th_ulb/09-1SA.usfm

1273 lines
359 KiB
Plaintext
Raw Permalink Blame History

This file contains ambiguous Unicode characters

This file contains Unicode characters that might be confused with other characters. If you think that this is intentional, you can safely ignore this warning. Use the Escape button to reveal them.

\id 1SA Unlocked Literal Bible
\ide UTF-8
\h 1 SAMUEL
\toc1 1 Samuel
\toc2 1 Samuel
\toc3 1sa
\mt1 1 SAMUEL
\s5
\c 1
\p
\v 1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวรามาธาอิมของเมืองศูฟของแดนเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อของเขาคือเอลคานาห์บุตรชายเยโรฮัม บุตชายของเอลีฮู บุตรชายของโทหุ บุตรชายของศูฟ คนเผ่าเอฟราอิม
\v 2 เขามีภรรยาสองคน ชื่อภรรยาคนที่หนึ่งคือฮันนาห์ และชื่อภรรยาคนที่สองคือเปนินนาห์ เปนินนาห์มีลูกหลายคน แต่ฮันนาห์ไม่มีเลย
\s5
\p
\v 3 ชายคนนี้ได้ไปจากเมืองของเขาทุกปีไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งในเมืองชิโลห์ บุตรชายสองคนของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส เป็นพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ได้อยู่ที่นั่น
\v 4 เมื่อถึงวันที่เอลคานาห์จะถวายสัตวบูชาทุกปี เขาให้ส่วนแบ่งของเนื้อแก่เปนินนาห์ภรรยาของเขา และให้แก่บรรดาบุตรชายและบุตรสาวทุกคน
\v 5 แต่เขาแบ่งให้ฮันนาห์สองส่วน เพราะเขารักฮันนาห์ แม้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงปิดครรภ์ของนางไว้
\s5
\p
\v 6 คู่แข่งของนางก็ได้ยั่วเย้านางอย่างหนักเพื่อทำให้นางหงุดหงิด เพราะเหตุที่พระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์ของนาง
\v 7 ดังนั้นปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์กับครอบครัวของนาง คู่แข่งของนางก็ยั่วเย้านางเสมอ ด้วยเหตุนี้นางจึงคุ้นเคยกับการร้องไห้และไม่กินอะไรเลย
\v 8 เอลคานาห์สามีของนางก็พูดกับนางเสมอ "ฮันนาห์ ทำไมเธอถึงร้องไห้? ทำไมเธอถึงไม่กิน? ทำไมหัวใจของเธอถึงโศกเศร้า? ฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนสำหรับเธอหรือ?"
\s5
\p
\v 9 มีครั้งหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านี้ ฮันนาห์ได้ลุกขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้เสร็จจากการกินและดื่มในชิโลห์ ในตอนนั้นเอลีปุโรหิตได้นั่งอยู่บนที่นั่งของเขาซึ่งอยู่ด้านข้างประตูทางเข้าพระวิหารของพระยาห์เวห์
\v 10 นางเจ็บปวดใจมาก นางจึงได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์และร้องไห้อย่างขมขื่น
\v 11 นางได้สาบานและได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์จอมเจ้านาย ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้รับใช้ของพระองค์และทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และไม่ทรงลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แต่ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะมอบเขาให้แด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา และจะไม่มีมีดโกนแตะศีรษะของเขาเลย"
\s5
\p
\v 12 ขณะที่นางได้อธิษฐานอย่างต่อเนื่องต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เอลีก็เฝ้ามองดูปากของนาง
\v 13 ฮันนาห์พูดในใจของนาง ริมฝีปากของนางขยับ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงคิดว่านางเมาเหล้า
\v 14 เอลีจึงพูดกับนางว่า "เธอจะเมาเหล้าไปอีกนานเท่าใด ? จงทิ้งเหล้าองุ่นของเธอไปเสีย"
\v 15 ฮันนาห์ตอบว่า "เปล่าเลยเจ้านายของดิฉัน ดิฉันคือผู้หญิงที่มีจิตใจโศกเศร้า ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเหล้า แต่ดิฉันได้เปิดใจเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 16 อย่าพิจารณาว่าคนรับใช้ของท่านเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอาย ดิฉันได้พูดออกมาด้วยความกังวลและความอัดอั้นอย่างที่สุดของดิฉัน"
\s5
\p
\v 17 แล้วเอลีจึงตอบและกล่าวว่า "จงกลับไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลโปรดประทานตามคำขอที่เจ้าได้ทูลขอจากพระองค์"
\v 18 นางตอบว่า "ขอหญิงรับใช้ของท่านได้รับความโปรดปรานจากท่านเถิด" แล้วผู้หญิงนั้นก็ไปตามทางของนางและได้กินอาหาร ใบหน้าของนางก็ไม่โศกเศร้าอีกต่อไป
\v 19 พวกเขาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และนมัสการต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และพวกเขาได้กลับไปบ้านของพวกเขาที่รามาห์ เอลคานาห์ได้หลับนอนกับฮันนาห์ภรรยาของเขา และพระยาห์เวห์ทรงระลึกถึงนาง
\s5
\p
\v 20 ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ฮันนาห์ได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่าซามูเอล กล่าวว่า "เพราะว่า ดิฉันได้ทูลขอเขามาจากพระยาห์เวห์"
\v 21 อีกครั้งหนึ่ง เอลคานาห์และทุกคนในบ้านของเขาได้กลับขึ้นไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์เป็นประจำทุกปีและแก้บนของเขา
\v 22 แต่ฮันนาห์ไม่ได้ไป นางพูดกับสามีของนางว่า "ดิฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กจะหย่านมก่อน แล้วดิฉันจะนำเขาไป เพื่อว่าเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์และอยู่ที่นั่นตลอดไป"
\s5
\p
\v 23 เอลคานาห์สามีของนางจึงบอกนางว่า "จงทำตามที่เธอเห็นว่าดีสำหรับเธอเถิด จงรออยู่จนกระทั่งเธอให้เขาหย่านม ขอเพียงพระยาห์เวห์ทรงยืนยันพระดำรัสของพระองค์เท่านั้น" ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงนั้นจึงได้อยู่และเลี้ยงดูบุตรของนางจนกระทั่งนางให้เขาหย่านม
\v 24 เมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางจึงนำเขาไปกับนาง ไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในชิโลห์ พร้อมกับวัวอายุสามปีหนึ่งตัว อาหารหนึ่งเอฟาห์ และเหล้าองุ่นหนึ่งขวด ในตอนนั้น เด็กคนนั้นยังเล็กอยู่
\v 25 พวกเขาได้ฆ่าวัว และพวกเขานำเด็กไปหาเอลี
\s5
\p
\v 26 นางกล่าวว่า "โอ เจ้านายของดิฉัน! ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ เจ้านายของดิฉัน ดิฉันคือผู้หญิงที่ได้ยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่านทูลวิงวอนต่อพระยาห์เวห์
\v 27 เพราะว่าเด็กคนนี้ที่ดิฉันได้อธิษฐานและพระยาห์เวห์ได้ประทานตามคำร้องทูลตามที่ซึ่งดิฉันได้ทูลขอเขา
\v 28 ดิฉันได้ถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ ตราบเท่าที่เขาจะมีชีวิตอยู่เขาได้ถูกนำถวายแด่พระยาห์เวห์แล้ว" แล้วเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น
\s5
\c 2
\p
\v 1 ฮันนาห์จึงอธิษฐานและกล่าวว่า “จิตใจของข้าพเจ้าปลื้มปีติในพระยาห์เวห์ เขาสัตว์ของข้าพเจ้าได้รับการยกชูขึ้นในพระยาห์เวห์ ปากของข้าพเจ้าโอ้อวดเหนือพวกศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายินดีในความรอดของพระองค์
\v 2 ไม่มีใครบริสุทธิ์ดังพระยาห์เวห์ เพราะว่าไม่มีใครเปรียบเหมือนพระองค์ ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของพวกเรา
\v 3 อย่าโอ้อวดโอหังอีกต่อไป อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของพวกเจ้า เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอบรู้ โดยพระองค์การกระทำทั้งหลายจะได้รับการประเมิน
\s5
\p
\v 4 คันธนูของพวกผู้ชายที่มีกำลังก็ถูกหัก แต่บรรดาคนที่ล้มคว่ำก็รับการเสริมกำลังดั่งสายพาน
\v 5 บรรดาคนที่เคยกินอิ่มก็ต้องออกรับจ้างหาอาหารกิน บรรดาคนเหล่านั้นที่หิวก็หยุดหิว แม้แต่คนที่เป็นหมันก็คลอดบุตรเจ็ดคน แต่ผู้หญิงที่มีบุตรมากก็อิดโรยไป
\v 6 พระยาห์เวห์ทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและทรงให้ฟื้นขึ้นมา
\v 7 พระยาห์เวห์ทรงทำให้ประชาชนบางคนยากจนและทรงทำให้บางคนมั่งคั่ง ทรงทำให้ต่ำลงและทรงยกขึ้นด้วย
\s5
\p
\v 8 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นมาจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขี้เถ้าทรงทำให้พวกเขานั่งร่วมกับพวกเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าบรรดาเสาแห่งแผ่นดินเป็นของพระยาห์เวห์และพระองค์ทรงวางโลกไว้บนเสาเหล่านั้น
\v 9 พระองค์จะทรงดูแลย่างเท้าของประชาชนที่สัตย์ซื่อของพระองค์ แต่คนชั่วร้ายจะต้องถูกทำให้เงียบในความมืด เพราะว่าไม่มีใครชนะด้วยกำลัง
\v 10 บรรดาผู้ต่อสู้พระยาห์เวห์จะถูกทำลายเป็นชิ้นๆ พระองค์จะทรงส่งเสียงกระหึ่มต่อสู้พวกเขาจากสวรรค์ พระยาห์เวห์จะทรงพิพากษาจนสุดปลายพิภพ พระองค์จะประทานกำลังแก่กษัตริย์ของพระองค์และจะทรงเสริมกำลังของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้"
\s5
\p
\v 11 แล้วเอลคานาห์ก็ได้กลับรามาห์ ไปยังบ้านของเขา ส่วนเด็กน้อยก็ได้ปรนนิบัติรับใช้พระยาห์เวห์ต่อหน้าปุโรหิตเอลี
\v 12 แล้วบุตรชายทั้งหลายของเอลีเป็นพวกผู้ชายที่ไร้ค่า พวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์
\v 13 ธรรมเนียมของพวกปุโรหิตต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีผู้ชายคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา ในขณะที่เนื้อกำลังต้มอยู่ คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามาพร้อมกับถือเหล็กสามง่ามไว้ในมือของเขา
\s5
\p
\v 14 เขาจะเอาเหล็กสามง่ามนั้นแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อต้มขนาดใหญ่ หรือหม้อ ทั้งหมดที่ติดเหล็กสามง่ามนั้นขึ้นมา ปุโรหิตก็จะเอาไว้สำหรับเขา พวกเขาทำเช่นนั้นในชิโลห์ร่วมกับคนอิสราเอลทั้งหมดที่มาที่นั่น
\v 15 ที่เลวร้ายคือ ก่อนที่พวกเขาเผาไขมันนั้น คนรับใช้ของปุโรหิตได้เข้ามา และกล่าวแก่ผู้ชายผู้ที่กำลังทำสัตวบูชาว่า “ขอเนื้อไปย่างให้ปุโรหิต เพราะว่าเขาจะไม่รับเนื้อต้มจากท่าน นอกจากเนื้อดิบเท่านั้น”
\v 16 ถ้าผู้ชายคนนั้นกล่าวแก่เขาว่า “พวกเขาต้องเผาไขมันก่อน แล้วจึงเอาไปตามที่ท่านต้องการเถิด” แล้วเขาจะตอบว่า “ไม่ได้ เจ้าจะต้องให้ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะใช้กำลังเพื่อเอาไป”
\s5
\p
\v 17 บาปของคนหนุ่มเหล่านี้ก็ใหญ่หลวงยิ่งนักเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะว่าพวกเขาได้ดูหมิ่นเครื่องถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์
\v 18 แต่ซามูเอลได้ปรนนิบัติอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เช่นเด็กคนหนึ่งที่คาดเอวด้วยผ้าลินินเอโฟด
\v 19 มารดาของเขาได้เย็บเสื้อคลุมตัวเล็กๆสำหรับเขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีของนางเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาประจำปี
\s5
\p
\v 20 เอลีได้อวยพรเอลคานาห์และภรรยาของเขาโดยกล่าวว่า “ขอพระยาห์เวห์ประทานลูกอีกหลายคนให้แก่ท่านโดยทางผู้หญิงคนนี้ เพราะว่าคนที่นางได้ทูลขอ นางได้มอบถวายให้พระยาห์เวห์แล้ว” จากนั้นพวกเขาจึงกลับไปยังบ้านของพวกเขา
\v 21 พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยเหลือฮันนาห์อีกครั้ง และนางก็ตั้งครรภ์ นางได้คลอดบุตรชายสามคนบุตรหญิงสองคน ในขณะที่เด็กชายซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 22 บัดนี้เอลีก็ชรามากแล้ว เขาได้ยินถึงทุกสิ่งที่บุตรทั้งสองของเขากำลังทำแก่คนอิสราเอลทั้งปวง กับการที่พวกเขาหลับนอนกับพวกผู้หญิงที่ปรนนิบัติตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 23 ท่านก็ได้พูดกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงทำสิ่งเหล่านั้น? เพราะเราได้ยินเรื่องการกระทำชั่วร้ายของพวกเจ้าจากประชาชนเหล่านี้"
\v 24 อย่าเลยลูกเอ๋ย ที่เราได้ยินมานั้นมันเป็นคำเล่าลือที่ไม่ดีเลย พวกเจ้าทำให้ประชากรของพระยาห์เวห์ไม่เชื่อฟัง
\v 25 "ถ้าผู้ชายคนหนึ่งทำบาปต่ออีกคนหนึ่ง พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยเขา แต่ถ้าผู้ชายคนหนึ่งได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า?” แต่พวกเขาไม่ฟังเสียงบิดาของพวกเขา เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะประหารพวกเขาแล้ว
\s5
\p
\v 26 เด็กชายซามูเอลก็เติบโตขึ้น และเป็นที่ชอบมากขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และต่อหน้าบรรดามนุษย์ด้วย
\v 27 บัดนี้คนของพระเจ้ามาหาเอลีและได้กล่าวแก่ท่านว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราไม่ได้เปิดเผยเราเองให้แก่พงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้า เมื่อพวกเขาอยู่ในอียิปต์ภายใต้พงศ์พันธุ์ของฟาโรห์หรือ?
\v 28 เราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมดให้เป็นปุโรหิตของเรา เพื่อขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา และเผาเครื่องบูชา เพื่อสวมเสื้อเอโฟดต่อหน้าเรา เราได้มอบของถวายที่ประชาชนอิสราเอลได้ถวายบูชาด้วยไฟให้แก่พงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้า
\v 29 ถ้าเช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงดูหมิ่นเครื่องบูชาและของถวายที่เราประสงค์ในสถานที่ที่เราประทับ? ทำไมเจ้าให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเราโดยทำให้ตัวของพวกเจ้าอ้วนพีด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกอย่างจากประชาชนอิสราเอลของเรา?
