ์หรือแม่ลูกอ่อน
\v 18 จงอธิษฐานเพื่อเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นในฤดูหนาว
\v 19 เพราะจะมีความทุกข์ยากครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ปฐมกาลเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกจนถึงเดี๋ยวนี้ และจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกเลย
\v 20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงย่นวันเหล่านั้นให้สั้นเข้ามา ก็จะไม่มีใครรอดชีวิตได้ แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง
\s5
\p
\v 21 หากมีใครมาบอกพวกท่านว่า 'ดูเถิด พระคริสต์อยู่ที่นี่' หรือ 'ดูเถิด พระองค์อยู่ที่นั่น' อย่าไปเชื่อเลย
\v 22 เพราะจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้เผยพระวจนะเท็จปรากฏขึ้น พวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อลวงผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้หากเป็นไปได้
\v 23 ฉะนั้นจงระวัง เราบอกทุกอย่างแก่พวกท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว
\s5
\p
\v 24 แต่หลังจากวันเวลาแห่งความทุกข์ยากครั้งยิ่งใหญ่เหล่านั้น ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
\v 25 ดวงดาวจะตกจากฟ้า และฤทธิ์อำนาจที่มีในสวรรค์จะสั่นสะเทือน
\v 26 จากนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆด้วยฤทธานุภาพและพระสิริอันยิ่งใหญ่
\v 27 พระองค์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มา และพระองค์จะทรงรวบรวมผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ด้วยกันจากลมทั้งสี่ จากสุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้า
\s5
\p
\v 28 จงเรียนรู้บทเรียนจากต้นมะเดื่อ เมื่อกิ่งเริ่มแตกใบอ่อน และเริ่มมีใบงอกออกมา พวกท่านจะรู้ได้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว
\v 29 เช่นเดียวกัน เมื่อพวกท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น พวกท่านก็จะรู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว
\s5
\p
\v 30 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนรุ่นนี้จะยังไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น
\v 31 ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะล่วงลับไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไป
\v 32 แต่วันนั้นหรือชั่วโมงนั้นไม่มีใครรู้ บรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ แต่พระบิดาองค์เดียวทรงรู้
\s5
\p
\v 33 จงระวัง จงตื่นตัว เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด
\v 34 ก็เหมือนชายคนหนึ่งออกจากบ้านไป เขาตั้งคนรับใช้ให้รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมายและบอกคนเฝ้าประตูให้เฝ้าระวังไว้
\s5
\p
\v 35 ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อใด อาจจะกลับมาเวลาค่ำหรือเวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งสาง
\v 36 ถ้าเขามาอย่างไม่ทันรู้ตัว ก็อย่าให้เขาพบว่าพวกท่านกำลังหลับอยู่
\v 37 เราบอกกับท่านเราก็บอกกับทุกๆ คนว่า จงเฝ้าระวัง"
\s5
\c 14
\p
\v 1 ขณะนั้นอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์กำลังหาช่องทางที่จะจับกุมพระเยซูแบบลับๆ แล้วประหารพระองค์เสีย
\v 2 พวกเขาพูดกันว่า "อย่าลงมือช่วงเทศกาลเลยมิฉะนั้นประชาชนจะก่อการจลาจล"
\s5
\p
\v 3 เมื่อพระเยซูประทับที่หมู่บ้านเบธานี ในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน ขณะที่พระองค์กำลังเอนกายที่โต๊ะอาหาร มีหญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์พร้อมด้วยขวดน้ำมันหอมนาระดาที่มีราคาแพงมาก เธอทุบขวดนั้นแล้วเทน้ำมันลงบนศีรษะของพระองค์
\v 4 แต่มีบางคนที่รู้สึกโกรธ พวกเขาจึงซุบซิบกันว่า "ทำไมถึงมาทำให้น้ำมันนี้เสียไปเปล่าๆ?