\s5
\p
\v 30 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้สัญญาว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของบรรรพบุรุษของเจ้าจะดำเนินต่อหน้าเราเป็นนิตย์’ แต่บัดนี้พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าเราจะให้เกียรติบรรดาผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา แต่บรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเราจะได้รับการเหยียดหยาม
\v 31 ดูเถิด วันเหล่านั้นจะมาถึงเมื่อเราจะตัดกำลังของเจ้าและกำลังของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า เพื่อจะไม่มีใครแก่ชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าอีกต่อไป
\v 32 เจ้าจะเห็นความทุกข์ร้อนในที่ประทับของเรา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ดีจะถูกมอบให้แก่อิสราเอล แต่จะไม่มีใครแก่ชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าอีกต่อไป
\s5
\p
\v 33 คนใดในพวกเจ้าที่เราไม่ได้ตัดเสียจากแท่นบูชาของเรา เราจะทำให้สายตาของพวกเจ้าพลั้งพลาดไป และเราจะทำให้เกิดความโศกเศร้าในชีวิตของพวกเจ้า ทุกคนที่เกิดในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตาย
\v 34 สิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส พวกเขาจะสิ้นชีวิตในวันเดียวกัน
\v 35 เราจะตั้งปุโรหิตที่สัตย์ซื่อขึ้นมาเพื่อเราเอง คือผู้ซึ่งจะทำตามสิ่งที่มีอยู่ในใจของเราและในจิตวิญญานของเรา เราจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ผู้ที่เราเจิมไว้ตลอดไป
\v 36 ทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมาและกราบไหว้เขา ร้องขอเศษเงินและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า “ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งหนึ่งของปุโรหิตเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้กินเศษขนมปังบ้าง”’”
\s5
\c 3
\p
\v 1 เด็กชายซามูเอลได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ภายใต้เอลี พระดำรัสของพระยาห์เวห์ในสมัยนั้นมีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตเผยพระวจนะบ่อยนัก
\v 2 ในเวลานั้น เมื่อเอลีกำลังนอนอยู่บนที่นอนของเขาเอง ตาของเขาเริ่มฝ้ามัว ท่านไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
\v 3 ดวงประทีปของพระเจ้ายังไม่ดับ และซามูเอลกำลังนอนหลับอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตรงที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
\s5
\p
\v 4 พระยาห์เวห์ทรงเรียกซามูเอล ผู้ซึ่งได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่"
\v 5 ซามูเอลได้วิ่งไปหาเอลีและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” เอลีตอบว่า “เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนเถิด” เขาก็ไปนอน ดังนั้นซามูเอลจึงกลับไปและนอนลง
\v 6 พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกอีกครั้งว่า “ซามูเอลเอ๋ย” ซามูเอลก็ลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งและไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนเถิด”
\s5
\p
\v 7 ตอนนั้นซามูเอลไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ กับพระยาห์เวห์เลย หรือยังไม่เคยมีพระดำรัสจากพระยาห์เวห์สำแดงแก่เขา
\v 8 พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกซามูเอลอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม อีกครั้งหนึ่งซามูเอลได้ลุกขึ้นไปหาเอลีและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” แล้วเอลีจึงตระหนักว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกเด็กนั้น
\v 9 แล้วเอลีจึงได้พูดกับซามูเอลว่า “จงไปและนอนเสียเถอะ ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะต้องทูลว่า ‘ขอตรัสเถิด พระยาห์เวห์เจ้าข้า เพราะผู้รับใช้ของพระองค์กำลังคอยฟังอยู่’” ดังนั้น ซามูเอลจึงกลับไปและนอนในที่ของเขาอีกครั้ง
\s5
\p
\v 10 พระยาห์เวห์ได้เสด็จมาและทรงยืนอยู่ พระองค์ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆ ว่า “ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย” แล้วซามูเอลได้ทูลตอบว่า “ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์กำลังคอยฟังอยู่”
\v 11 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล ซึ่งหูของทุกคนที่ได้ยินจะปวดแสบ
\v 12 ในวันนั้นเราจะทำต่อเอลีทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้เกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
\s5
\p
\v 13 เราได้บอกให้เขาว่าเรากำลังจะพิพากษาพงศ์พันธุ์ของเขาอีกครั้งสำหรับบาปที่เขาได้รู้เรื่องแล้ว เพราะว่าบุตรชายทั้งหลายของเขาได้นำการสาปแช่งมาเหนือพวกเขาและเอลีก็ไม่ได้หยุดยั้งพวกเขา
\v 14 เพราะว่าสิ่งนี้ เราจึงได้สาบานต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่าบาปเหล่านี้ในพงศ์พันธุ์ของเขาจะไม่ได้รับการลบล้างโดยการถวายเครื่องบูชาหรือการถวายเลย"
\v 15 ซามูเอลนอนลงจนกระทั่งถึงตอนเช้า แล้วเขาได้เปิดประตูทั้งหลายของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แต่ซามูเอลกลัวที่จะบอกเอลีเกี่ยวกับนิมิตนั้น
\s5
\p
\v 16 แล้วเอลีจึงเรียกซามูเอลมาและได้กล่าวว่า “ซามูเอล ลูกเอ๋ย” ซามูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”
\v 17 เขาได้กล่าวว่า “เรื่องอะไรที่พระองค์ได้ทรงบอกเจ้า? ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ขอพระเจ้าทรงกระทำอย่างนั้นแก่เจ้า และให้มากยิ่งกว่า ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้า"
\v 18 ซามูเอลจึงเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง เขาไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากเอลี เอลีจึงกล่าวว่า “พระองค์คือพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าดีเถิด”
\s5
\p
\v 19 ซามูเอลก็ได้เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์สถิตกับเขาและพระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ถ้อยคำเผยพระวจนะของพระองค์ตกลงสู่ดิน
\v 20 ชนอิสราเอลทั้งปวงตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบาได้รู้ว่าซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์
\v 21 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏอีกครั้งในชิโลห์ เพราะพระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลในชิโลห์โดยพระดำรัสของพระองค์
\s5
\c 4
\p
\v 1 ถ้อยคำของซามูเอลได้มาถึงคนอิสราเอลทั้งหมด บัดนี้คนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปทำสงครามกับพวกฟีลิสเตีย พวกเขาตั้งค่ายที่เอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในอาเฟก
\v 2 พวกฟีลิสเตียจัดพลรบเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล เมื่อสงครามแพร่ขยายวงออกไป อิสราเอลก็ได้พ่ายแพ้แก่พวกฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งถูกฆ่าประมาณสี่พันคนในสนามรบ
\v 3 เมื่อพวกประชาชนกลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลได้กล่าวว่า “ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงให้เราพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกฟีลิสเตียในวันนี้? ให้เราไปนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์จากเมืองชิโลห์มาที่นี่เถิด เพื่อว่าหีบพันธสัญญาจะได้อยู่กับเราที่นี่ เพื่อหีบพันธสัญญาจะช่วยเราให้ปลอดภัยจากมือของศัตรูของพวกเรา”
\s5
\p
\v 4 ดังนั้นประชาชนจึงได้ส่งผู้ชายหลายคนไปที่เมืองชิโลห์ จากที่นั่นพวกเขาได้นำหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือเครูบ บุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็ได้อยู่กับหีบพันธสัญญาของพระเจ้า
\v 5 เมื่อหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาถึงที่ค่าย ประชาชนอิสราเอลทั้งหมดก็โห่ร้องเสียงดัง จนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น
\v 6 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้อง พวกเขาจึงกล่าวว่า “เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของพวกฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน ?” แล้วพวกเขาตระหนักว่าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาที่ค่ายแล้ว
\s5
\p
\v 7 พวกฟีลิสเตียกลัว พวกเขาได้กล่าวว่า “พระเจ้าองค์หนึ่งได้เสด็จมาที่ค่ายแล้ว” พวกเขากล่าวว่า “วิบัติแก่พวกเรา! ไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย!
\v 8 วิบัติแก่พวกเรา! ใครจะช่วยกู้พวกเราจากพลังของพระผู้ทรงฤทธิ์เหล่านี้ได้? พระเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้บุกโจมตีชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติที่แตกต่างกันหลายชนิดในถิ่นทุรกันดาร
\v 9 จงกล้าหาญเถิด และจงเป็นลูกผู้ชาย พวกท่านชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย มิฉะนั้นพวกท่านจะกลายเป็นทาสของพวกฮีบรู ดังที่พวกเขาเคยเป็นทาสพวกท่าน จงเป็นลูกผู้ชายและจงต่อสู้”
\v 10 คนฟีลิสเตียจึงได้สู้รบและอิสราเอลได้พ่ายแพ้ ทุกคนหนีไปยังบ้านของเขา มีการฆ่าฟันกันหนักมาก มีทหารราบของอิสราเอลตายไปสามหมื่นคน
\v 11 และหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป และบุตรชายทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตายด้วย
\s5
\p
\v 12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งได้วิ่งมาจากแนวรบและมาถึงชิโลห์ในวันเดียวกันนั้น มาถึงด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา
\v 13 เมื่อเขามาถึง เอลีกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องหีบพันธสัญญาของพระเจ้า เมื่อผู้ชายคนนั้นได้เข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องลั่น
\v 14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องดังลั่นเช่นนั้นจึงได้กล่าวว่า “เสียงอึกทึกครึกโครมนี้เป็นเสียงอะไรกัน?” ผู้ชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี
\v 15 บัดนี้เอลีมีอายุได้เก้าสิบแปดปี ดวงตาของเขาเห็นไม่ชัด และเขาไม่สามารถมองเห็น
\s5
\p
\v 16 ผู้ชายคนนั้นก็ได้กล่าวกับเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าเองหนีมาจากการรบวันนี้” เอลีก็ได้กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย เป็นอย่างไรบ้าง?”
\v 17 ผู้ชายคนที่มาบอกข่าวก็ได้ตอบว่า “อิสราเอลได้หนีจากพวกฟีลิสเตีย เช่นเดียวกัน มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักท่ามกลางประชาชน เช่นเดียวกันบุตรชายทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตายแล้ว และหีบพระบัญญัติของพระเจ้าก็ถูกยึดไปแล้ว”
\v 18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบพระบัญญัติของพระเจ้า เอลีก็ได้หงายหลังตกจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของเขาก็หัก และเขาก็สิ้นชีวิต เพราะเขาชรามากและตัวก็หนัก เขาได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
\s5
\p
\v 19 บัดนี้บุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสก็มีครรภ์และใกล้กำหนดคลอดแล้ว เมื่อนางได้ยินข่าวว่าหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไปและพ่อสามีและสามีของนางก็ได้ตายไป นางก็ได้คุกเข่าลงและคลอดบุตร แต่ความเจ็บปวดสาหัสท่วมท้นเกิดขึ้นแก่นาง
\v 20 เมื่อนางกำลังจะตายพวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้กล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าเพิ่งจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง” แต่นางไม่ได้ตอบหรือใส่ใจกับเรื่องที่พวกนางได้พูดกับหัวใจ
\v 21 นางได้ตั้งชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบด กล่าวว่า “พระสิริได้พรากไปจากอิสราเอลแล้ว!” เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกยึดไป และเพราะพ่อสามีของนางและสามีของนาง
\v 22 นางได้กล่าวว่า “พระสิริได้พรากไปจากอิสราเอลแล้ว เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกยึดไปแล้ว”
\s5
\c 5
\p
\v 1 บัดนี้คนฟีลิสเตียได้ยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไป และพวกเขาได้นำไปจากเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดด
\v 2 คนฟีลิสเตียได้นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าเข้าไปไว้ในวิหารของพระดาโกน และวางหีบไว้ข้างพระดาโกน
\v 3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ได้ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ดังนั้นพวกเขาจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิมอีกครั้ง
\s5
\p
\v 4 แต่เมื่อพวกเขาตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูสิ พระดาโกนก็ได้ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ เศียรของพระดาโกนและหัตถ์ทั้งสองข้างก็แตกหักตกอยู่ที่ธรณีประตู เหลือแต่ลำตัวพระดาโกนที่ยังคงเหลืออยู่
\v 5 นี่คือเหตุผลว่าทำไม แม้แต่ทุกวันนี้ พวกปุโรหิตของพระดาโกนและทุกคนที่เข้าไปในวิหารของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูวิหารของพระดาโกนที่เมืองอัชโดด
\v 6 พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ทรงลงโทษอย่างหนักหน่วงแก่ประชาชนอัชโดด พระองค์ได้ทรงทำลายพวกเขาและทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานด้วยฝีต่างๆ ทั้งที่ในเมืองอัชโดดและอาณาเขตทั้งหมดของเมืองนั้น
\s5
\p
\v 7 เมื่อชาวเมืองอัชโดดตระหนักได้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “หีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลจะต้องไม่อยู่กับเรา เพราะว่าพระหัตถ์ของพระองค์ทรงลงโทษพวกเราและพระดาโกนของพวกเราอย่างหนัก"
\v 8 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ใช้คนไปและเรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย พวกเขากล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรดีกับหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอล?” พวกเขาตอบว่า “ให้เราย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอลไปที่เมืองกัท” ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอลไปที่นั่น
\s5
\p
\v 9 แต่ภายหลังเมื่อพวกเขาย้ายหีบวนเวียนไป พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงลงโทษเมืองนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายยิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงทรมานชาวเมืองนั้นทั้งผู้เล็กน้อยและเจ้านายทั้งหลาย และฝีต่างๆ ก็ได้แตกเฟะบนตัวพวกเขา
\v 10 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน แต่ทันทีที่หีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลมาถึงเมืองเอโครน ชาวเมืองเอโครนก็ร้องเสียงดังว่า “พวกเขาได้ย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลมาให้เราเพื่อจะฆ่าเราและประชาชนของเราเสีย”
\v 11 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย และพวกเขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงส่งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลออกไปเสีย และให้หีบนั้นกลับคืนไปยังที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะไม่ฆ่าเราและประชาชนของเรา” เพราะว่ามีความแตกตื่นกลัวตายอยู่ทั่วทั้งเมือง พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงลงโทษอย่างหนักหน่วงที่นั่น
\v 12 ชาวเมืองที่ไม่ตายก็ได้ถูกทรมานด้วยฝีต่างๆ และเสียงร่ำไห้ของเมืองนั้นก็ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
\s5
\c 6
\p
\v 1 บัดนี้หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ได้อยู่ในดินแดนของคนฟีลิสเตียเจ็ดเดือน
\v 2 คนฟีลิสเตียได้เรียกประชุมพวกปุโรหิตและพวกโหร พวกเขากล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรกับหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ดี? จงบอกว่าพวกเราจะส่งหีบกลับไปยังที่เดิมอย่างไรดี”
\v 3 พวกปุโรหิตและพวกโหรได้ตอบว่า “ถ้าพวกท่านจะส่งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลกลับไป ก็อย่าส่งไปโดยไม่มีของขวัญ ทั้งหมดนี้หมายความว่าต้องส่งไปพร้อมเครื่องบูชาลบความผิดเพื่อถวายแด่พระองค์ด้วย แล้วพวกท่านจะหายโรคและพวกท่านจะทราบว่าเหตุใดพระหัตถ์ของพระองค์จึงไม่ถูกยกออกไปจากพวกท่านจนกระทั่งเดี๋ยวนี้”
\s5
\p
\v 4 แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า “เราควรจะจัดอะไรเป็นเครื่องบูชาลบความผิด ที่เราต้องถวายให้พระองค์?” พวกปุโรหิตและพวกโหรจึงตอบว่า “ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัวตามจำนวนเจ้านายของคนฟีลิสเตีย เพราะพวกท่านและพวกเจ้านายล้วนถูกภัยพิบัติเล่นงานเช่นเดียวกัน
\v 5 ดังนั้นพวกท่านต้องทำแบบจำลองรูปฝีของพวกท่านและแบบจำลองรูปหนูของพวกท่านซึ่งทำลายแผ่นดิน และพวกท่านจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะทรงยกพระหัตถ์ของพระองค์ออกจากพวกท่าน จากบรรดาพระของพวกท่านและแผ่นดินของพวกท่าน
\v 6 ทำไมพวกท่านทำใจแข็งกระด้างอย่างเช่นคนอียิปต์และฟาโรห์ได้ทำใจของพวกเขาให้แข็งกระด้าง? นั่นแหละเมื่อพระเจ้าของคนอิสราเอลได้ทรงลงโทษหนักต่อพวกเขา คนอียิปต์ก็ต้องปล่อยประชาชนไป แล้วพวกเขาก็จากไปมิใช่หรือ?
\s5
\p
\v 7 บัดนี้จงไปเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับโคแม่ลูกอ่อนสองตัวซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงผูกแม่โคคู่นี้กับเกวียน แต่ให้นำลูกๆ ของมันกลับไปบ้าน ให้พ้นจากแม่โคคู่นี้
\v 8 แล้วจงนำหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาวางไว้บนเกวียน ให้วางเครื่องทองคำซึ่งพวกท่านจะส่งกลับถวายพระองค์เป็นเครื่องบูชาลบความผิดไว้ในกล่องข้างหีบ แล้วก็ส่งให้มันไป และปล่อยให้ไปตามทางของมัน
\v 9 แล้วให้คอยดู ถ้ามันไปตามทางถึงเขตแดนของมันเอง ไปถึงเมืองเบธเชเมช นั่นแหละ คือพระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ทรงเป็นผู้ทำให้เกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงนี้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แล้วพวกเราจะได้รู้ว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงเฆี่ยนตีพวกเรา แต่ว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่พวกเราโดยบังเอิญ”
\s5
\p
\v 10 คนเหล่านั้นก็ทำตามที่พวกเขาได้รับการบอกเล่า พวกเขาได้นำเอาโคแม่ลูกอ่อนสองตัวเทียมเข้ากับเกวียน แล้วได้ขังลูกๆ ของมันไว้ที่บ้าน
\v 11 พวกเขาได้วางหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้บนเกวียนพร้อมกับกล่องหนูทองคำและรูปฝีของพวกเขา
\v 12 แม่โคทั้งสองก็ได้เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช พวกมันได้ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย บรรดาเจ้านายของคนฟีลิสเตียก็ได้ตามพวกมันไปจนถึงเขตแดนเมืองเบธเชเมช
\s5
\p
\v 13 บัดนี้ชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา เมื่อพวกเขาได้เงยหน้าขึ้นและได้เห็นหีบ พวกเขาก็ได้ชื่นชมยินดี
\v 14 เกวียนได้เข้ามาในทุ่งนาของโยชูวาจากเมืองเบธเชเมชและได้หยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น และพวกเขาจึงได้ผ่าไม้จากเกวียน และได้ถวายแม่โคสองตัวนั้นเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์
\v 15 คนเลวีก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และกล่องบรรจุรูปหล่อทองต่างๆ ที่อยู่ข้างในนั้นลง และได้วางของเหล่านี้ไว้บนก้อนหินใหญ่ คนเบธเชเมชก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ในวันเดียวกัน
\s5
\p
\v 16 เมื่อเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตียได้เห็นแล้ว พวกเขาก็กลับไปยังเมืองเอโครนในวันนั้น
\v 17 เหล่านี้เป็นรูปฝีทองคำซึ่งคนฟีลิสเตียส่งกลับไปเป็นเครื่องบูชาลบความผิดแด่พระยาห์เวห์ รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด รูปหนึ่งสำหรับเมืองกาซา รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชเคโลน รูปหนึ่งสำหรับเมืองกัท รูปหนึ่งสำหรับเมืองเอโครน
\v 18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองทั้งหมดของคนฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้า ทั้งเมืองที่มีป้อมปราการ และหมู่บ้านต่างๆ หินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ซึ่งพวกเขาได้วางไว้นั้น ซึ่งยังคงเป็นหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
\s5
\p
\v 19 พระยาห์เวห์ได้ทรงประหารชาวเบธเชเมชบางส่วน เพราะว่าพวกเขาได้มองดูข้างในหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงได้ประหารเสีย 50,070 คน ประชาชนก็โศกเศร้า เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงพิโรธต่อประชาชนอย่างรุนแรง
\v 20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า “ใครจะสามารถยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้? หีบจะไปหาผู้ใดเมื่อจากพวกเราไปแล้ว?”