\v 5 น้ำหอมนี่น่าจะขายได้มากกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริอัน แล้วนำเงินไปช่วยเหลือคนจนก็ได้" พวกเขาจึงบ่นว่าผู้หญิงคนนั้น
\s5
\p
\v 6 แต่พระเยซูตรัสว่า "อย่ายุ่งกับเธอเลย ทำไมพวกท่านทำให้เธอยุ่งยาก? ผู้หญิงคนนี้ได้ทำสิ่งที่ดีงามเพื่อเรา
\v 7 ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับพวกท่านเสมอ และพวกท่านจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกท่านเสมอไป
\v 8 เธอได้ทำในสิ่งที่เธอทำได้ เธอมาชโลมกายของเราล่วงหน้าก่อนที่จะมีการฝังศพของเรา
\v 9 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐจะเผยแผ่ไปที่ใดๆ ทั่วโลก สิ่งที่หญิงผู้นี้ได้กระทำจะถูกเล่าขานไปเพื่อเป็นที่ระลึกถึงเธอ"
\s5
\p
\v 10 แล้วยูดาส อิสคาริโอท หนึ่งในสาวกสิบสองคน ได้ออกไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิต เพื่อจะมอบพระองค์ให้คนเหล่านั้น
\v 11 เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตได้ยินดังนั้นก็ดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่เขา เขาจึงเริ่มมองหาโอกาสที่จะจับพระองค์ส่งให้พวกเขา
\s5
\p
\v 12 ในวันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อพวกเขาถวายลูกแกะปัสกาเป็นเครื่องบูชา เหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "พระองค์ต้องการให้พวกเราจัดเตรียมอาหารเพื่อรับประทานปัสกาที่ไหน?"
\v 13 พระองค์ทรงส่งสาวกสองคนของพระองค์ออกไปและตัดกับพวกเขาว่า "จงเข้าไปในเมือง จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบพวกท่าน จงตามคนนั้นไป
\v 14 เมื่อเขาเข้าไปในบ้านหลังใด จงตามเขาเข้าไปแล้วถามเจ้าของบ้านหลังนั้นว่า 'พระอาจารย์ตรัสว่า "ห้องรับรองแขกซึ่งเราจะใช้เป็นที่รับประทานปัสกากับเหล่าสาวกของเรานั้นอยู่ที่ไหน?"'
\s5
\p
\v 15 เขาจะพาไปดูห้องใหญ่ชั้นบนซึ่งตกแต่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จงเตรียมปัสกาให้พวกเราที่นั่น"
\v 16 สาวกทั้งสองจึงออกจากที่นั่นและเข้าไปในเมือง พวกเขาได้พบกับทุกอย่างตามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขาไว้ และพวกเขาจึงได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองปัสกา
\s5
\p
\v 17 เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับสาวกทั้งสิบสองคน
\v 18 ขณะที่พวกเขาเอนกายลงรับประทานอาหารที่โต๊ะ พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านซึ่งรับประทานอาหารกับเราจะทรยศเรา"
\v 19 พวกเขาก็เสียใจ และทูลพระองค์ทีละคนว่า "ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่ใช่ไหม?"
\s5
\p
\v 20 พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า "คือคนหนึ่งในพวกท่านสิบสองคน คนซึ่งกำลังจิ้มขนมปังในชามเดียวกันกับเรา
\v 21 เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องเป็นไปตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์ แต่วิบัติจะเกิดแก่คนซึ่งทรยศต่อบุตรมนุษย์นั้น ถ้าเขาไม่เกิดมาก็ยังจะดีกับตัวเขาเองมากกว่า"
\s5
\p
\v 22 ขณะที่พวกเขารับประทานอาหารอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังขึ้นมา ทรงอวยพรแล้วหัก พระองค์ทรงส่งให้พวกเขาแล้วตรัสว่า "จงรับไปกินเถิด นี่คือกายของเรา"
\v 23 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณและส่งให้พวกเขา แล้วพวกเขาก็รับไปดื่มทุกคน
\v 24 พระองค์ตรัสกับพวกว่า "นี่คือโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา เป็นโลหิตที่หลั่งลงเพื่อคนมากมาย
\v 25 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มจากผลแห่งเถาองุ่นนี้อีก จนกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งเราจะดื่มใหม่ในราชนอาณาจักรของพระเจ้า"
\s5
\p
\v 26 เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญบทหนึ่งแล้ว พวกเขาจึงพากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
\v 27 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านจะทิ้งเราไปกันหมด เพราะมีเขียนไว้ว่า 'เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะจะกระจัดกระจายไป'
\s5
\p
\v 28 แต่หลังจากที่เราถูกชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว เราจะล่วงหน้าพวกท่านไปยังกาลิลี"
\v 29 เปโตรทูลพระองค์ว่า "ถึงแม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์ก็จะไม่ทิ้ง"
\s5
\p
\v 30 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้ ใช่ คืนนี้ก่อนไก่ขันสองครั้ง ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง"
\v 31 แต่เปโตรทูลว่า "ถึงแม้จะต้องตายร่วมกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย" สาวกทุกคนก็สัญญาอย่างเดียวกัน
\s5
\p
\v 32 พวกเขามาถึงสถานที่ซึ่งเรียกว่า เกทเสมนี และพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "จงนั่งตรงนี้ ขณะที่เราอธิษฐาน"
\v 33 พระองค์พาเปโตร ยากอบและยอห์นไปกับพระองค์ด้วย แล้วก็เริ่มรู้สึกเศร้าใจ และเป็นทุกข์อย่างหนัก
\v 34 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "จิตใจของเรารู้สึกเศร้าหนักมากจนแทบจะตาย จงเฝ้าระวังอยู่ที่นี่"
\s5
\p
\v 35 ทรงดำเนินต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง แล้วพระเยซูทรงซบหน้าลงกับพื้น และอธิษฐานว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอให้ชั่วโมงนั้นผ่านพ้นไปจากพระองค์
\v 36 พระองค์ทูลว่า "อับบา พระบิดาเจ้าข้า ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์ ขอทรงเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพระองค์ อย่างไรก็ตามอย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์แต่ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์"
\s5
\p
\v 37 พระองค์ทรงเสด็จกลับมาและพระองค์พบว่าพวกเขากำลังนอนหลับอยู่จึงตรัสกับเปโตรว่า "ซีโมน ท่านหลับอยู่หรือ? จะคอยเฝ้าระวังอยู่สักชั่วโมงเดียวไม่ได้เชียวหรือ?
\v 38 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อว่าพวกท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง วิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลังอยู่"
\v 39 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกครั้ง และพระองค์ใช้ถ้อยคำเหมือนเดิม
\s5
\p
\v 40 เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาอีกครั้งและพระองค์พบว่าพวกเขายังหลับอยู่เพราะตาของพวกเขาหนักอึ้ง พวกเขาไม่รู้จะทูลพระองค์ว่าอย่างไร
\v 41 พระองค์เสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สามและตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านยังจะนอนหลับและพักผ่อนอยู่อีกหรือ พอได้แล้ว เวลามาถึงแล้ว ดูสิ บุตรมนุษย์กำลังถูกทรยศมอบไว้ในมือของพวกคนบาปแล้ว
\v 42 ลุกขึ้น พวกเราไปกันเถอะ ดูสิ คนซึ่งกำลังทรยศเราอยู่ใกล้แล้ว"
\s5
\p
\v 43 พระองค์พูดไม่ทันขาดคำ ยูดาสผู้เป็นหนึ่งในบรรดาสาวกสิบสองคนก็มาถึง และฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่มากับเขานั้นถือดาบและกระบองมาด้วย พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสเป็นผู้ส่งพวกเขามา
\v 44 ส่วนผู้ที่ทรยศพระองค์ได้ตกลงเรื่องสัญญาณกับพวกเขาว่า "คนไหนที่ข้าพเจ้าจุบ ก็คือคนนั้นแหละ ให้จับกุมและควบคุมตัวเขาไป"
\v 45 เมื่อยูดาสมาถึง ในทันใดนั้น เขาก็เดินเข้ามาหาพระเยซูและพูดว่า "รับบี" แล้วเขาก็จุบพระองค์
\v 46 พวกเขาจึงเข้ามาจับพระองค์แล้วควบคุมพระองค์ไว้
\s5
\p
\v 47 แต่สาวกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในพวกเขาชักดาบของเขาออกมาแล้วฟันบ่าวของมหาปุโรหิตถูกหูของเขาขาด
\v 48 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านออกมาจับเราอย่างพร้อมด้วยดาบและกระบอง เหมือนตามจับโจรอย่างนั้นหรือ?