\v 21 พวกเขาจึงด้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า “คนฟีลิสเตียได้คืนหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาแล้ว ขอลงมาและนำหีบกลับไปอยู่กับพวกท่านเถิด”
\s5
\c 7
\p
\v 1 ชาวเมืองคีริยาทเยอาริมได้มานำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ขึ้นไปถึงบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา พวกเขาได้แยกเอเลอาซาร์บุตรของเขาไว้เพื่อให้ดูแลหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์
\v 2 นับแต่วันที่หีบนั้นได้อยู่ที่คีริยาทเยอาริม เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบปี บรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดก็ได้คร่ำครวญถึงพระยาห์เวห์ และปรารถนาที่จะกลับมาหาพระยาห์เวห์
\v 3 ซามูเอลได้พูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า “ถ้าพวกท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน จงทิ้งพวกพระต่างด้าวและพระอัชทาโรทเสียจากท่ามกลางพวกท่าน และจงกลับใจของพวกท่านต่อพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์เท่านั้น แล้วพระองค์จะทรงช่วยกู้พวกท่านให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย”
\s5
\p
\v 4 แล้วประชาชนอิสราเอลจึงได้ทิ้งพระบาอัลและพระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายก็ได้นมัสการเพียงแต่พระยาห์เวห์เท่านั้น
\v 5 แล้วซามูเอลจึงพูดว่า “จงนำคนอิสราเอลทั้งสิ้นไปที่เมืองมิสปาห์ และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อท่าน”
\v 6 พวกเขาจึงประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ และได้ตักน้ำมาเทออกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขาถืออดอาหารในวันนั้น และพูดว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์” ที่นั่นเอง ซามูเอลได้ตัดสินข้อพิพาทของประชาชนอิสราเอลและได้นำประชาชน
\v 7 ต่อมาคนฟีลิสเตียได้ยินประชาชนอิสราเอลมาประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ พวกเจ้านายของฟีลิสเตียจึงได้ยกขึ้นไปโจมตีกับอิสราเอล เมื่อประชาชนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย
\s5
\p
\v 8 แล้วประชาชนอิสราเอลพูดต่อซามูเอลว่า “อย่าหยุดร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา เพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย”
\v 9 ซามูเอลจึงเอาลูกแกะอ่อนที่ยังไม่หย่านมตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่ออิสราเอล และพระยาห์เวห์ทรงตอบเขา
\v 10 ขณะที่ซามูเอลกำลังถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็ได้เข้ามาใกล้เพื่อโจมตีอิสราเอล แต่พระยาห์เวห์ทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นต่อคนฟีลิสเตีย และทรงทำให้พวกเขาสับสน และพวกเขาอลหม่านต่อหน้าอิสราเอล
\v 11 พวกผู้ชายของอิสราเอลได้ออกจากเมืองมิสปาห์ และพวกเขาไล่กวดพวกฟีลิสเตียและฆ่าฟันพวกเขาไปจนถึงใต้ของเมืองเบธคาร์
\s5
\p
\v 12 แล้วซามูเอลก็เอาหินก้อนหนึ่งและตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน เขาได้ให้ชื่อหินนั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยพวกเรามาจนบัดนี้”
\v 13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ไม่ได้เข้ามาในเขตแดนของอิสราเอลอีก พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ต่อสู้คนฟีลิสเตียตลอดชีวิตของซามูเอล
\v 14 บรรดาเมืองที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนสู่อิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึงเมืองกัท และอิสราเอลได้ยึดแถบชายแดนคืนมาจากมือของคนฟีลิสเตีย แล้วก็มีสันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์
\s5
\p
\v 15 ซามูเอลวินิจฉัยประชาชนอิสราเอลตลอดชีวิตของเขา
\v 16 ทุกปีเขาได้เวียนไปเมืองเบธเอล ไปเมืองกิลกาล และเมืองมิสปาห์ เขาได้ตัดสินข้อพิพาทสำหรับอิสราเอลในบรรดาเมืองเหล่านั้น
\v 17 แล้วเขาจึงได้กลับมาที่เมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของเขาอยู่ที่นั่น และที่นั่นเขาได้ตัดสินข้อพิพาทสำหรับอิสราเอลด้วย เขาได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่นด้วย
\s5
\c 8
\p
\v 1 เมื่อซามูเอลแก่แล้ว เขาได้ตั้งพวกบุตรชายของเขาให้เป็นผู้วินิจฉัยอิสราเอล
\v 2 ชื่อของบุตรชายหัวปีของเขาคือโยเอล และชื่อของบุตรชายคนที่สองคืออาบียาห์ พวกเขาได้เป็นผู้วินิจฉัยในเมืองเบเออร์เชบา
\v 3 พวกบุตรชายของเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามอย่างของเขา พวกเขาได้เสาะหารายได้ที่ไม่สัตย์ซื่อ พวกเขาได้รับสินบน และได้บิดเบือนความยุติธรรม
\s5
\p
\v 4 พวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของอิสราเอลได้มารวมกันและได้มาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์
\v 5 พวกเขาได้พูดกับซามูเอลว่า “ดูเถิด ท่านชราแล้วและพวกบุตรของท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตตามอย่างของท่าน บัดนี้ขอท่านได้ตั้งกษัตริย์ให้วินิจฉัยพวกเราอย่างประชาชาติทั้งปวงเถิด”
\v 6 แต่ซามูเอลไม่พอใจเมื่อพวกเขาพูดว่า “ขอตั้งกษัตริย์ให้วินิจฉัยพวกเรา” ดังนั้นซามูเอลจึงได้ทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
\v 7 พระยาห์เวห์ทรงตอบซามูเอลว่า “จงฟังเสียงประชาชนในทุกเรื่องที่พวกเขาพูดกับเจ้า เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่พวกเขาปฏิเสธเรา ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา
\v 8 ที่พวกเขากำลังกระทำขณะนี้ก็เหมือนกับที่พวกเขาได้เคยทำนับตั้งแต่เราได้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ คือได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่นๆ และดังนั้นพวกเขากำลังทำกับเจ้าด้วยเช่นกัน
\v 9 บัดนี้จงฟังเสียงของพวกเขา แต่ตักเตือนพวกเขาอย่างจริงจัง และสำแดงให้พวกเขาทราบถึงวิถีทางที่กษัตริย์จะปกครองพวกเขา”
\s5
\p
\v 10 ดังนั้นซามูเอลจึงได้บอกถึงพระดำรัสทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ให้แก่ประชาชนที่ขอให้มีกษัตริย์
\v 11 เขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่กษัตริย์ผู้ที่จะทรงครอบครองเหนือพวกเจ้าจะทรงกระทำ คือพระองค์จะทรงเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และทรงกำหนดให้พวกเขาประจำรถม้าศึก และให้เป็นพวกพลม้า และให้วิ่งหน้ารถม้าศึกของพระองค์
\v 12 พระองค์จะทรงแต่งตั้งผู้บัญชาการของทหารพันนาย ผู้บังคับหมู่ของทหารห้าสิบนายของพระองค์ พระองค์จะทรงให้บางคนไถพรวนที่ดินของพระองค์ ให้บางคนเกี่ยวข้าวของพระองค์ และให้บางคนทำอาวุธและเครื่องใช้ของรถม้าศึกของพระองค์
\v 13 พระองค์จะทรงนำบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัว และอบขนม
\v 14 พระองค์จะทรงเอาที่นาส่วนที่ดีที่สุดของพวกเจ้า สวนองุ่นของพวกเจ้า และสวนมะกอกของพวกเจ้า และทรงมอบให้แก่พวกข้าราชการของพระองค์
\v 15 พระองค์จะทรงเอาไปหนึ่งในสิบส่วนของข้าวและของไร่องุ่นหลายสวนของพวกเจ้าไปให้แก่พวกข้าราชการและข้าราชบริพารของพระองค์
\s5
\p
\v 16 พระองค์จะเอาพวกข้าราชบริพารชายหญิง และส่วนที่ดีที่สุดของพวกคนหนุ่มกับลาหลายตัวของพวกเจ้าไป พระองค์จะทรงให้พวกเขาทำงานทั้งหมดให้พระองค์
\v 17 พระองค์จะทรงหักหนึ่งในสิบส่วนของฝูงสัตว์ของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นทาสของพระองค์
\v 18 แล้วในวันนั้นพวกเจ้าจะร้องทุกข์เพราะกษัตริย์ของพวกเจ้าผู้ซึ่งพวกเจ้าได้เลือกสำหรับพวกเจ้า แต่พระยาห์เวห์จะไม่ทรงตอบพวกเจ้าในวันนั้น”
\s5
\p
\v 19 แต่ประชาชนได้ปฏิเสธที่จะฟังซามูเอล พวกเขากล่าวว่า “ไม่ได้ ยังไงจะต้องมีกษัตริย์ปกครองเรา
\v 20 เพื่อที่พวกเราจะเป็นเหมือนเหล่าประชาชาติอื่นทั้งหมด และเพื่อที่กษัตริย์ของเราจะวินิจฉัยพวกเราและทรงนำหน้าพวกเราไป และต่อสู้ในสงครามเพื่อพวกเรา”
\v 21 เมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน เขาก็นำถ้อยคำเหล่านี้กลับไปทูลพระยาห์เวห์ให้ทรงทราบอีกครั้ง
\v 22 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “จงฟังเสียงพวกเขาเถิด และทำใหห้บางคนได้เป็นกษัตริย์สำหรับพวกเขา” ดังนั้นซามูเอลจึงได้กล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน”
\s5
\c 9
\p
\v 1 มีผู้ชายคนเบนยามินคนหนึ่ง เป็นคนที่น่านับถือ เขามีชื่อว่าคีช บุตรชายของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรชายของเศโรร์ บุตรชายของเบโครัท บุตรชายของอาฟียาห์ บุตรชายของคนเผ่าเบนยามิน
\v 2 เขามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นชายหนุ่มรูปงาม ไม่มีผู้ชายคนใดในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าคนอื่นใดในประชาชนจากไหล่ของเขาขึ้นไปนับจากไหล่ของเขา
\v 3 บัดนี้ฝูงลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป ดังนั้นคีชจึงได้พูดกับซาอูลบุตรชายของตนว่า “จงเอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า ลุกขึ้นและไปตามหาฝูงลา”
\v 4 ดังนั้นซาอูลจึงได้เดินทางผ่านแดนเทือกเขาเอฟราอิม และเดินทางผ่านเข้าดินแดนชาลิชาห์ แต่พวกเขาหาฝูงลาไม่พบ แล้วพวกเขาก็ได้ผ่านข้ามดินแดนชาอาลิม แต่ฝูงลาไม่ได้อยู่ที่นั่น แล้วเขาได้ผ่านเข้าดินแดนของเบนยามิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบฝูงลา
\s5
\p
\v 5 เมื่อพวกเขาได้มาถึงดินแดนศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของเขาที่อยู่กับเขาว่า “มาเถอะ ให้เรากลับไป มิฉะนั้นบิดาของเราอาจจะเลิกกังวลเรื่องฝูงลา และเริ่มร้อนใจด้วยเรื่องของเรา”
\v 6 แต่คนใช้ได้พูดกับเขาว่า “ขอจงฟังเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เขาเป็นคนที่ได้รับความนับถือมาก ทุกสิ่งที่เขาพูดจะเป็นจริง ให้เราไปที่นั่นกันเถอะ บางทีเขาอาจจะบอกเราถึงทางไหนที่เราควรไปในการเดินทางของเรา”
\v 7 แล้วซาอูลได้พูดกับคนใช้ของเขาว่า “แต่ ถ้าเราไป เราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น ? เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว และเราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง?”
\v 8 คนใช้ได้ตอบซาอูลและกล่าวว่า “นี่แหละ ในมือข้าพเจ้ามีเงินอยู่หนึ่งส่วนสี่เชเขลที่ข้าพเจ้าจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อเขาจะได้บอกพวกเราว่าทางไหนที่พวกเราควรไป”
\v 9 (ในอิสราเอลสมัยก่อน เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ไปแสวงหาความรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า เขาได้พูดว่า “มาเถอะ ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน” เพราะผู้เผยพระวจนะในสมัยนั้นเรียกว่าผู้ทำนาย)
\v 10 แล้วซาอูลได้พูดกับคนใช้ของเขาว่า “พูดได้ดีนี่ มาเถิด ให้เราไปกัน” ดังนั้นพวกเขาจึงไปยังเมืองที่คนของพระเจ้าอยู่นั้น
\s5
\p
\v 11 ขณะเมื่อพวกเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น พวกเขาก็ได้พบพวกหญิงสาวออกมาตักน้ำ ซาอูลและคนใช้จึงถามพวกเธอว่า “ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ?”
\v 12 พวกเธอได้กล่าวและตอบว่า “เขาอยู่ ดูนี่ เขาอยู่ข้างหน้าพวกท่าน รีบเถอะ เพราะเขากำลังเข้ามาที่เมืองวันนี้ เพราะว่าประชาชนจะมีการถวายสัตวบูชาที่สถานที่สูงวันนี้
\v 13 ทันทีที่พวกท่านเข้าไปถึงในเมือง พวกท่านจะพบเขา ก่อนที่เขาจะขึ้นไปรับประทานอาหารที่สถานที่สูง ประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าเขาจะมา เพราะเขาจะต้องมาอวยพรเครื่องสัตวบูชา หลังจากนั้นพวกผู้ที่ได้รับเชิญจึงจะรับประทาน บัดนี้ ขึ้นไปเถิด เพราะพวกท่านจะได้พบเขาทันที”
\v 14 ดังนั้นเขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในเมือง นี่แน่ะ ซามูเอลกำลังเดินออกมาทางพวกเขาเพื่อขึ้นไปยังสถานที่สูงนั้น
\s5
\p
\v 15 บัดนี้วันก่อนที่ซาอูลจะมา พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ซามูเอลแล้วว่า
\v 16 “พรุ่งนี้เวลาประมาณเวลานี้ เราจะส่งผู้ชายคนหนึ่งจากดินแดนเบนยามิน และเจ้าจะเจิมเขาให้เป็นเจ้าชายเหนือประชาชนอิสราเอลของเรา เขาจะช่วยประชาชนของเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย เพราะว่าเราได้เห็นประชาชนของเราแล้วด้วยความสงสาร เพราะเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขามาถึงเรา”
\v 17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกเขาว่า “นี่เป็นผู้ชายคนที่เราได้บอกกับเจ้าแล้ว เขาคือคนที่จะปกครองเหนือประชาชนของเรา”
\v 18 แล้วซาอูลก็ได้เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและพูดว่า “ขอบอกข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน?”
\v 19 ซามูเอลได้ตอบซาอูลและพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำนายนั้น จงนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสถานที่สูง เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับข้าพเจ้า และพรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจึงจะให้ท่านไปและข้าพเจ้าจะบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจของท่านแก่ท่าน
\v 20 ส่วนเรื่องฝูงลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าวิตกเกี่ยวกับพวกมันเลย เพราะมีคนพบพวกมันแล้ว แล้วความปรารถนาทั้งหมดของคนอิสราเอลนั้นอยู่ที่ใครหรือ ? ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านหรือ?”
\v 21 ซาอูลได้ตอบและพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามิน ที่เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในบรรดาเผ่าของอิสราเอลหรือ? เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูลที่ด้อยที่สุดในบรรดาตระกูลของเผ่าเบนยามินหรือ? ทำไมท่านจึงบอกถ้อยคำเหล่านี้กับข้าพเจ้าด้วยท่าทางอย่างนี้เล่า?”
\s5
\p
\v 22 ดังนั้นซามูเอลจึงพาซาอูลกับคนใช้ของเขาโดยนำพวกเขาเข้าไปในห้องโถง และให้พวกเขานั่งในที่นั่งด้านหน้าสำหรับคนเหล่านั้นที่ได้รับเชิญ ซึ่งมีประมาณสามสิบคน
\v 23 ซามูเอลพูดกับคนครัวว่า “จงนำส่วนที่เรามอบให้เจ้า ซึ่งเราได้บอกเจ้าว่า ‘เก็บไว้ต่างหาก’ นั้นมา”'
\v 24 ดังนั้นคนครัวจึงนำส่วนต้นขาและสิ่งที่วางบนนั้นมาและวางไว้ต่อหน้าซาอูล แล้วซามูเอลจึงพูดว่า “จงดู ส่วนที่ได้เก็บไว้ที่วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถอะ เพราะว่ามันได้ถูกเก็บไว้ให้แก่ท่านจนกระทั่งถึงเวลากำหนด นับจากเวลาที่ข้าพเจ้าได้พูดว่า 'ข้าพเจ้าได้เชิญประชาชนมาแล้ว”' ดังนั้นซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น
\v 25 เมื่อพวกเขาได้ลงมาจากสถานสูงเข้ามาในเมือง ซามูเอลได้สนทนากับซาอูลบนดาดฟ้า
\s5
\p
\v 26 แล้วในตอนเช้าตรู่ ซามูเอลได้เรียกซาอูลบนดาดฟ้าและพูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะส่งท่านไปตามทางของท่าน” ดังนั้นซาอูลจึงได้ลุกขึ้น และทั้งสองคนก็ได้ออกไปที่ถนน
\v 27 ขณะที่พวกเขากำลังตรงไปที่ชานเมือง ซามูเอลได้พูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินนำหน้าเราไป" และเขาเดินพ้นไปแล้ว "แต่ท่านจงอยู่ที่นี่สักครู่ เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ประกาศพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”
\s5
\c 10
\p
\v 1 แล้วซามูเอลจึงหยิบขวดน้ำมัน เทลงบนศีรษะของซาอูล และได้จูบเขาแล้วกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นผู้นำเหนือมรดกของพระองค์แล้วไม่ใช่หรือ?
\v 2 เมื่อท่านไปจากข้าพเจ้าวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนใกล้ที่ฝังศพของราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ฝูงลาซึ่งท่านได้หาอยู่นั้นได้พบแล้ว บัดนี้ บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องฝูงลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของพวกท่าน กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี?”’