\v 49 เมื่อเราอยู่กับพวกท่านทุกวันและเราสั่งสอนอยู่ในพระวิหารก็ไม่เห็นมีใครมาจับเรา แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้"
\v 50 ทุกคนที่อยู่กับพระเยซูได้ละทิ้งพระองค์และวิ่งหนีไปกันหมด
\s5
\p
\v 51 ชายหนุ่มคนหนึ่งมีแต่ผ้าลินินห่มกายได้ติดตามพระเยซูไป เมื่อคนเหล่านั้นจับกุมเขา
\v 52 เขาก็สลัดผ้าลินินทิ้งแล้วหนีไปทั้งๆ ที่เปลือยกาย
\s5
\p
\v 53 พวกเขานำพระเยซูมาพบมหาปุโรหิต ขณะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสมาชุมนุมกันอยู่
\v 54 ขณะที่เปโตรได้ตามพระองค์มาห่างๆ จนถึงบริเวณลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาก็เข้าไปนั่งอยู่ท่ามกลางพวกยาม ซึ่งอยู่ใกล้กับกองไฟและผิงไฟอยู่
\s5
\p
\v 55 ขณะที่พวกหัวหน้าปุโรหิต และสมาชิกสภายิวทั้งหมดพยายามหาพยานมาปรักปรำพระเยซู เพื่อหาเหตุที่จะประหารพระองค์ แต่ก็ไม่สามารถหาได้
\v 56 มีหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขาไม่สอดคล้องกัน
\s5
\p
\v 57 มีบางคนยืนขึ้นเป็นพยานเท็จกล่าวหาพระองค์ว่า
\v 58 "พวกเราได้ยินเขากล่าวว่า 'เราจะทำลายวิหารนี้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ แล้วในสามวันจะสร้างอีกวิหารหนึ่งขึ้นซึ่งไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์'"
\v 59 ถึงกระนั้นคำพยานของพวกเขาก็ขัดกันเอง
\s5
\p
\v 60 มหาปุโรหิตได้ยืนขึ้นท่ามกลางพวกเขาและถามพระเยซูว่า "ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ? ท่านจะว่าอย่างไรกับข้อกล่าวหาของพยานเหล่านี้?"
\v 61 แต่พระองค์ทรงนิ่งเงียบ และไม่ตรัสตอบอะไรเลย มหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกครั้งว่า "ท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรขององค์ผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญหรือ?"
\v 62 พระเยซูตรัสว่า "เราเป็น และท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงฤทธิ์และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์"
\s5
\p
\v 63 มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนและพูดว่า "เรายังจะต้องการพยานอีกหรือ?
\v 64 ท่านทั้งหลายได้ยินคำหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว พวกท่านจะตัดสินอย่างไร?" พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องกันว่าพระองค์ควรรับโทษถึงตาย
\v 65 บางคนก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาผ้าปิดหน้าของพระองค์แล้วชกต่อยพระองค์ และพูดว่า "ทายมาสิ" พวกเจ้าหน้าที่จึงพาพระองค์ไปและทุบตีพระองค์
\s5
\p
\v 66 ขณะที่เปโตรยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่าง สาวใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตมาทางเขา
\v 67 เธอเห็นเปโตรผิงไฟอยู่ แล้วเธอจึงจ้องมองเขาและพูดว่า "ท่านก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย"
\v 68 แต่เขาปฏิเสธว่า "ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ" จากนั้น เขาจึงออกไปยังระเบียงบ้าน
\s5
\p
\v 69 แต่สาวใช้คนนั้นเห็นเขาที่นั่นก็พูดกับคนที่ยืนอยู่แถวนั้นอีกว่า "คนนี้ก็เป็นคนหนึ่งในพวกนั้น"
\v 70 แต่เขาปฏิเสธอีก หลังจากนั้นไม่นานคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็พูดกับเปโตรอีกว่า "ใช่แน่ๆ เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นเพราะเจ้าเป็นชาวกาลิลี"
\s5
\p
\v 71 แต่เขาเริ่มสบถสาบานเป็นการใหญ่ว่า "ข้าไม่รู้จักคนที่พวกเจ้าพูดถึง"