\v 3 จากนั้นท่านจะผ่านที่นั่นไปและท่านจะไปถึงต้นโอ๊กแห่งทาโบร์ ผู้ชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่านที่นั่น คนหนึ่งแบกลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง
\s5
\p
\v 4 พวกเขาจะทักทายท่านและมอบขนมปังให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของพวกเขา
\v 5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงเนินเขาของพระเจ้า ซึ่งกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียอยู่ เมื่อท่านมาถึงเมือง ท่านจะพบกลุ่มผู้เผยพระวจนะกำลังลงมาจากสถานสูงพร้อมด้วยพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้าพวกเขา พวกเขากำลังจะเผยพระวจนะ
\v 6 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงสวมทับท่าน และท่านจะเผยพระวจนะร่วมกับคนเหล่านั้น และท่านจะถูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
\s5
\p
\v 7 บัดนี้เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่าน จงทำอะไรตามที่มือของท่านทำเถิด เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน
\v 8 ท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะลงมาหาท่านเพื่อถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสันติบูชา จงคอยเจ็ดวันจนกว่าข้าพเจ้ามาหาท่านและบอกให้ท่านรู้ว่า ท่านจะต้องทำอะไร”
\v 9 เมื่อซาอูลได้หันหลังไปเพื่อจากซามูเอล พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนจิตใจของซาอูลเป็นอีกแบบ แล้วหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น
\v 10 เมื่อพวกเขาได้มาที่เนินเขา กลุ่มของผู้เผยพระวจนะได้พบกับเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมทับเขา ดังนั้นเขาก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น
\v 11 เมื่อทุกคนที่รู้จักเขามาก่อนเห็นเขาเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นจึงพูดต่อกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช? ตอนนี้ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
\s5
\p
\v 12 ผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากที่นั่นเหมือนกันได้ตอบว่า “แล้วบิดาของพวกเขาคือใคร?” ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคำกล่าวว่า “ซาอูลเป็นผู้เผยพระวจนะด้วยคนหนึ่งหรือ?”
\v 13 เมื่อเขาได้เผยพระวจนะเสร็จแล้วเขาก็ได้มายังสถานสูง
\v 14 แล้วลุงของซาอูลจึงได้ถามซาอูลกับคนใช้ของเขาว่า “พวกเจ้าไปไหนมา?” เขาตอบว่า “ไปเสาะหาฝูงลา เมื่อพวกเราเห็นว่าพวกเราไม่สามารถหาฝูงลานั้นแล้ว เราจึงได้ไปหาซามูเอล”
\v 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า “โปรดบอกเราว่าซามูเอลได้บอกอะไรแก่เจ้าบ้าง "
\v 16 ซาอูลตอบลุงของเขาว่า “เขาได้บอกเราชัดเจนว่าพบฝูงลาแล้ว” แต่เขาไม่ได้บอกลุงเรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลได้พูด
\s5
\p
\v 17 บัดนี้ซามูเอลได้เรียกประชาชนมาชุมนุมต่อพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์
\v 18 เขากล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของอาณาจักรทั้งหลายที่ได้ข่มเหงพวกเจ้า’
\v 19 แต่วันนี้พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ซึ่งช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และพวกเจ้าได้กล่าวต่อพระองค์ว่า ‘ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ บัดนี้จงเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตามเผ่าของพวกเจ้าและตามตระกูลของพวกเจ้า”
\v 20 ดังนั้นซามูเอลจึงนำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และเผ่าเบนยามินได้รับเลือก
\s5
\p
\v 21 จากนั้นเขาจึงนำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูลของพวกเขา และตระกูลมัตรีได้รับเลือก และซาอูลบุตรชายของคีชก็ได้รับเลือก แต่เมื่อพวกเขาออกไปหาซาอูลก็หาไม่พบ
\v 22 จากนั้นประชาชนต้องการที่จะทูลถามพระเจ้าอีกหลายคำถามว่า “ยังจะมีผู้ชายอีกคนมาที่นี่ไหม?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ เขาได้ซ่อนตัวอยู่ในกองสัมภาระ”
\v 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปและพาซาอูลมาจากที่นั่น เมื่อเขาได้ยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าของเขาขึ้นไป
\s5
\p
\v 24 ซามูเอลจึงได้กล่าวแก่ประชาชนว่า “พวกเจ้าเห็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกไว้แล้วหรือไม่? ไม่มีใครเหมือนเขาในท่ามกลางประชาชน” ประชาชนทั้งปวงจึงได้ร้องเสียงดังว่า “ขอพระมหากษัตริย์จงทรงพระเจริญ!”
\v 25 แล้วซามูเอลจึงได้บอกกับประชาชนให้ทราบถึงธรรมเนียมปฎิบัติและกฎต่างๆ ของตำแหน่งกษัตริย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ และได้วางไว้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลก็ได้ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนเอง
\v 26 ซาอูลก็ได้กลับไปยังบ้านของเขาที่กิเบอาห์ด้วย และมีเหล่านักรบซึ่งพระเจ้าได้ทรงดลจิตใจไปกับเขาด้วย
\v 27 แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า “ผู้ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร?” พวกประชาชนเหล่านี้ได้ดูหมิ่นซาอูล และไม่ได้นำเครื่องของขวัญอันใดมาให้เขา แต่ซาอูลก็ได้นิ่งเงียบไว้
\s5
\c 11
\p
\v 1 แล้วนาหาชคนอัมโมนได้ไปและตั้งล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด ชาวเมืองยาเบชทั้งหมดจึงพูดกับนาหาชว่า “จงทำพันธสัญญากับพวกเราและพวกเราจะยอมปรนนิบัติพวกท่าน”
\v 2 นาหาชคนอัมโมนได้ตอบพวกเขาว่า “ตามเงื่อนไขนี้เราจะทำพันธสัญญากับพวกท่าน คือเราจะทะลวงตาขวาของพวกเจ้าทุกคน และโดยวิธีนี้จะเป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง”
\v 3 ส่วนพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชได้ตอบพวกเขาว่า “ขอผ่อนผันให้พวกเราสักเจ็ดวัน เพื่อพวกเราจะส่งพวกผู้สื่อสารไปให้ทั่วเขตแดนอิสราเอล แล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยกู้พวกเราได้ พวกเราจะยอมมอบตัวกับพวกท่าน”
\s5
\p
\v 4 พวกผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์ เมืองที่ซาอูลอาศัยอยู่ และบอกประชาชนว่ามีอะไรเกิดขึ้น ประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ด้วยเสียงดัง
\v 5 ขณะนั้นซาอูลกำลังต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่งนา ซาอูลกล่าวว่า “มีอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนที่พวกเขากำลังร้องไห้?” พวกเขาจึงเล่าให้ซาอูลทราบถึงเรื่องที่คนยาเบชได้พูดไว้
\v 6 เมื่อซาอูลได้ยินที่พวกเขาได้พูด พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและเขาก็โกรธจัด
\v 7 เขาจึงเอาแอกของโคมาอันหนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ และได้ให้พวกผู้สื่อสารส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอล เขากล่าวว่า “ใครที่ไม่ออกมาตามซาอูลและตามซามูเอล นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับโคของเขา” แล้วความเกรงกลัวพระยาห์เวห์ก็ได้แผ่มาเหนือประชาชน และพวกเขาก็ได้ออกมาร่วมเป็นใจเดียวกัน
\s5
\p
\v 8 เมื่อเขาได้รวมพลอยู่ที่เบเซก ประชาชนอิสราเอลมีสามแสนคน และผู้ชายเผ่ายูดาห์มีสามหมื่นคน
\v 9 พวกเขาจึงพูดกับพวกผู้สื่อสารที่มานั้นว่า “พวกเจ้าจงบอกแก่คนยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้ในเวลาแดดร้อนพวกท่านจะได้รับการช่วยกู้'" ดังนั้นพวกผู้สื่อสารจึงกลับไปและบอกคนยาเบช และพวกเขาก็ดีใจ
\v 10 แล้วคนยาเบชจึงพูดกับนาฮาชว่า "พรุ่งนี้พวกเราจะยอมมอบตัวกับพวกท่าน และพวกท่านสามารถทำอะไรกับพวกเราที่พวกท่านเห็นว่าดีสำหรับพวกท่านได้เลย"
\v 11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็ได้จัดแบ่งประชาชนออกเป็นสามกลุ่ม พวกเขายกเข้ามากลางค่ายตอนเช้ามืดและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด พวกที่รอดชีวิตก็กระจัดกระจายไป ดังนั้น ไม่มีสองคนไหนที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ด้วยกันเลย
\s5
\p
\v 12 แล้วประชาชนจึงพูดกับซามูเอลว่า “ใครกันที่พูดว่า ‘ซาอูลหรือที่จะมาปกครองเหนือพวกเราหรือ?' จงนำคนเหล่านั้นออกมา พวกเราจะฆ่าพวกเขาเสีย”
\v 13 แต่ซาอูลได้กล่าวว่า “ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยกู้อิสราเอล”
\v 14 แล้วซามูเอลจึงได้กล่าวกับประชาชนว่า “มาเถิด ให้เราไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่องราชวงศ์ที่นั่น”
\v 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้ไปยังกิลกาล และได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล ที่นั่นพวกเขาถวายสันติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ปีติยินดีอย่างยิ่งที่นั่น
\s5
\c 12
\p
\v 1 ซามูเอลจึงกล่าวกับคนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ ข้าพเจ้าได้ฟังทุกเรื่องที่พวกท่านบอกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ตั้งกษัตริย์เหนือพวกท่านแล้ว
\v 2 และนี่คือกษัตริย์ที่ทรงดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และ พวกบุตรชายของข้าพเจ้าก็อยู่กับพวกท่านและข้าพเจ้าเองก็ได้ดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่านตั้งแต่หนุ่มจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
\v 3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอพวกท่านจงเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และต่อหน้าผู้ที่พระองค์ได้ทรงเจิมไว้ โคของใครบ้างที่ข้าพเจ้าริบเอาไว้? ลาของใครบ้างที่ข้าพเจ้าริบเอาไว้? มีใครบ้างที่ข้าพเจ้าได้เคยฉ้อโกง? มีใครบ้างที่ข้าพเจ้าได้เคยบีบบังคับ? ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของใครบ้างที่ทำให้ข้าพเจ้าปิดตาของข้าพเจ้า? จงเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะคืนให้แก่พวกท่าน”
\s5
\p
\v 4 พวกเขาได้พูดว่า “ท่านไม่เคยได้หลอกลวงพวกเรา ไม่เคยได้บีบบังคับพวกเรา หรือได้เคยขโมยสิ่งใดไปจากมือของผู้ใดเลย”
\v 5 ซามูเอลกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานต่อพวกท่าน และผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ว่าพวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า” พวกเขาตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยาน”
\v 6 ซามูเอลกล่าวกับประชาชนว่า “พระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ทรงแต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และผู้ได้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
\v 7 ฉะนั้นขอพวกท่านจงสำแดงตัว เพื่อที่ข้าพเจ้าจะร้องขอพวกท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เกี่ยวกับพระราชกิจอันชอบธรรมทั้งปวงของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพวกท่านและต่อบรรพบุรุษของพวกท่าน
\s5
\p
\v 8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของพวกท่านร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ผู้ซึ่งได้นำบรรพบุรุษของพวกท่านออกจากอียิปต์และพวกเขาได้มาอาศัยอยู่ในสถานที่นี้
\v 9 แต่พวกเขาหลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พระองค์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของกองทัพแห่งเมืองฮาโซร์ ในมือของคนฟีลิสเตีย และในมือของกษัตริย์แห่งโมอับ และเขาเหล่านี้ได้ต่อสู้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน
\v 10 พวกเขาได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และกล่าวว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว เพราะว่าพวกข้าพระองค์ละทิ้งพระยาห์เวห์และไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและบรรดาพระอัชทาโรท แต่บัดนี้ขอทรงช่วยกู้พวกข้าพระองค์ให้พ้นมือของพวกศัตรูของพวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์’
\v 11 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงส่งเยรุบบาอัล และเบดาน เยฟธาห์ และซามูเอล และให้พวกท่านได้รับชัยชนะเหนือพวกศัตรูที่อยู่รอบพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจึงอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
\s5
\p
\v 12 เมื่อพวกท่านเห็นนาหาชกษัตริย์ของประชาชนแห่งอัมโมนมาต่อสู้พวกท่าน พวกท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่ได้ กษัตริย์จะต้องมาปกครองเหนือพวกเราแทน’ แม้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของพวกท่าน
\v 13 เอาล่ะ นี่คือกษัตริย์ที่พวกท่านได้เลือกแล้ว ผู้ซึ่งพวกท่านได้ร้องขอ ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ไว้เหนือพวกท่านแล้ว
\v 14 ถ้าพวกท่านยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ แล้วทั้งพวกท่านและกษัตริย์ผู้ปกครองเหนือพวกท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
\v 15 ถ้าพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะทรงต่อต้านพวกท่าน เช่นเดียวกับที่ได้ทรงต่อต้านกับบรรพบุรุษของพวกท่าน
\s5
\p
\v 16 แม้แต่บัดนี้พวกท่านจงสำแดงตัวของพวกท่าน และดูสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน
\v 17 วันนี้ไม่ใช่เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีมิใช่หรือ ? ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝน แล้วพวกท่านจะได้รู้และได้เห็นว่าความชั่วร้ายของพวกท่านมากมายเพียงใด ซึ่งพวกท่านได้กระทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ในการที่ได้ทูลขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกท่านเอง”
\v 18 ดังนั้นซามูเอลจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และในวันเดียวกันนั้นพระยาห์เวห์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝนมา แล้วประชาชนทั้งปวงก็ได้เกรงกลัวพระยาห์เวห์และซามูเอลยิ่งนัก
\s5
\p
\v 19 แล้วประชาชนทั้งปวงได้พูดกับซามูเอลว่า “ขอท่านได้อธิษฐานเผื่อผู้รับใช้ของท่านต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพื่อพวกเราจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งมวลของพวกเราในการขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา”
\v 20 ซามูเอลตอบว่า “อย่ากลัวเลย พวกท่านได้ทำความชั่วร้ายทั้งปวงนี้ แต่พวกท่านไม่ได้หันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ แต่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน
\v 21 อย่าหันไปติดตามสิ่งไร้สาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์หรือช่วยกู้พวกเจ้าไม่ได้ เพราะพวกนั้นเป็นสิ่งไร้ค่า
\s5
\p
\v 22 เพราะด้วยเห็นแก่พระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระยาห์เวห์จะไม่ทรงละทิ้งประชาชนของพระองค์ เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่พอพระทัยพระยาห์เวห์ที่จะทำให้พวกท่านเป็นประชาชนของพระองค์
\v 23 ส่วนข้าพเจ้าเอง ขอให้ห่างไกลจากข้าพเจ้าที่จะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน แต่ข้าพเจ้าจะสอนถึงทางที่ดีและถูกต้องให้พวกท่าน
\v 24 เพียงแต่ว่าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงอสุดใจของพวกท่าน จงพิจารณาถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่พวกท่าน
\v 25 แต่ถ้าพวกท่านยังดื้อแพ่งทำชั่วอีก ทั้งพวกท่านและกษัตริย์ของพวกท่านจะถูกทำลายไป”
\s5
\c 13
\p
\v 1 ซาอูลทรงมีพระชนม์สามสิบพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์สี่สิบปีเหนืออิสราเอล
\v 2 พระองค์ได้ทรงคัดเลือกผู้ชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนให้อยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นให้อยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน ทหารที่เหลือนั้นพระองค์ก็ได้ทรงปล่อยให้กลับบ้านของตน แต่ละคนก็ได้กลับไปยังเต็นท์ของตน
\v 3 โยนาธานได้ปราบกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียซึ่งอยู่ที่เกบาพ่ายแพ้ไป และคนฟีลิสเตียได้ทราบเรื่อง แล้วซาอูลก็ได้ทรงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน และได้กล่าวว่า “ขอให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยิน”
\s5
\p
\v 4 คนอิสราเอลทั้งปวงได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูลได้ปราบกองทหารรักษาการของฟีลิสเตียพ่ายแพ้ไป แล้วคนอิสราเอลก็ได้กลายเป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก แล้วเหล่าทหารก็ได้ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล
\v 5 คนฟีลิสเตียก็ได้รวมพลเพื่อต่อสู้คนอิสราเอล มีรถม้าศึกสามพันคัน และมีคนที่จะขับรถม้าศึกหกพันคน และกองทหารก็มีมากมายเหมือนทรายที่ชายฝั่งทะเล พวกเขาก็ยกกำลังขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทางตะวันออกของเบธอาเวน
\v 6 เมื่อคนอิสราเอลได้เห็นว่าตกอยู่ในความยุ่งยาก เพราะพวกประชาชนได้ถูกกดดัน แล้วประชาชนก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ในพุ่มไม้ ในกองหิน ในบ่อ และในหลุมต่างๆ
\s5
\p
\v 7 คนฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ซาอูลก็ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชนทั้งหมดได้ติดตามพระองค์ไปอย่างหวาดกลัว
\v 8 พระองค์ได้ทรงคอยอยู่เจ็ดวัน ตามเวลาที่ซามูเอลได้กำหนดไว้ แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล พวกประชาชนก็กระจัดกระจายไปจากซาอูล
\v 9 ซาอูลจึงได้ตรัสว่า “จงนำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสันติบูชามาให้เรา” แล้วพระองค์ก็ถวายเครื่องบูชาเผา