\v 72 ทันใดนั้นไก่ก็ขันอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วเปโตรจึงนึกถึงถ้อยคำที่พระเยซูตรัสกับเขาไว้ว่า "ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง
\s5
\c 15
\p
\v 1 พอรุ่งเช้า พวกหัวหน้าปุโรหิตได้ประชุมร่วมกับพวกผู้อาวุโส พวกธรรมาจารย์และสมาชิกสภายิวทั้งหมด จากนั้นพวกเขามัดพระเยซูและพาพระองค์ออกไป พวกเขามอบพระองค์ให้กับปีลาต
\v 2 ปีลาตถามพระองค์ว่า "ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?" พระองค์ตอบเขาว่า "ท่านพูดเองแล้วนี่"
\v 3 พวกหัวหน้าปุโรหิตจึงฟ้องพระองค์หลายข้อหาด้วยกัน
\s5
\p
\v 4 ปีลาตถามพระองค์อีกว่า "ท่านจะไม่ตอบเลยหรือ? เห็นไหมว่าพวกเขาฟ้องร้องท่านตั้งหลายข้อหา"
\v 5 แต่พระเยซูก็ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้นกับปีลาต ทำให้เขาประหลาดใจมาก
\s5
\p
\v 6 ขณะนั้นเป็นเทศกาลเลี้ยง โดยปกติแล้วพวกเขาสามารถขอให้ปีลาตปล่อยตัวนักโทษได้หนึ่งคน
\v 7 มีชายคนหนึ่งชื่อบารับบัส ถูกจำคุกพร้อมกับพวกกบฏที่ฆ่าคนตายระหว่างก่อความไม่สงบ
\v 8 ฝูงชนเข้ามาหาปีลาต และขอให้เขาทำตามที่เคยปฏิบัติเสมอมา
\s5
\p
\v 9 ปีลาตถามพวกเขาว่า "พวกท่านต้องการให้เราปล่อยตัวกษัตริย์ของชาวยิวให้พวกท่านหรือ?"
\v 10 เพราะเขารู้ว่าพวกหัวหน้าปุโรหิตจับพระเยซูมามอบแก่เขาเพราะอิจฉา
\v 11 แต่พวกหัวหน้าปุโรหิตกลับปลุกปั่นฝูงชนให้ร้องตะโกนเพื่อให้ปล่อยบารับบัสแทน
\s5
\p
\v 12 ปีลาตถามพวกเขาอีกครั้งว่า "แล้วจะให้เราทำอย่างไรกับคนที่พวกท่านเรียกกันว่ากษัตริย์ของชาวยิว?"
\v 13 พวกเขาร้องตะโกนอีกว่า "ตรึงเขาที่กางเขน"
\s5
\p
\v 14 ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า "เขาทำผิดอะไร?" แต่พวกเขายิ่งตะโกนเสียงดังขึ้นซ้ำๆ ว่า "ตรึงเขาที่กางเขน"
\v 15 ปีลาตต้องการที่จะเอาใจฝูงชน ดังนั้นเขาจึงได้ปล่อยบารับบัสให้กับพวกเขาไป เขาจึงเฆี่ยนพระเยซูแล้วส่งพระองค์ไปตรึงกางเขน
\s5
\p
\v 16 พวกทหารก็พาพระองค์เข้าไปในลานชั้นใน (กองบัญชาการทหาร) และพวกเขาเรียกทหารที่ประจำการทั้งหมดเข้ามารวมกัน
\v 17 พวกเขาเอาเสื้อคลุมสีม่วงสวมให้กับพระเยซู และพวกเขาเอาหนามมาสานเป็นมงกุฏสวมให้กับพระองค์
\v 18 พวกเขาเริ่มคำนับพระองค์และพูดว่า "กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ"
\s5
\p
\v 19 พวกเขาใช้ไม้อ้อตีศีรษะของพระองค์และถ่มน้ำลายรดพระองค์ พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ เพื่อแสร้งนมัสการพระองค์
\v 20 เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมสีม่วงนั้นออก แล้วเอาเสื้อผ้าของพระองค์มาสวมให้แทน และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน
\v 21 มีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน เดินทางมาจากนอกเมือง (เขาเป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส) พวกเขาจึงเกณฑ์เขาให้แบกกางเขนของพระองค์
\s5
\p
\v 22 พวกทหารได้นำพระเยซูมายังสถานที่แห่งหนึ่งชื่อกลโกธา (ซึ่งแปลว่า "สถานที่แห่งกระโหลกศีรษะ")
\v 23 พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับมดยอบให้พระองค์ แต่พระองค์ไม่ดื่ม
\v 24 พวกเขาก็ตรึงพระองค์ที่กางเขนและเอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน เพื่อจะรู้ว่าใครได้อะไร
\s5
\p
\v 25 เมื่อพวกเขาตรึงพระองค์นั้นเป็นเวลาสามโมงเช้า
\v 26 พวกเขาเขียนข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไว้บนป้ายว่า "กษัตริย์ของพวกยิว"
\v 27 พวกเขาเอาโจรสองคนมาตรึงพร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
\v 28 .