\v 10 ทันทีที่พระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวนั้นเสร็จซามูเอลก็ได้มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับเขาและทรงทักทายเขา
\s5
\p
\v 11 แล้วซามูเอลได้ทูลว่า “พระองค์ได้ทรงทำอะไรไปแล้วหรือนี่?” ซาอูลได้ตรัสตอบว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนกำลังจากข้าพเจ้าไป และท่านก็ไม่ได้มาภายในวันที่กำหนดไว้ และคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช
\v 12 ข้าพเจ้าได้พูดว่า ‘บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังไม่ได้ทูลวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระยาห์เวห์’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงฝืนใจตัวเองให้ขึ้นไปถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว”
\v 13 แล้วซามูเอลได้ทูลซาอูลว่า “พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่โง่เขลา พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาพระองค์ไว้ เพื่อว่าพระยาห์เวห์จะได้ทรงสถาปนาการครองราชย์ของพระองค์เหนืออิสราเอลตลอดไป
\s5
\p
\v 14 แต่บัดนี้การครองราชย์ของพระองค์จะไม่ต่อเนื่อง พระยาห์เวห์ได้ทรงเสาะหาผู้ชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระยาห์เวห์ได้ทรงแต่งตั้งผู้ชายคนนั้นให้เป็นเจ้าชายเหนือประชาชนของเขา เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาพระองค์ไว้”
\v 15 แล้วซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน แล้วซาอูลก็ได้ทรงนับประชาชนที่อยู่กับพระองค์ได้ประมาณหกร้อยคน
\v 16 ซาอูลกับโยนาธานพระราชโอรสของพระองค์ และประชาชนที่ได้อยู่กับทั้งสองพระองค์ ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่พวกฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช
\v 17 มีหน่วยจู่โจมออกมาจากค่ายพวกฟีลิสเตียสามหน่วย หน่วยหนึ่งหันไปทางโอฟราห์สู่แผ่นดินชูอัล
\s5
\p
\v 18 อีกหน่วยหนึ่งหันไปทางเบธโฮโรน และอีกหน่วยหนึ่งหันไปทางพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบยิมตรงไปถิ่นทุรกันดาร
\v 19 ทั่วแผ่นดินอิสราเอลไม่สามารถจะหาช่างเหล็กได้ เพราะพวกฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “เกรงว่าพวกฮีบรูจะทำดาบหรือหอกสำหรับพวกเขา”
\v 20 แต่คนอิสราเอลทั้งปวงได้เคยลงไปหาพวกฟีลิสเตียแต่ละคนเพื่อลับผานของเขา พลั่วของเขา ขวานของเขาและเคียวของเขา
\v 21 ค่าจ้างลับนั้นสองส่วนสามเชเขลสำหรับลับผานและพลั่ว และหนึ่งส่วนสามเชเขลสำหรับการลับสามง่าม ขวานและติดประตัก
\v 22 ดังนั้นเมื่อถึงวันทำศึกไม่มีดาบหรือหอกในมือของทหารที่ได้อยู่กับซาอูลและโยนาธาน มีเพียงซาอูลกับโยนาธานพระราชโอรสของพระองค์เท่านั้นที่ทรงมีอาวุธเหล่านั้น
\v 23 กองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียก็ได้ยกไปถึงทางข้ามของเมืองมิคมาช
\s5
\c 14
\p
\v 1 วันหนึ่งโยนาธานพระราชโอรสของซาอูลได้ตรัสกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “มาเถอะ ให้เราข้ามไปที่กองทหารฟีลิสเตียที่ฝั่งโน้น” แต่พระองค์ไม่ได้กราบทูลพระบิดาให้ทรงทราบ
\v 2 ซาอูลได้ทรงพำนักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิมซึ่งอยู่ที่มิโกรน มีทหารประมาณหกร้อยนายได้อยู่กับพระองค์
\v 3 รวมทั้งอาหิยาห์บุตรชายของอาหิทูบ (พี่ชายของอีคาโบด) ผู้เป็นบุตรชายของฟีเนหัส ผู้เป็นบุตรชายของเอลีปุโรหิตของพระยาห์เวห์ที่เมืองชิโลห์ ผู้ที่ได้สวมเสื้อเอโฟด พวกประชาชนไม่ได้ทราบว่าโยนาธานได้ไปแล้ว
\v 4 ตามทางข้ามเขาแต่ละที่ที่โยนาธานได้ต้องการที่จะข้ามไปยังกองทหารรักษาการณ์ของฟีลิสเตียนั้น มีหน้าผาหินอยู่ฟากหนึ่ง และมีหน้าผาหินที่อีกฟากหนึ่งที่มีชื่อว่าโบเซส และมีหน้าผาหินอีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์
\v 5 หน้าผาหินยอดหนึ่งอยู่ทางเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งอยู่ทางใต้หน้าเกบา
\s5
\p
\v 6 โยนาธานได้ตรัสกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการณ์พวกนี้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต บางทีพระยาห์เวห์จะทรงกระทำในนามพวกเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งพระยาห์เวห์ได้จากการทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย”
\v 7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ทูลว่า “ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของพระองค์มีพระประสงค์ ทรงมุ่งไปเถิด ข้าพระองค์อยู่กับพระองค์พร้อมที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์ ”
\v 8 แล้วโยนาธานได้ตรัสว่า “นี่แน่ะ พวกเราจะข้ามไปหาพวกทหารและพวกเราจะแสดงตัวพวกเราให้พวกเขา
\v 9 ถ้าพวกเขาพูดกับพวกเราว่า ‘จงรออยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะมาถึงตัวพวกเจ้า’ แล้วเราจะยืนในที่ของพวกเรา และจะไม่ขึ้นไปหาพวกเขา
\v 10 แต่ถ้าพวกเขาตอบว่า ‘จงขึ้นมาหาพวกเรา’ แล้วพวกเราจะขึ้นไปเพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือเรา นี่จะเป็นสัญญาณแก่เรา”
\s5
\p
\v 11 ดังนั้นทั้งสองจึงได้แสดงตัวแก่ให้กองทหารรักษาการณ์คนฟีลิสเตีย คนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “นี่แน่ะ พวกฮีบรูได้ออกมาจากรูที่พวกเขาซ่อนตัวแล้ว”
\v 12 แล้วกองทหารรักษาการณ์จึงได้ร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “จงขึ้นมาหาพวกเรา แล้วพวกเราจะแสดงบางสิ่งให้พวกเจ้า” โยนาธานจึงได้ทรงบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “จงตามข้ามา เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว”
\v 13 โยนาธานก็ทรงปีนขึ้นไปด้วยพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์และผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ก็ตามหลังพระองค์ไปด้วย พวกฟีลิสเตียนก็ได้ถูกฆ่าตายต่อพระพักตร์โยนาธาน และผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ก็ได้ฆ่าพวกเขาตามหลังพระองค์ไป
\v 14 การจู่โจมครั้งแรกที่โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ฆ่านั้นประมาณยี่สิบคนในพื้นที่ประมาณครึ่งเอเคอร์
\v 15 และเกิดความหวาดกลัวในค่ายในทุ่งนาและในพวกประชาชนทั้งหมด แม้แต่กองทหารรักษาการณ์และแม้แต่หน่วยจู่โจมก็ได้หวาดกลัว ได้เกิดแผ่นดินไหว และมีการหวาดกลัวอย่างยิ่ง
\s5
\p
\v 16 แล้วพวกยามของซาอูลที่อยู่กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามินก็ได้มองดูอยู่ ฝูงทหารของฟีลิสเตียก็แตกกระจายไป และพวกเขาก็ได้วิ่งวุ่นไปมา
\v 17 แล้วซาอูลจึงได้รับสั่งแก่ประชาชนที่อยู่กับพระองค์ว่า “จงนับและดูว่าใครไปจากพวกเราบ้าง” เมื่อพวกเขาได้นับดูแล้ว โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ขาดหายไป
\v 18 ซาอูลได้รับสั่งกับอาหิยาห์ว่า “จงนำหีบพระบัญญัติของพระเจ้ามาที่นี่” เพราะในเวลานั้นหีบพระบัญญัติยังอยู่กับประชาชนอิสราเอล
\v 19 ในขณะที่ซาอูลกำลังตรัสกับปุโรหิตความวุ่นวายในค่ายของคนฟีลิสเตียก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปและเพิ่มมากขึ้น แล้วซาอูลได้ตรัสกับปุโรหิตว่า "จงหดมือของท่านไว้ก่อน”
\v 20 ซาอูลและประชาชนทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับพระองค์ก็ได้มารวมกันและได้เข้าไปสนามรบ ดาบของพวกฟีลิสเตียทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนชาวเมืองของเขา และมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง
\s5
\p
\v 21 บัดนี้พวกฮีบรูเหล่านั้นผู้ที่เคยอยู่กับพวกฟีลิสเตียก่อนหน้านั้น และคนที่ไปในค่ายกับพวกเขา แม้กระนั้นพวกเขาก็กลับมาเข้ากับคนอิสราเอลที่อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน
\v 22 เมื่อคนอิสราเอลทั้งปวงที่ได้ซ่อนตัวอยู่ในแดนเทือกเขาเอฟราอิมได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี แม้แต่พวกเหล่านี้ก็ได้ไล่ติดตามพวกเขาในการต่อสู้
\v 23 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธอาเวนจนเลยไป
\v 24 ในวันนั้นคนอิสราเอลต้องทุกข์ยาก เพราะซาอูลทรงให้พวกประชาชนได้สาบานไว้ว่า “ถ้าใครรับประทานอาหารก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนที่เราจะได้แก้แค้นพวกศัตรูของเรา ผู้นั้นจะถูกสาปแช่ง” ดังนั้นไม่มีใครในกองทัพได้รับประทานอาหารเลย
\v 25 แล้วพวกประชาชนทั้งหมดก็ได้เข้ามาในป่า และที่นั่นมีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นดิน
\s5
\p
\v 26 เมื่อพวกประชาชนเข้าไปในป่า น้ำผึ้งก็กำลังไหลอยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะประชาชนได้กลัวคำสาบาน
\v 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรงให้พวกประชาชนได้สาบานไว้ พระองค์จึงทรงแหย่ปลายไม้ที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์และจิ้มที่รังผึ้ง พระองค์ก็ทรงเอาพระหัตถ์ของพระองค์ใส่พระโอษฐ์ของพระองค์ พระเนตรของพระองค์ก็สว่างขึ้น
\v 28 แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งในพวกประชาชนทูลตอบว่า “พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงให้พวกทหารสาบานว่า ‘ให้ผู้ที่รับประทานอาหารในวันนี้ถูกสาปแช่ง’ ถึงแม้ว่าพวกประชาชนจะอ่อนแรงจากความหิว”
\v 29 แล้วโยนาธานจึงได้กล่าวว่า “พระบิดาของข้าได้ทรงทำให้เกิดปัญหาแก่แผ่นดิน ดูซิว่าดวงตาของข้าสว่างเพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้เพียงนิดเดียว
\v 30 จะดียิ่งกว่านี้อีกเท่าใด ถ้าพวกประชาชนได้กินของที่ริบมาจากพวกศัตรูซึ่งพวกเขาหามาได้อย่างอิสระในวันนี้? เพราะว่าตอนนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียนั้นไม่มากมายเลย”
\s5
\p
\v 31 พวกเขาได้ฆ่าคนฟีลิสเตียในวันนั้นจากมิคมาช ถึงอัยยาโลน พวกประชาชนก็อ่อนเพลียยิ่งนัก
\v 32 พวกประชาชนได้วิ่งอย่างละโมบเข้าหาของที่ริบได้ และได้เอาแกะวัวและลูกวัว และได้ฆ่าพวกมันบนพื้นดินและพวกประชาชนก็ได้กินพร้อมกับเลือด
\v 33 แล้วพวกเขาก็ไปทูลซาอูลว่า “ดูเถิด พวกประชาชนกำลังทำบาปต่อพระยาห์เวห์ โดยได้รับประทานพร้อมกับเลือด” ซาอูลได้ทรงรับสั่งว่า “พวกเจ้าได้ประพฤติอย่างไม่สัตย์ซื่อแล้ว บัดนี้ จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้”
\v 34 ซาอูลได้ตรัสว่า “จงออกไปท่ามกลางพวกประชาชนและบอกพวกเขาว่า ‘จงให้ทุกคนนำวัวของเขาหรือแกะของเขามาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่าทำบาปต่อพระยาห์เวห์ โดยการรับประทานพร้อมกับเลือด’” ดังนั้นพวกประชาชนแต่ละคนก็ได้นำวัวของตนมาพร้อมพวกเขาในคืนนั้นและได้ฆ่าเสียที่นั่น
\v 35 ซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นแท่นบูชาแท่นแรกซึ่งพระองค์ได้สร้างถวายแด่พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 36 แล้วซาอูลได้รับสั่งว่า “ให้เราลงไปไล่ตามพวกฟีลิสเตียในตอนกลางคืน แล้วปล้นพวกเขาจนกระทั่งรุ่งเช้า อย่าให้พวกเขาเหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว” พวกเขาได้ตอบว่า “ขอทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” แต่ปุโรหิตได้กล่าวว่า “ให้เราเข้าเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด”
\v 37 ซาอูลก็ทูลถามพระเจ้าว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะไล่ติดตามพวกฟีลิสเตียหรือไม่? พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของอิสราเอลหรือ?” แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงตอบพระองค์ในวันนั้น
\v 38 แล้วซาอูลจึงได้ตรัสว่า “จงมาที่นี่ พวกท่านทั้งหมดที่เป็นผู้นำของพวกประชาชนจงเรียนรู้และดูว่าความบาปนี้ได้เกิดขึ้นได้อย่างไรในวันนี้
\v 39 เพราะว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงพระชนม์ผู้ทรงได้ช่วยกู้อิสราเอล ถึงแม้ว่าเป็นโยนาธานบุตรชายของเรา เขาก็จะต้องตายแน่นอน” แต่ไม่มีสักคนหนึ่งในพวกประชาชนทั้งสิ้นได้ทูลตอบพระองค์
\v 40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสราเอลทั้งปวงว่า “พวกท่านจะต้องอยู่ฝ่ายหนึ่ง และเราและโยนาธานบุตรชายของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง” และพวกประชาชนได้ทูลซาอูลว่า “ขอทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด”
\s5
\p
\v 41 ซาอูลทูลว่า "พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ถ้าหากข้าพระองค์หรือโยนาธานโอรสของข้าพระองค์ได้ทำบาปนี้ ขอทรงสำแดงอูริม แต่ถ้าหากเป็นประชาชนอิสราเอลของพระองค์ที่ได้ทำบาป ขอทรงสำแดงทูมมิม” แล้วโยนาธานกับซาอูลจึงได้จับฉลาก แต่กองทัพได้รอดพ้นจากความผิด
\v 42 แล้วซาอูลจึงรับสั่งว่า “ให้จับฉลากระหว่างเรากับโยนาธานโอรสของเรา” แล้วโยนาธานก็จับได้ฉลาก
\v 43 ซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า “จงบอกเราว่าเจ้าได้ทำอะไร” โยนาธานทูลพระองค์ว่า “ข้าพระบาทได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้า ซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อยเท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย”
\v 44 ซาอูลตรัสว่า “พระเจ้าทรงลงโทษและเราจะเพิ่มโทษนั้น ถ้าเจ้าไม่ตาย โยนาธานเอ๋ย”
\v 45 แล้วพวกประชาชนจึงทูลซาอูลว่า “โยนาธานสมควรตายหรือ ผู้ที่ได้นำความสำเร็จในชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอล? อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของพระองค์สักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้พระองค์ได้ทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า” ดังนั้นพวกประชาชนได้ทรงช่วยชีวิตของโยนาธานไว้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ตาย
\s5
\p
\v 46 แล้วซาอูลก็ได้หยุดไล่ตามพวกฟีลิสเตีย และพวกฟีลิสเตียได้กลับไปยังที่อยู่ของพวกเขา
\v 47 เมื่อซาอูลได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูของพระองค์ทั้งหมดทุกด้าน พระองค์ได้ทรงต่อสู้กับโมอับ กับพงศ์พันธุ์อัมโมน กับเอโดม กับบรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะทรงหันไปทางไหน พระองค์ทรงลงโทษพวกเขาอย่างเจ็บปวด
\v 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างกล้าหาญยิ่งและได้ทรงปราบปรามพวกอามาเลข พระองค์ได้ทรงช่วยกู้อิสราเอลให้พ้นจากมือของพวกที่ปล้นพวกเขา
\v 49 พระราชโอรสของซาอูลคือ โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และพระราชธิดาทั้งสองของพระองค์คือเมราบผู้เป็นบุตรีหัวปี และคนน้องคือมีคาล
\v 50 พระนามพระมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัม บุตรีของอาหิมาอัส ชื่อแม่ทัพของพระองค์คืออับเนอร์บุตรชายของเนอร์ พระปิตุลาของซาอูล
\v 51 คีชเป็นพระราชบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดาของอับเนอร์เป็นบุตรชายของอาบีเอล
\v 52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงครามอย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลได้ทรงเห็นผู้ชายคนไหนเป็นนักรบเก่งกล้า หรือเป็นคนแกล้วกล้าก็จะได้ทรงนำมารับใช้พระองค์
\s5
\c 15
\p
\v 1 ซามูเอลได้ทูลซาอูลว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นกษัตริย์เหนือประชาชนอิสราเอลของพระองค์ บัดนี้จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์
\v 2 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์จอมทัพได้ตรัสว่า ‘เราได้มองเห็นสิ่งที่อามาเลขได้ทำต่ออิสราเอลในการสกัดอิสราเอลระหว่างทาง เมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์
\v 3 บัดนี้จงไปและโจมตีอามาเลข และทำลายทุกอย่างที่เขามีทั้งหมด อย่าได้ปรานีพวกเขา แต่จงฆ่าทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็ก และเด็กทารก โค แกะ อูฐ และลา’”
\s5
\p
\v 4 ซาอูลจึงทรงเกณฑ์ประชาชนและตรวจพลที่เมืองเทลาอิม มีทหารราบ สองแสนคน และคนเผ่ายูดาห์หนึ่งหมื่นคน
\v 5 แล้วซาอูลได้ทรงยกกองทัพมายังเมืองอามาเลข และคอยอยู่ในหุบเขา
\v 6 แล้วซาอูลตรัสกับคนเคไนต์ว่า “จงไป จงแยกไปเสีย ให้ออกไปจากคนอามาเลข เพื่อเราจะไม่ทำลายพวกท่านไปพร้อมกับพวกเขา เพราะพวกท่านได้แสดงความเมตตาต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดเมื่อพวกเขาขึ้นมาจากอียิปต์” ดังนั้นคนเคไนต์จึงแยกออกไปจากคนอามาเลข
\v 7 แล้วซาอูลจึงทรงโจมตีคนอามาเลขตั้งแต่ฮาวิลาห์ไปจนถึงชูร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์
\v 8 แล้วพระองค์ทรงจับอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และพระองค์ทรงทำลายประชาชนทั้งหมดด้วยคมดาบ
\s5
\p
\v 9 แต่ซาอูลและพวกประชาชนได้ไว้ชีวิตอากัก และส่วนที่ดีที่สุดของฝูงแกะฝูงโค เหล่าลูกวัวอ้วนพี และบรรดาแกะ สิ่งที่ดีๆ ทั้งหมดพวกเขาไม่ได้ทำลาย แต่พวกเขาทำลายอย่างสิ้นเชิงเฉพาะสิ่งที่พวกเขาดูถูกและเห็นว่าไร้ค่า
\v 10 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังซามูเอลว่า
\v 11 “เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันจากการตามเรา และไม่ได้ทำตามพระบัญญัติของเรา” ซามูเอลก็โกรธเขาจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ตลอดคืน
\v 12 และซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อไปเฝ้าซาอูลในตอนเช้านั้น ซามูเอลได้รับทราบว่า “ซาอูลเสด็จมาที่ภูเขาคารเมล และพระองค์ได้ทรงมาสร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์แล้วก็ได้หันกลับไปและได้มุ่งผ่านลงไปจนถึงกิลกาล”
\s5
\p
\v 13 แล้วซามูเอลก็ได้มาหาซาอูล และซาอูลได้ตรัสกับเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์แล้ว”
\v 14 ซามูเอลทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะนี้ที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ข้าพเจ้าได้ยินคืออะไรกัน?”
\v 15 ซาอูลทรงตอบว่า “พวกเขาได้นำพวกมันมาจากคนอามาเลข เพราะว่าพวกประชาชนได้ไว้ชีวิตบรรดาแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อให้เป็นเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นพวกเราได้ทำลายเสียสิ้น”
\v 16 แล้วซามูเอลจึงทูลซาอูลว่า “เดี๋ยวก่อน ข้าพเจ้าจะขอเรียนท่านว่าพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไรเมื่อคืนนี้” และซาอูลได้กล่าวว่า “จงกล่าวเถิด”
\s5
\p
\v 17 ซามูเอลทูลว่า “แม้ท่านเป็นแต่เพียงผู้เล็กน้อยในสายตาของท่าน ท่านไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของบรรดาเผ่าอิสราเอลหรือ? แล้วพระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมท่านไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
\v 18 และพระยาห์เวห์ได้ทรงใช้ให้ท่านออกไปตามทางของท่าน พระองค์ตรัสว่า ‘จงไป จงทำลายคนอามาเลขพวกคนบาปให้หมดสิ้น และให้ต่อสู้กับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะหมดสิ้นไป’
\v 19 ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่ไปยึดของริบต่างๆ และได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์หรือ?”
\v 20 แล้วซาอูลได้ตรัสกับซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์แล้วจริงๆ ข้าพเจ้าได้ไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้จับตัวอากักกษัตริย์แห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขหมดสิ้น
\s5
\p
\v 21 แต่พวกประชาชนได้เก็บของริบบางส่วน บรรดาแกะและโคที่ดีที่สุดจากสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น เพื่อนำมาเป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล”
\v 22 ซามูเอลทูลว่า “พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? การเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และที่จะฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
\v 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์”
\s5
\p
\v 24 และซาอูลตรัสกับซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และถ้อยคำของท่าน เพราะข้าพเจ้ากลัวพวกทหารและฟังเสียงของพวกเขา
\v 25 เพราะฉะนั้นขอท่านโปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าและกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระยาห์เวห์”
\v 26 ซามูเอลทูลซาอูลว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้ทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว”
\v 27 ขณะที่ซามูเอลหันจากไป ซาอูลก็ยึดชายเสื้อของท่านไว้ และเสื้อนั้นก็ขาด
\s5
\p
\v 28 ซามูเอลได้ทูลท่านว่า “ในวันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงฉีกราชอาณาจักรอิสราเอลจากท่านเสียแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน
\v 29 ยิ่งกว่านั้นองค์ผู้ทรงพลังของอิสราเอลจะไม่ทรงมุสาหรือทรงเปลี่ยนพระทัย เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นมนุษย์ที่เปลี่ยนใจ”
\v 30 แล้วซาอูลได้ตรัสว่า “ข้าพเจ้าทำบาปแล้ว แต่ตอนนี้ขอท่านได้โปรดให้เกียรติแก่ข้าพเจ้าต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของประชาชนของข้าพเจ้าและต่อหน้าอิสราเอล ขอกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน”
\v 31 ดังนั้นซามูเอลจึงได้กลับตามซาอูลไป และซาอูลก็ได้นมัสการพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 32 แล้วซามูเอลได้กล่าวว่า “พวกท่านจงนำอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขมาให้ข้าพเจ้า” และอากักก็เข้ามาหาท่านถูกล่ามด้วยโซ่ และได้กล่าวว่า “อันที่จริง ความขมขื่นแห่งความตายก็ผ่านพ้นไปแล้ว”
\v 33 ซามูเอลได้กล่าวว่า “ดาบของท่านได้ทำให้พวกผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรในหมู่พวกผู้หญิงฉันนั้น” และซามูเอลก็ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล
\v 34 ซามูเอลก็ไปรามาห์และซาอูลก็เสด็จขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูล
\v 35 ซามูเอลไม่ได้มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพของเขา เพราะเขาได้โศกเศร้าเกี่ยวกับซาอูล พระยาห์เวห์ได้ทรงเสียพระทัยที่ได้ทรงตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
\s5
\c 16
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “อีกนานเท่าใดที่เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูล เราได้ละทิ้งเขาจากการเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว? จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้าและจงไป เราจะส่งเจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าเราได้เลือกกษัตริย์องค์หนึ่งแล้วสำหรับเราในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของเขา"
\v 2 ซามูเอลก็ได้ทูลว่า “ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้? ถ้าซาอูลได้ยินเรื่องนี้ เขาจะฆ่าข้าพระองค์เสีย” พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “จงนำโคตัวเมียหนึ่งตัวไปกับเจ้าและกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ามาเพื่อถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์’
\v 3 จงเรียกเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชา และเราจะแสดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าจะต้องทำอะไร เจ้าจะเจิมผู้ซึ่งเราจะบอกเจ้าเพื่อเรา"
\s5
\p
\v 4 ซามูเอลได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสและไปที่เบธเลเฮม พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นขณะที่ออกมาพบเขาและกล่าวว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ?”
\v 5 เขาจึงตอบว่า “อย่างสันติ ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ จงเตรียมชำระตัวของพวกท่านให้บริสุทธิ์และมากับข้าพเจ้าไปที่การถวายสัตวบูชา” แล้วซามูเอลจึงได้ชำระตัวเจสซีและบรรดาบุตรของเขาให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังการถวายสัตวบูชา
\v 6 เมื่อพวกเขาได้มาแล้ว เขาก็มองเห็นเอลีอับ และกล่าวกับตัวเองว่าผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงให้เจิมไว้ได้ยืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้วแน่นอน
\s5
\p
\v 7 แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกของเขา หรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะว่าเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ”
\v 8 แล้วเจสซีจึงเรียกอาบีนาดับและให้เขาเดินผ่านหน้าซามูเอล แล้วซามูเอลได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน”
\v 9 แล้วเจสซีได้ให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และซามูเอลกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน”
\v 10 แล้วเจสซีได้ให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล แล้วซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกคนใดเลยจากคนเหล่านี้”
\s5
\p
\v 11 แล้วซามูเอลกล่าวกับเจสซีว่า “พวกนี้เป็นบุตรชายทั้งหมดของท่านหรือ?” เขาตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องเหลืออยู่ แต่เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลกล่าวกับเจสซีว่า “จงใช้คนไปและนำเขามา เพราะพวกเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่”
\v 12 เจสซีได้ใช้คนไปและนำเขามา บัดนี้บุตรชายของเขาเป็นคนผิวแดงมีดวงตาสวยและรูปร่างงาม พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขา เพราะเขาคือคนนั้น”
\v 13 แล้วซามูเอลจึงนำเขาสัตว์ที่มีน้ำมันและเจิมเขาไว้ท่ามกลางพวกพี่ชายของเขา พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงสวมทับดาวิดนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แล้วซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นและกลับไปรามาห์
\v 14 บัดนี้พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงละจากซาอูล และวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระยาห์เวห์ก็ได้รบกวนเขาแทน
\v 15 พวกมหาดเล็กของซาอูลได้ทูลว่า “ดูเถิด วิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ากำลังรบกวนพระองค์อยู่
\s5
\p
\v 16 ขอเจ้านายของพวกข้าพระบาทจงบัญชาพวกผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทที่อยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีความชำนาญในการดีดพิณ แล้วเมื่อวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ามาเหนือฝ่าพระบาท เขาก็จะดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะดีขึ้น”
\v 17 ซาอูลจึงรับสั่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “จงไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีและนำเขามาหาเรา”
\v 18 แล้วคนหนึ่งในพวกชายหนุ่มได้ตอบและทูลว่า “ข้าพระบาทเห็นบุตรชายคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม ผู้ซึ่งมีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนแข็งแรง เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ เป็นคนสุขุมในการพูด และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระยาห์เวห์สถิตกับเขา”
\v 19 ดังนั้นซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปยังเจสซีและกล่าวว่า “จงส่งดาวิดบุตรชายของท่านที่อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา”
\v 20 เจสซีได้จัดลาหนึ่งตัวบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง และลูกแพะหนึ่งตัว และส่งไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล
\v 21 แล้วดาวิดได้มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับหน้าที่ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล
\v 22 ซาอูลได้ส่งข่าวไปยังเจสซีว่า “ขอให้ดาวิดอยู่กับเรา เพราะเขาเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของเรา”
\v 23 เมื่อใดก็ตามที่วิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ามาเหนือซาอูล ดาวิดก็ได้หยิบพิณและเล่น ดังนั้นซาอูลก็ทรงรู้สึกสดชื่นและดีขึ้น และวิญญาณที่มุ่งร้ายนั้นก็จากพระองค์ไป
\s5
\c 17
\p
\v 1 บัดนี้คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทัพของพวกเขาเพื่อทำสงคราม พวกเขามารวมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นของยูดาห์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับอาเซคาห์ ในเอเฟสดัมมิม
\v 2 ซาอูลและคนอิสราเอลก็ได้รวมกันและตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์ และวางแนวรบเพื่อต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย
\v 3 คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่ง และอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
\s5
\p
\v 4 มีผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตีย ผู้ชายคนนี้ชื่อโกลิอัทแห่งกัท ผู้ซึ่งสูงหกศอกกับหนึ่งคืบ
\v 5 เขาสวมหมวกสัมฤทธิ์ที่ศีรษะของเขา และสวมเสื้อเกราะที่ทำเป็นวงร้อยกัน เสื้อเกราะนั้นหนักประมาณห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์
\v 6 เขาสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกซัดทองสัมฤทธิ์อยู่ที่บ่าทั้งสองข้างของเขา
\v 7 ด้ามหอกของเขานั้นใหญ่ พร้อมด้วยเชือกร้อยสำหรับการพุ่งมันเหมือนกับสายบนไม้หูกทอผ้า ปลายหอกเป็นเหล็กหนักประมาณหกร้อยเชเขล คนถือโล่ของเขาก็เดินนำหน้าเขา
\s5
\p
\v 8 เขายืนและตะโกนมาทางแนวรบของอิสราเอลว่า “ทำไมพวกเจ้าออกมาเพื่อเตรียมทำสงครามเล่า? ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าก็เป็นข้ารับใช้ของซาอูลไม่ใช่หรือ? จงเลือกชายคนหนึ่งแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้า
\v 9 ถ้าเขาชนะในการต่อสู้กับข้าและฆ่าข้าได้ แล้วพวกเราจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเราและรับใช้พวกเรา”
\v 10 อีกครั้งหนึ่งคนฟีลิสเตียกล่าวว่า “ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอลในวันนี้ จงส่งชายคนหนึ่งมาต่อสู้กัน”
\v 11 เมื่อซาอูลและอิสราเอลทั้งหมดได้ยินสิ่งที่คนฟีลิสเตียนั้นได้กล่าว พวกเขาก็ตกใจและหวาดกลัวยิ่งนัก
\s5
\p
\v 12 บัดนี้ดาวิดเป็นบุตรของชาวเอฟราธาห์คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรชายแปดคน เจสซีเป็นคนมีอายุมากแล้วในรัชสมัยของซาอูล
\v 13 บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ได้ตามซาอูลไปทำสงคราม ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำสงครามนั้นคือ เอลีอับ บุตรหัวปี คนที่สองอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์
\v 14 ดาวิดเป็นบุตรคนสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนได้ตามซาอูลไป
\v 15 ดาวิดได้ไปกลับระหว่างกองทัพของซาอูลและการเลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮมเพื่อที่จะเลี้ยงดูพวกมัน
\v 16 เป็นเวลานานถึงสี่สิบวันที่คนฟีลิสเตียที่แข็งแรงคนนั้น ได้เข้ามาใกล้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นเพื่อท้าให้คนออกไปสู้กับเขา
\s5
\p
\v 17 แล้วเจสซีพูดกับดาวิดบุตรของตนว่า “จงนำข้าวคั่วหนึ่งเอฟาห์นี้ และขนมปังสิบก้อนนี้ และนำไปให้พวกพี่ชายของเจ้าที่ค่ายอย่างรวดเร็ว
\v 18 และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้ผู้บังคับกองพันของพวกเขาด้วยเช่นกัน จงดูว่าพวกพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วนำหลักฐานที่แสดงว่าพวกเขาสบายดีกลับมาด้วย
\v 19 พวกพี่ของเจ้าอยู่กับซาอูลกับคนอิสราเอลทั้งปวงที่หุบเขาเอลาห์ สู้รบกับคนฟีลิสเตีย"
\v 20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งฝูงสัตว์ให้อยู่ในความดูแลของคนเลี้ยงแกะ เขาได้เอาเสบียงอาหารและจากไปตามที่เจสซีได้สั่งเขา เขาได้มาถึงค่าย ขณะเมื่อกองทัพกำลังจะยกออกไปแนวรบ กองทัพได้โห่ร้องเพื่อทำสงคราม
\v 21 แล้วอิสราเอลกับคนฟีลิสเตียต่างก็ได้ตั้งแนวรบเผชิญหน้ากัน
\v 22 ดาวิดทิ้งสัมภาระไว้กับผู้ดูแลกองสัมภาระ เขาวิ่งไปที่กองทัพและทักทายพวกพี่ชายของเขา
\s5
\p
\v 23 เมื่อเขากำลังพูดกับพวกพี่ชาย คนฟีลิสเตียที่แข็งแรงชาวกัท ชื่อโกลิอัท ได้ออกมาจากแนวรบของคนฟีลิสเตีย และกล่าวถ้อยคำอย่างที่เคยกล่าวมา และดาวิดก็ได้ยิน
\v 24 เมื่อคนอิสราเอลทั้งปวงเห็นผู้ชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไปและหวาดกลัวเขามาก
\v 25 คนอิสราเอลพูดว่า “พวกเจ้าเคยเห็นชายที่ออกมานั้นหรือไม่? เขาได้ออกมาท้าทายอิสราเอล กษัตริย์จะประทานความร่ำรวยอย่างยิ่งให้แก่ผู้ชายผู้ที่ฆ่าเขาได้ และพระองค์จะประทานราชธิดาของพระองค์แต่งงานด้วย และทำให้ครอบครัวของบิดาของเขารับการยกเว้นภาษีในอิสราเอล”
\v 26 ดาวิดกล่าวแก่พวกผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่ผู้ชายที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามไปจากอิสราเอล? คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้เป็นใคร ถึงได้มาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?”
\v 27 แล้วพวกประชาชนได้กล่าวซ้ำในสิ่งที่พวกเขาได้เคยพูดและบอกเขาว่า “ดังที่ได้กล่าวมาแล้วสำหรับผู้ชายที่ฆ่าเขาได้ก็จะได้รับตามนั้น"
\s5
\p
\v 28 เอลีอับพี่ชายคนโตได้ยินดาวิดพูดกับพวกผู้ชาย เอลีอับก็โกรธดาวิด และเขากล่าวว่า “เจ้าลงมาที่นี่ทำไม? เจ้าได้ทิ้งแกะไม่กี่ตัวไว้กับผู้ใดในที่ถิ่นทุรกันดาร? ข้าเองรู้ถึงความอวดดีของเจ้า และความคิดชั่วในใจของเจ้า เพราะเจ้าได้ลงมาเพื่อที่เจ้าจะมาดูสงคราม”
\v 29 ดาวิดจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าได้ทำอะไรไปหรือยัง? ข้าก็แค่ถามไม่ใช่หรือ?"