\s5
\p
\v 29 คนเหล่านั้นที่ผ่านมาก็ดูหมิ่นพระองค์ ส่ายหน้า พูดเยาะเย้ยพระองค์ว่า "ไงล่ะ เจ้าผู้ซึ่งจะทำลายวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน
\v 30 ช่วยตัวเองให้รอดแล้วก็ลงจากกางเขนเสียทีสิ"
\s5
\p
\v 31 ท่ามกลางพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ก็มีการเยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้
\v 32 ขอเชิญพระคริสต์กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะ พวกเราจะได้เห็นและเชื่อ" และสองคนนั้นที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย
\s5
\p
\v 33 เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง
\v 34 พอถึงบ่ายสามโมง พระเยซูก็ทรงร้องเสียงดังว่า "เอโลอี เอโลอี ลามา สะบักธานี?" ซึ่งแปลว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?"
\v 35 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินถ้อยคำของพระองค์ก็พูดว่า "ดูสิ เขากำลังร้องเรียกเอลียาห์"
\s5
\p
\v 36 มีคนบางคนวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์ดื่ม แล้วชายคนนั้นพูดว่า "ให้เรามาดูกันว่าเอลียาห์จะมาเอาเขาลงหรือเปล่า"
\v 37 แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์
\v 38 ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนจากบนลงล่าง
\s5
\p
\v 39 เมื่อนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าพระเยซูเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไร เขาจึงกล่าวว่า "แท้จริงชายผู้นี้คือพระบุตรของพระเจ้า"
\v 40 มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงเหล่านั้น มีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์ (มารดาของยากอบคนน้องและของโยเสส) และสะโลเม
\v 41 เมื่อพระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี พวกเขาเป็นผู้ที่ติดตามและปรนนิบัติพระองค์ ยังมีผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์
\s5
\p
\v 42 เมื่อถึงเวลาเย็น เนื่องจากเป็นวันเตรียมคือเป็นวันก่อนวันสะบาโต
\v 43 โยเซฟจากเมืองอริมาเธียมาถึงที่นั่น เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาที่ได้รับการเคารพนับถือ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่กำลังรอคอยราชอาณาจักรของพระเจ้า เขาเข้าไปพบปีลาตด้วยความกล้าหาญเพื่อขอพระศพของพระเยซู
\v 44 ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงเรียกนายร้อยมาถามว่าพระเยซูตายแล้วหรือ
\s5
\p
\v 45 เมื่อปีลาตรู้จากนายร้อยว่าพระเยซูตายแล้ว เขาจึงอนุญาตให้โยเซฟนำพระศพไปได้
\v 46 โยเซฟซื้อผ้าลินินมา เขานำพระศพลงมาจากกางเขน ห่อพระศพด้วยผ้าลินินและวางพระศพไว้ในอุโมงค์ที่สกัดจากหิน แล้วเขาจึงกลิ้งก้อนหินปิดทางเข้าอุโมงค์ไว้
\v 47 มารีย์ชาวมักดาราและมารีย์มารดาของโยเสสได้เห็นสถานที่ที่เขาฝังพระศพพระเยซูไว้นั้น
\s5
\c 16
\p
\v 1 เมื่อวันสะบาโตผ่านไปมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และสะโลเมซื้อเครื่องหอมมาเพื่อชโลมพระศพพระเยซู
\v 2 เวลารุ่งเช้าของวันต้นสัปดาห์ พอดวงอาทิตย์ขึ้น พวกเธอก็มาที่อุโมงค์
\s5
\p
\v 3 พวกเธอพูดกันว่า "ใครจะเป็นคนกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ให้กับพวกเรา?"