\v 30 เขาจึงหันไปหาคนอื่นเสีย และพูดอย่างเดียวกัน พวกประชาชนก็ตอบเขาเหมือนอย่างคราวก่อน
\v 31 เมื่อถ้อยคำที่ดาวิดพูดนั้นได้ยินกันทั่ว พวกเขาจึงทูลให้ซาอูลทรงทราบ พระองค์จึงทรงให้นำดาวิดมา
\v 32 แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนฟีลิสเตียคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้”
\v 33 ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต้านคนฟีลิสเตียนี้เพื่อสู้รบกับเขา เพราะเจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่ม และเขาเป็นนักรบมาตั้งแต่วัยหนุ่มของเขา"
\s5
\p
\v 34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงฝูงแกะของบิดา เมื่อสิงโตหรือหมีได้มาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง
\v 35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามมันไปและจู่โจมมัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน เมื่อมันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับคางของมัน ทุบตีมัน และฆ่ามัน
\v 36 ผู้รับใช้ของพระองค์เคยฆ่าสิงโตและหมีมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”
\v 37 ดาวิดทูลว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี พระองค์จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียนี้” แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า “จงไปเถอะ และขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า”
\s5
\p
\v 38 ซาอูลจึงทรงสวมเครื่องทรงของพระองค์ให้ดาวิด พระองค์ได้ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และทรงสวมเสื้อเกราะที่ทำเป็นวงร้อยด้วยโซ่ให้เขา
\v 39 ดาวิดได้คาดดาบทับเครื่องอาวุธของเขา แต่เขาไม่สามารถจะเดินได้ เพราะว่าเขาไม่รับการฝึกกับสิ่งเหล่านั้น แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระองค์ไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไปได้ เพราะว่าข้าพระองค์ไม่เคยได้ฝึกฝนกับพวกนี้มาก่อน” ดังนั้นดาวิดจึงถอดเครื่องทรงทั้งหมดออกจากเขา
\v 40 เขาถือไม้เท้าไว้ในมือ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากลำธารใส่ไว้ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขา สลิงก็อยู่ในมือของเขาเมื่อเขาออกไปหาคนฟีลิสเตีย
\s5
\p
\v 41 คนฟีลิสเตียนั้นได้ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินนำหน้า
\v 42 เมื่อคนฟีลิสเตียมองดูรอบๆ และเห็นดาวิด คนฟิลิสเตียก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นแต่เพียงเด็ก ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู
\v 43 แล้วคนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือ เจ้าจึงมาหาข้าด้วยไม้เท้า?” และคนฟีลิสเตียก็สาปแช่งดาวิด โดยใช้นามของพวกพระของเขา
\v 44 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “จงมาหาข้า และข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในท้องฟ้าและให้สัตว์ในป่า”
\v 45 ดาวิดตอบคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทาย
\s5
\p
\v 46 วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงมอบชัยชนะเหนือท่านให้ข้า และข้าจะฆ่าท่านและตัดศีรษะจากลำตัวของท่าน วันนี้ข้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่าแห่งแผ่นดิน เพื่อทั้งโลกจะรู้ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งในอิสราเอล
\v 47 และชุมนุมนี้ทั้งสิ้นจะรู้ว่า พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทานชัยชนะด้วยดาบหรือหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบพวกท่านไว้ในมือของพวกเรา”
\v 48 เมื่อคนฟีลิสเตียนั้นลุกขึ้นและเข้ามาใกล้ดาวิด แล้วดาวิดก็วิ่งอย่างรวดเร็วเข้าหากองทัพข้าศึกเพื่อปะทะกับเขา
\v 49 ดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่าม หยิบหินก้อนหนึ่งออกมา เหวี่ยงด้วยสลิง และถูกหน้าผากของคนฟีลิสเตีย ก้อนหินจมฝังเข้าไปในหน้าผากของคนฟีลิสเตีย เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
\v 50 ดาวิดเอาชนะคนฟีลิสเตียได้ด้วยสลิงและก้อนหินหนึ่งก้อน เขาตีคนฟีลิสเตียและฆ่าเสีย ไม่มีดาบอยู่ในมือของดาวิดเลย
\v 51 จากนั้นดาวิดจึงวิ่งไปและยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตีย และหยิบดาบของคนฟิลิสเตียนั้นโดยชักออกจากฝัก ดาวิดฆ่าเขาและตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบนั้น เมื่อพวกฟีลิสเตียเห็นว่าผู้ชายที่แข็งแรงของเขาได้ตายเสียแล้ว พวกเขาก็ได้หนีไป
\s5
\p
\v 52 แล้วคนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องและไล่ตามพวกฟีลิสเตียไปไกลจนถึงหุบเขาและถึงประตูของเอโครน คนฟีลิสเตียได้ตายกลาดเกลื่อนตามทางถึงชาอาราอิม ตลอดทางไปถึงกัทและเอโครน
\v 53 ประชาชนอิสราเอลได้กลับมาจากการไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย พวกเขาได้ปล้นค่ายของคนเหล่านั้น
\v 54 ดาวิดได้นำศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นมาที่เยรูซาเล็ม แต่เขาได้วางเครื่องอาวุธของเขาไว้ในเต็นท์ของเขา
\v 55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย พระองค์จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า “อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร?” และอับเนอร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์ไม่ทราบ”
\v 56 ซาอูลจึงรับสั่งว่า “ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร”
\v 57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าพวกฟีลิสเตีย อับเนอร์ได้มาพาตัวเขาและนำไปเข้าเฝ้าซาอูล พร้อมด้วยศีรษะของคนฟีลิสเตียในมือของเขา
\v 58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร?” และดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของพระองค์”
\s5
\c 18
\p
\v 1 เมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว พระทัยของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานทรงรักดาวิดอย่างรักชีวิตของพระองค์
\v 2 ซาอูลทรงให้ดาวิดได้ทำหน้าที่ของเขาตั้งแต่วันนั้น พระองค์ไม่ทรงยอมให้เขากลับไปบ้านบิดาของเขา
\v 3 แล้วโยนาธานกับดาวิดก็ได้ทำพันธสัญญาแห่งมิตรภาพ เพราะพระองค์ทรงรักเขาอย่างกับรักชีวิตของพระองค์
\v 4 โยนาธานได้ทรงถอดฉลองพระองค์ที่พระองค์ทรงสวมอยู่ และทรงมอบให้แก่ดาวิดพร้อมทั้งเครื่องอาวุธ เช่นเดียวกันดาบของพระองค์ คันธนู และเข็มขัด
\v 5 ไม่ว่าดาวิดจะออกไปที่ใดตามที่ซาอูลทรงใช้ไป เขาก็ประสบความสำเร็จ ซาอูลจึงทรงตั้งเขาให้อยู่เหนือพวกนักรบ สิ่งนี้เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของประชาชนทั้งปวงและในสายตาของพวกข้าราชการของซาอูลด้วย
\s5
\p
\v 6 เมื่อพวกเขากลับจากการมีชัยชนะเหนือคนฟีลิสเตีย พวกผู้หญิงได้ออกมาจากเมืองทั้งหมดของอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำ ถวายการต้อนรับกษัตริย์ซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยใจยินดี และด้วยเครื่องดนตรี
\v 7 พวกผู้หญิงได้ร้องเพลงหลายบทเพลงในขณะที่พวกเขาเล่นดนตรี พวกเธอร้องว่า “ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ”
\v 8 ซาอูลกริ้วยิ่งนัก คำที่ร้องนี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาได้ยกย่องดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ แต่พวกเขายกย่องเราว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ เขาจะมีอะไรมากกว่านี้ได้อีกนอกจากการเป็นกษัตริย์?”
\v 9 ซาอูลทรงจับตาดูดาวิดด้วยความสงสัยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
\v 10 ในวันต่อมาวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้าก็ได้เข้าสิงซาอูล พระองค์ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดังนั้นดาวิดจึงได้เล่นเครื่องดนตรีอย่างที่เขาเคยทำในแต่ละวัน ซาอูลทรงถือหอกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
\v 11 ซาอูลได้ทรงพุ่งหอก เพราะทรงคิดว่า “ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย” แต่ดาวิดได้หนีจากพระพักต์ของซาอูลสองครั้งในสถานการณ์แบบนี้
\s5
\p
\v 12 ซาอูลได้ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเขา แต่ไม่ได้สถิตกับซาอูลอีกแล้ว
\v 13 ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปจากพระองค์และแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้บังคับการกองพัน โดยวิธีนี้ดาวิดจึงได้ออกไปและอยู่ต่อหน้าประชาชน
\v 14 ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกทาง เพราะพระยาห์เวห์ทรงสถิตกับเขา
\v 15 เมื่อซาอูลทรงเห็นเขาประสบความสำเร็จมากขึ้น พระองค์ทรงกลัวเขา
\v 16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเขาได้ออกไปและกลับมาต่อหน้าพวกเขา
\v 17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบนางให้เจ้าไว้เป็นภรรยา ขอเพียงแต่เจ้าจงเป็นคนกล้าหาญสำหรับเราและจงสู้ในสงครามของพระยาห์เวห์” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราต่อสู้เขา แต่ให้มือคนฟีลิสเตียต่อสู้เขา”
\v 18 ดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทเป็นใคร และใครเป็นวงศ์ญาติของข้าพระบาท หรือตระกูลบิดาของข้าพระบาทในอิสราเอล ที่ข้าพระบาทจะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์?”
\v 19 แต่เมื่อถึงเวลาที่เมื่อเมราบราชธิดาของซาอูลควรจะยกให้ดาวิด นางได้ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
\s5
\p
\v 20 แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้หลงรักดาวิด พวกเขาทูลซาอูล และเรื่องนี้ได้เป็นที่พอพระทัยพระองค์
\v 21 แล้วซาอูลทรงดำริว่า “เราจะยกนางให้แก่เขา เพื่อนางจะเป็นกับดักเขาและมือของพวกฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เขา” ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า “เจ้าจะเป็นบุตรเขยของเรา”
\v 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า “จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ‘นี่แน่ะ กษัตริย์ทรงพอพระทัยในเจ้า และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเจ้า และบัดนี้จงเป็นบุตรเขยของกษัตริย์เถิด’”
\v 23 ดังนั้นพวกมหาดเล็กของซาอูลได้พูดถ้อยคำเหล่านี้ให้ดาวิด แล้วดาวิดได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ด้วยข้าพเจ้าเป็นคนยากจน และไม่ได้เป็นที่นับถือแต่อย่างใด?”
\v 24 พวกมหาดเล็กของซาอูลจึงได้รายงานต่อพระองค์ถึงถ้อยคำของดาวิด
\v 25 แล้วซาอูลจึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดดังนี้แก่ดาวิด ‘กษัตริย์ไม่ทรงปรารถนาสินสอดใดๆ นอกจากหนังปลายองคชาตหนึ่งร้อยอันของพวกฟีลิสเตีย เพื่อจะได้ทรงแก้แค้นพวกศัตรูของกษัตริย์’” บัดนี้ซาอูลได้ทรงคิดที่จะให้ดาวิดล้มลงด้วยมือของพวกฟีลิสเตีย
\s5
\p
\v 26 เมื่อพวกมหาดเล็กบอกถ้อยคำเหล่านั้นให้ดาวิด เรื่องนี้ก็เป็นที่พอใจของดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์
\v 27 ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป ดาวิดได้ไปพร้อมกับคนทั้งหลายของเขาและฆ่าพวกฟีลิสเตียสองร้อยคน ดาวิดได้นำหนังปลายองคชาตของพวกเขา และได้ถวายเต็มจำนวนให้แก่กษัตริย์ เพื่อที่เขาจะได้เป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ดังนั้นซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด
\v 28 เมื่อซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระยาห์เวห์สถิตกับดาวิด และมีคาลพระราชธิดาของซาอูลทรงรักเขา
\v 29 ซาอูลทรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ซาอูลจึงทรงเป็นศัตรูของดาวิดตลอดมา
\v 30 แล้วบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียก็ออกมาเพื่อทำสงคราม และไม่ว่าพวกเขาจะออกมาสักกี่ครั้ง ดาวิดก็ประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่าบรรดาข้าราชการทั้งสิ้นของซาอูล ดังนั้นชื่อของเขาจึงเป็นที่นับถืออย่างมาก
\s5
\c 19
\p
\v 1 ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์และกับบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ว่า พวกเขาควรฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลได้พอพระทัยในดาวิดอย่างยิ่ง
\v 2 ดังนั้นโยนาธานทรงบอกกับดาวิดว่า “ซาอูลเสด็จพ่อของฉันหาช่องจะฆ่าท่าน เพราะฉะนั้นจงระวังให้ดีในตอนเช้าพรุ่งนี้และซ่อนตัวไว้ในสถานที่ลับ
\v 3 ฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อในทุ่งนาที่ท่านอยู่ และฉันจะทูลเสด็จพ่อเกี่ยวกับเรื่องของท่าน ถ้าฉันรู้เรื่องอะไร ฉันจะบอกให้ท่านทราบ”
\v 4 โยนาธานทรงกล่าวชมดาวิดต่อซาอูลราชบิดาและทูลว่า “ขออย่าให้กษัตริย์ทรงทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เพราะดาวิดไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท และการงานของเขาเพื่อฝ่าพระบาทก็ดียิ่งนัก
\v 5 เพราะเขาได้เสี่ยงชีวิตของเขา และฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาทได้ทรงเห็นแล้ว และทรงชื่นชมยินดี ทำไมฝ่าพระบาทจะทรงทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด โดยฆ่าดาวิดเสียอย่างไม่มีเหตุผล?”
\s5
\p
\v 6 ซาอูลทรงฟังโยนาธาน ซาอูลทรงปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เขาจะไม่ถูกฆ่า”
\v 7 แล้วโยนาธานได้ทรงเรียกดาวิด และโยนาธานทรงบอกเขาทุกสิ่ง โยนาธานทรงนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และเขาก็ได้เข้าเฝ้าพระองค์อย่างแต่ก่อน
\v 8 สงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง ดาวิดได้ออกไปต่อสู้กับพวกฟีลิสเตียและปราบปรามพวกเขาด้วยการฆ่าอย่างมากมาย พวกเขาจึงหนีไปต่อหน้าดาวิด
\v 9 ต่อมาวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระยาห์เวห์ก็มาเหนือซาอูลเมื่อพระองค์ประทับในวังของพระองค์พร้อมด้วยหอกอยู่ในพระหัตถ์ และขณะที่ดาวิดกำลังเล่นเครื่องดนตรีของเขา
\v 10 ซาอูลได้ทรงพยายามพุ่งหอกหมายเสียบดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่ดาวิดหลบหอกของซาอูลได้ ดังนั้นซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง ดาวิดก็หลบหนีไปได้ในคืนนั้น
\s5
\p
\v 11 ซาอูลทรงใช้พวกผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเขาเพื่อจะฆ่าเขาเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกเขาว่า “ถ้าคืนนี้เธอไม่หนีเอาตัวรอด พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย”
\v 12 ดังนั้นมีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง เขาก็ได้ไปและหนีรอดได้
\v 13 มีคาลได้เอารูปเคารพของครัวเรือนมาและได้วางไว้บนเตียงนอน แล้วนางก็ได้วางหมอนขนแพะไว้ที่หัวของมัน แล้วได้เอาผ้าห่มคลุมไว้
\v 14 เมื่อซาอูลได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด นางได้ตอบว่า “เขาไม่สบาย”
\v 15 แล้วซาอูลได้ส่งพวกผู้สื่อสารนั้นไปดูดาวิด ได้บัญชาว่า “จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย”
\v 16 เมื่อพวกผู้สื่อสารเข้ามา ดูเถิด รูปเคารพของครัวเรือนก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่หัวของมัน
\v 17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า “ทำไมเจ้าจึงได้หลอกลวงข้าอย่างนี้และปล่อยศัตรูของข้าไปเสีย ดังนั้นเขาจึงได้หนีไป?” มีคาลทูลตอบซาอูลว่า “เขาพูดกับหม่อมฉันว่า ‘ปล่อยฉันไป ควรหรือที่ฉันจะต้องฆ่าเธอ?’”
\s5
\p
\v 18 บัดนี้ดาวิดก็ได้หนีรอดไป เขาไปหาซามูเอลที่รามาห์ และเล่าให้เขาฟังทุกสิ่งที่ซาอูลได้ทรงกระทำต่อเขา แล้วซามูเอลก็ไปและอยู่ที่นาโยท
\v 19 มีคนได้ไปทูลซาอูลกล่าวว่า “ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในรามาห์”
\v 20 ซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด เมื่อพวกเขาเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้าได้สวมทับพวกผู้สื่อสารของซาอูล และพวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย
\v 21 เมื่อซาอูลทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นได้เผยพระวจนะด้วย ดังนั้นซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปเป็นครั้งที่สาม พวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย
\v 22 แล้วพระองค์ได้เสด็จไปที่รามาห์เอง และมาถึงบ่อน้ำลึกที่ในเมืองเสคู พระองค์ทรงถามว่า “ซามูเอลกับดาวิดอยู่ที่ไหน?” มีบางคนทูลว่า “ดูเถิด พวกเขาอยู่ที่นาโยทในรามาห์”
\v 23 ซาอูลจึงเสด็จไปนาโยทในรามาห์ แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาเหนือพระองค์ และขณะที่พระองค์ทรงไป พระองค์ได้ทรงเผยพระวจนะจนกระทั่งเสด็จถึงนาโยทที่รามาห์
\v 24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล พระองค์ด้ทรงเปลือยพระวรกายอยู่ตลอดวันนั้นและตลอดคืนนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงได้ถามว่า “ซาอูลอยู่ในท่ามกลางพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
\s5
\c 20
\p
\v 1 แล้วดาวิดก็ได้หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และได้มากล่าวต่อโยนาธานว่า “ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งใดหรือ? อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงทรงต้องการเอาชีวิตของข้าพเจ้า?”
\v 2 โยนาธานกล่าวตอบดาวิดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ท่านจะไม่ตาย เสด็จพ่อไม่ได้ทรงทำเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กโดยไม่ทรงบอกให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า? ไม่เป็นดังนั้นแน่”
\v 3 แต่ดาวิดได้สาบานอีกครั้งและกล่าวว่า “เสด็จพ่อของท่านทรงทราบแน่ว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน พระองค์ทรงกล่าวว่า ‘อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้ เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่ที่จริงก็คือ พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียวระหว่างข้าพเจ้ากับความตาย”
\s5
\p
\v 4 แล้วโยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า “ไม่ว่าท่านจะบอกอะไรก็ตาม ฉันจะทำตามเพื่อท่าน”
\v 5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และข้าพเจ้าควรจะต้องนั่งรับประทานอาหารกับกษัตริย์ แต่ขอได้ปล่อยให้ข้าพเจ้าไป เพื่อที่ข้าพเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงวันที่สามตอนเย็น
\v 6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านทรงระลึกถึงข้าพเจ้าแล้ว ก็ขอทูลพระองค์ว่า ‘ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะว่าเป็นเวลาถวายสัตวบูชาประจำปีของตระกูลทั้งหมดที่นั่น’
\v 7 ถ้าพระองค์รับสั่งว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะมีสันติสุข แต่ถ้าพระองค์กริ้วมาก ก็จงรู้ว่า พระองค์ทรงตัดสินในทางชั่วร้ายแล้ว
\s5
\p
\v 8 ดังนั้นขอท่านกระทำอย่างกรุณาแก่ผู้รับใช้ของท่าน เพราะท่านได้นำผู้รับใช้ของท่านเข้าสู่ในพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์กับท่าน แต่ถ้ามีความบาปในตัวข้าพเจ้า จงฆ่าข้าพเจ้าด้วยตัวท่านเอง ทำไมท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านเล่า?”