\v 4 เพราะว่าเป็นหินก้อนใหญ่มาก เมื่อพวกเธอมองขึ้นไป พวกเธอก็เห็นว่าก้อนหินนั้นก็ถูกกลิ้งออกไปแล้ว
\s5
\p
\v 5 เมื่อพวกเธอเข้าไปในอุโมงค์ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว นั่งอยู่ทางด้านขวา แล้วพวกเธอก็ตกตะลึง
\v 6 ชายหนุ่มคนนั้นบอกพวกนางว่า "อย่ามัวตะลึงอยู่เลย พวกท่านมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนซินะ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ จงดูที่ที่วางพระศพของพระองค์เถิด
\v 7 แต่จงไปบอกกับเหล่าสาวกและเปโตรว่า 'พระองค์ได้ล่วงหน้าพวกเขาไปที่กาลิลีแล้ว พวกท่านก็จะได้เห็นพระองค์ที่นั่น ตามที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านไว้แล้ว'"
\s5
\p
\v 8 พวกเธอจึงออกไปและวิ่งไปจากอุโมงค์ ทั้งกลัวจนตัวสั่นและประหลาดใจ พวกเธอไม่บอกเรื่องนี้กับใครเลยเพราะว่าพวกเธอกลัว
\s5
\p
\v 9 ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาคนแรก ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ขับผีออกเจ็ดตน
\v 10 เธอจึงไปหาและบอกกับบรรดาคนที่เคยอยู่กับพระองค์ ในขณะที่คนเหล่านี้กำลังเศร้าโศกและร่ำไห้อยู่
\v 11 เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้ว แต่พวกเขายังไม่เชื่อ
\s5
\p
\v 12 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคน เมื่อเขากำลังเดินทางออกไปนอกเมือง
\v 13 พวกเขาจึงไปและเล่าเรื่องนี้ให้เหล่าสาวกที่เหลือฟัง แต่คนเหล่านี้ก็ไม่เชื่อพวกเขา
\s5
\p
\v 14 หลังจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏกับสาวกสิบเอ็ดคน ในขณะที่พวกเขากำลังเอนกายกันอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร และพระองค์ทรงตำหนิพวกเขาเรื่องความไม่เชื่อของพวกเขาและใจที่ดื้อดึง เพราะพวกเขาไม่เชื่อคนที่ได้เห็นพระองค์หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว
\v 15 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "จงออกไปทั่วโลก และประกาศข่าวประเสริฐต่อสิ่งทรงสร้างทั้งปวง
\v 16 ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด และใครที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินโทษ
\s5
\p
\v 17 หมายสำคัญหลายประการจะเกิดขึ้นกับบรรดาผู้ที่เชื่อ คือโดยนามของเรา พวกเขาจะสามารถขับไล่วิญญาณชั่วทั้งหลาย พวกเขาจะพูดในภาษาใหม่ๆ
\v 18 พวกเขาสามารถจับงูด้วยมือเปล่า และแม้ว่าพวกเขาดื่มยาพิษก็จะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเขา พวกเขาจะวางมือบนคนป่วย แล้วคนเหล่านั้นก็จะหายดี"
\s5
\p
\v 19 หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับพวกเขา พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์และประทับนั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
\v 20 เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาในทุกๆ ที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำงานร่วมกับพวกเขา และรับรองพระดำรัสของพระองค์โดยหมายสำคัญที่เกิดขึ้นกับพวกเขา