\v 9 โยนาธานจึงกล่าวว่า “อย่าเป็นอย่างนั้นสำหรับท่านเลย ถ้าฉันได้ทราบว่าเสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัยที่จะนำอันตรายมาถึงท่าน ฉันจะไม่บอกท่านหรือ?”
\v 10 แล้วดาวิดได้กล่าวกับโยนาธานว่า “ใครจะบอกข้าพเจ้าถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน?”
\v 11 โยนาธานกล่าวกับดาวิดว่า “มาเถิดให้เราออกไปที่ทุ่งนา” ดังนั้นทั้งสองจึงได้ออกไปที่ทุ่งนา
\s5
\p
\v 12 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ขอพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันได้ถามคำถามเสด็จพ่อของฉันประมาณเวลานี้ ในวันพรุ่งนี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไรดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปแจ้งท่านทีเดียวหรือ?
\v 13 ถ้าเสด็จพ่อทรงพอพระทัยที่จะทำร้ายท่าน ขอพระยาห์เวห์ทรงลงโทษแก่โยนาธาน และทรงเพิ่มโทษให้ด้วย ถ้าฉันไม่แจ้งให้ท่านทราบและส่งท่านหนีไปอย่างปลอดภัย ขอพระยาห์เวห์สถิตกับท่าน อย่างที่พระองค์สถิตกับเสด็จพ่อของฉัน
\v 14 ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอท่านสำแดงพันธสัญญาของความสัตย์ซื่อแห่งพระยาห์เวห์ต่อฉันที่ฉันจะไม่ตาย?
\v 15 ขออย่าตัดพันธสัญญาแห่งความสัตย์ซื่อของท่านที่มีต่อพงศ์พันธุ์ของฉันตลอดไป แม้เมื่อพระยาห์เวห์ทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิดจากพื้นดินแล้วก็ตาม”
\v 16 ดังนั้นโยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิด และกล่าวว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นพวกศัตรูของดาวิด”
\v 17 และโยนาธานก็ให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งโดยความรักของท่านที่มีต่อเขา เพราะว่าท่านได้รักเขาอย่างที่ท่านได้รักชีวิตของตัวท่านเอง
\s5
\p
\v 18 แล้วโยนาธานกล่าวกับเขาว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ท่านจะต้องขาดไปเพราะที่นั่งของท่านจะว่างอยู่
\v 19 เมื่อท่านได้อยู่สามวันแล้ว ให้ท่านลงไปโดยเร็ว ให้มาที่ที่ท่านได้เคยซ่อนตัวเมื่อถึงวันนั้น และคอยอยู่ข้างหินเอเซล
\v 20 ฉันจะยิงลูกธนูสามดอกไปข้างๆ ที่นั่น เหมือนกับว่าฉันยิงเป้า
\v 21 แล้วฉันจะใช้เด็กหนุ่มของฉันไปและพูดกับเขาว่า ‘จงไปหาพวกลูกธนู’ ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูนั้นอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า จงไปเอามา’ แล้วท่านจงมาเพราะพระยาห์เวห์ทรงพระชนม์แน่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอะไร
\v 22 แต่ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น’ ท่านจงไปตามทางของท่าน เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงส่งท่านหนีไป
\v 23 ส่วนข้อตกลงที่ท่านกับฉันได้พูดกันนั้น ดูเถิด พระยาห์เวห์ประทับอยู่ระหว่างท่านและฉันตลอดไป”
\v 24 ดาวิดจึงได้ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา เมื่อถึงวันขึ้นค่ำ กษัตริย์ก็ได้ประทับเพื่อเสวยพระกระยาหาร
\s5
\p
\v 25 กษัตริย์ได้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์บนพระที่นั่งข้างฝาผนังอย่างที่เคย โยนาธานได้ยืนและอับเนอร์ได้นั่งข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดว่างอยู่
\v 26 ซาอูลยังไม่ได้ตรัสอะไรในวันนั้น เพราะทรงคิดว่า “มีเหตุบางอย่างได้เกิดขึ้นกับเขา เขามีมลทิน แน่นอนเขามีมลทิน”
\v 27 แต่ในวันที่สอง วันรุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ ที่นั่งของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ได้ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า “ทำไมบุตรเจสซีไม่ได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้”
\v 28 โยนาธานได้ทูลตอบซาอูลว่า “ดาวิดวิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม
\v 29 เขาบอกว่า ‘ขอปล่อยข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าได้สั่งข้าพเจ้าให้ไป ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปและเยี่ยมพวกพี่ชายของข้าพเจ้า’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะของกษัตริย์”
\v 30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน ได้ตรัสว่า “เจ้าลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาเป็นความอับอายแก่เจ้า และแก่แม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า?
\v 31 ตราบใดที่บุตรเจสซีมีชีวิตอยู่ในแผ่นดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งมั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปจับเขามาให้ข้า เพราะเขาจะต้องตายแน่”
\s5
\p
\v 32 โยนาธานจึงทูลตอบซาอูลพระราชบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจะต้องถูกฆ่า? เขาได้ทำอะไร?”
\v 33 แต่ซาอูลทรงพุ่งหอกใส่ท่านเพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านทรงตั้งพระทัยฆ่าดาวิด
\v 34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนัก ไม่ได้รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านทรงเหยียดหยามเขา
\v 35 พอรุ่งเช้าโยนาธานได้ทรงออกไปที่ทุ่งนาตามที่นัดหมายไว้กับดาวิด มีเด็กหนุ่มไปด้วยคนหนึ่ง
\v 36 พระองค์ทรงรับสั่งเด็กหนุ่มนั้นว่า “จงวิ่งไปและหาพวกลูกธนูที่ฉันยิงไป” เมื่อเด็กหนุ่มนั้นวิ่งไป โยนาธานได้ทรงยิงธนูดอกหนึ่งไปข้างหน้าเด็กนั้น
\v 37 เมื่อเด็กหนุ่มนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานได้ทรงยิงไปตกนั้น โยนาธานก็ร้องไล่หลังเด็กหนุ่มนั้นและกล่าวว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ?”
\v 38 แล้วโยนาธานได้ร้องไล่หลังเด็กหนุ่มนั้นว่า “เร็วเข้า จงรีบไปโดยเร็ว อย่าอยู่ช้า” ดังนั้นเด็กหนุ่มของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนูและได้กลับมาหานายของเขา
\v 39 แต่เด็กหนุ่มนั้นไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น มีเพียงโยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องอะไร
\v 40 โยนาธานได้มอบเครื่องอาวุธของท่านให้เด็กหนุ่มนั้นและกล่าวกับเขาว่า “จงไป จงนำม้นเข้าไปในเมือง”
\v 41 ทันทีที่เด็กหนุ่มนั้นไปแล้ว ดาวิดได้ลุกขึ้นมาจากทางด้านหลังของกองหินซบหน้าลงถึงดิน และโค้งคำนับลงสามครั้ง พวกเขาได้จูบซึ่งกันและกัน และร้องไห้ด้วยกัน แต่ดาวิดร้องไห้มากกว่า
\v 42 โยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า “จงไปโดยสันติเถิด เพราะว่าเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระยาห์เวห์ว่า ‘ขอให้พระยาห์เวห์ประทับระหว่างฉันกับท่าน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของท่านสืบไปเป็นนิตย์’ ” แล้วดาวิดจึงได้ลุกขึ้นและจากไป และโยนาธานจึงกลับเข้าไปในเมือง
\s5
\c 21
\p
\v 1 แล้วดาวิดก็ได้มาที่เมืองโนบไปหาอาหิเมเลคปุโรหิต อาหิเมเลคตัวสั่นเทิ้มมาหาดาวิด และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีใครมากับท่านหรือ?”
\v 2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์ได้ทรงส่งข้าพเจ้าให้มาทำงานอย่างหนึ่ง และทรงรับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า ‘อย่าให้ใครรู้อะไรถึงเรื่องที่เราใช้เจ้าไปทำนั้น และเรื่องที่เราได้บัญชาเจ้านั้น’ ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่มในสถานที่แห่งหนึ่ง
\v 3 บัดนี้ท่านมีอะไรอยู่ในมือบ้าง? ให้ขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรก็ได้ที่ท่านมีอยู่ที่นี่”
\s5
\p
\v 4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดและกล่าวว่า “ไม่มีขนมปังธรรมดาเลย มีแต่ขนมปังบริสุทธิ์ เพียงแต่ให้พวกคนหนุ่มที่ได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาก็แล้วกัน”
\v 5 ดาวิดตอบปุโรหิตว่า “ที่จริงพวกผู้หญิงก็ได้ถูกกันไว้ให้ห่างจากเราสามวันแล้วเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ข้าพเจ้าได้ออกไป สิ่งต่างๆที่เป็นของผู้ชายก็ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ แม้แต่เป็นการทำงานตามปกติ แล้วยิ่งวันนี้พวกเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า”
\v 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงได้มอบขนมปังบริสุทธิ์ให้แก่เขา เพราะว่าที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งได้เก็บมาจากเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อที่จะวางขนมปังใหม่แทนที่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
\s5
\p
\v 7 ผู้รับใช้คนหนึ่งของซาอูลได้อยู่ที่นั่นในวันนั้น เขาถูกกักขังไว้จำเพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาชื่อโดเอกคนเอโดม หัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล
\v 8 ดาวิดได้พูดกับอาหิเมเลคว่า “ตอนนี้ที่นี่ไม่มีหอกหรือดาบในมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ? เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะว่าราชการของกษัตริย์นั้นเร่งด่วน”
\v 9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า “ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านได้ฆ่าที่หุบเขาเอลาห์นั้น ยังถูกผ้าห่ออยู่ที่ข้างหลังเสื้อเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบเล่มนั้น จงเอาไปเถิด เพราะว่าไม่มีอาวุธอื่นใดที่นี่อีกแล้ว” ดาวิดพูดว่า “ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว เอาให้ข้าพเจ้าเถิด”
\s5
\p
\v 10 ดาวิดจึงลุกขึ้นและหนีจากซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์แห่งเมืองกัท
\v 11 พวกมหาดเล็กของอาคีชได้กล่าวกับเขาว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน? พวกเขาไม่ได้ร้องเพลงให้กันและกันเกี่ยวกับเขาในการเต้นรำหรือ ที่ว่า ‘ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดได้ฆ่าคนเป็นหมื่นๆ?'”
\v 12 ดาวิดได้เก็บถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์แห่งเมืองกัทยิ่งนัก
\v 13 เขาจึงได้เปลี่ยนอากัปกิริยาต่อหน้าพวกเขา และได้แสร้งทำตนเป็นคนบ้าในหมู่พวกเขา เขาได้ทำเครื่องหมายไว้ที่ประตูต่างๆ ของประตูเมือง และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา
\v 14 แล้วอาคีชจึงรับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงดูนั่นสิ พวกเจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วพวกเจ้าพาเขามาหาเราทำไม?
\v 15 เราขาดคนบ้าหรือ? เจ้าจึงได้พาคนนี้มาทำบ้าต่อหน้าเรา? คนอย่างนี้ควรเข้ามาในวังของเราหรือ?”
\s5
\c 22
\p
\v 1 ดังนั้นดาวิดก็ได้ไปจากที่นั่นและได้หนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพวกพี่ชายของเขาและพงศ์พันธุ์ของบิดาของเขาทั้งสิ้นได้ยินเรื่อง พวกเขาก็ได้ลงไปหาดาวิดที่นั่น
\v 2 ทุกคนที่อยู่ในความทุกข์ยาก ทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่พอใจ ก็ได้รวมกันมาหาเขา ดาวิดก็เป็นหัวหน้าของพวกเขา มีคนมาอยู่กับเขาประมาณสี่ร้อยคน
\v 3 แล้วดาวิดก็ได้ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในโมอับ เขาได้ทูลกษัตริย์แห่งโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้าไปอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า”
\s5
\p
\v 4 ดาวิดก็ได้ละพวกเขาไว้กับกษัตริย์แห่งโมอับ บิดาและมารดาของเขาก็ได้อาศัยอยู่กับพระองค์ตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของเขา
\v 5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดพูดกับดาวิดว่า “อย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของท่าน จงจากไปเสียและเข้าไปในแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดังนั้นดาวิดจึงจากที่นั่นและไปอยู่ในป่าเฮเรท
\v 6 ซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและเหล่าคนที่อยู่กับเขา ขณะนั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอกในเมืองรามาห์ พร้อมด้วยหอกของพระองค์ และพวกมหาดเล็กทั้งปวงของพระองค์ก็ได้ยืนอยู่รอบพระองค์
\s5
\p
\v 7 ซาอูลตรัสกับพวกมหาดเล็กที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า “บัดนี้จงฟังให้ดี พวกเจ้าพงศ์พันธุ์เบนยามิน บุตรชายของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่พวกเจ้าทั้งหลายหรือ? เขาจะตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ
\v 8 เพื่อแลกเปลี่ยนสำหรับที่พวกเจ้าทั้งหมดคิดกบฏต่อเราหรือ? ไม่มีใครสักคนแจ้งแก่เราเลยเมื่อบุตรชายของเราทำพันธสัญญากับบุตรชายของเจสซี ไม่มีใครในพวกเจ้ากำลังเสียใจกับเรา ไม่มีใครสักคนในพวกเจ้าแจ้งแก่เราว่าบุตรชายของเราได้ปลุกปั่นดาวิดผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา วันนี้เขาก็ซ่อนตัวและคอยเราเพื่อเขาจะโจมตีเรา"
\v 9 แล้วโดเอกคนเอโดมผู้ที่เป็นหัวหน้าพวกมหาดเล็กของซาอูลจึงได้ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้เห็นบุตรชายของเจสซีมาที่เมืองโนบ มาหาอาหิเมเลคบุตรชายของอาหิทูบ
\s5
\p
\v 10 เขาได้ภาวนาต่อพระยาห์เวห์ขอให้ทรงช่วยดาวิด และเขาได้ให้เสบียงอาหารแก่ดาวิด และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่เขาไป”
\v 11 แล้วกษัตริย์จึงส่งคนให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรชายของอาหิทูบ และพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งหมด ที่เป็นพวกปุโรหิตที่ได้อยู่ในเมืองโนบ ทุกคนก็ได้มาหากษัตริย์
\v 12 ซาอูลตรัสว่า “บัดนี้จงฟัง บุตรชายของอาหิทูบ” เขาทูลตอบว่า “ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่แล้ว เจ้านายของข้าพระองค์”
\s5
\p
\v 13 ซาอูลตรัสกับเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งพวกเจ้าและบุตรชายของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และทูลถามพระเจ้าให้เขาเพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยเขา ดังนั้นเขาจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่ อย่างเช่นทุกวันนี้?”
\v 14 แล้วอาหิเมเลคได้ทูลตอบกษัตริย์ และกล่าวว่า “ในบรรดาข้าราชการของพระองค์ มีใครเล่าที่จะซื่อสัตย์อย่างดาวิด ผู้ที่เป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์และเป็นผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ของพระองค์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของพระองค์?
\v 15 วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพระองค์ได้ทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงช่วยเขาจริงหรือ? ข้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ขอกษัตริย์อย่าได้ทรงกล่าวโทษอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือต่อพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาของข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้เลย”
\s5
\p
\v 16 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “อาหิเมเลคเอ๋ย เจ้าจะต้องตายแน่นอน ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาเจ้าด้วย”
\v 17 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาและฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์เสีย เพราะว่ามือของพวกเขาอยู่กับดาวิด และเพราะพวกเขารู้ว่าเขาหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่พวกข้าราชการของกษัตริย์ไม่ได้ลงมือฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์
\v 18 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงหันไปฆ่าปุโรหิตเหล่านั้น” ดังนั้นโดเอกคนเอโดมก็ได้หันไปและฆ่าฟันบรรดาปุโรหิต เขาฆ่าบุคคลที่สวมเสื้อผ้าป่านเอโฟดแปดสิบห้าคนในวันนั้น
\s5
\p
\v 19 เขาได้ใช้คมดาบประหารชาวเมืองโนบ เมืองของพวกปุโรหิต ฆ่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม และบรรดาโค และพวกลาและบรรดาแกะทั้งหลาย เขาได้ฆ่าคนเหล่านั้นทั้งหมดด้วยคมดาบ
\v 20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ ที่ชื่ออาบียาธาร์ได้หลุดรอดและหนีตามดาวิดไป
\v 21 อาบียาธาร์ได้บอกดาวิดว่าซาอูลได้ทรงประหารพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์
\v 22 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ว่า “เราได้รู้ในวันนั้นเองว่า เมื่อโดเอกคนเอโดมอยู่ที่นั่น เขาจะต้องทูลซาอูลแน่นอน เราเองต้องรับผิดชอบสำหรับความตายของทุกคนในพงศ์พันธุ์บิดาท่าน
\v 23 จงอยู่กับเราเถิด และอย่ากลัวเลย เพราะว่าผู้ที่แสวงหาชีวิตของท่านราก็แสวงหาชีวิตของเราด้วย แต่ท่านจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเรา”
\s5
\c 23
\p
\v 1 พวกเขาได้บอกดาวิดว่า “ดูสิ คนฟีลิสเตียกำลังรบกับเมืองเคอีลาห์อยู่และกำลังปล้นลานนวดข้าว”
\v 2 ดังนั้นดาวิดจึงได้ทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่อขอความช่วยเหลือและทูลถามว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า “จงไปเถิดและต่อสู้คนฟีลิสเตียและจงช่วยกู้เมืองเคอีลาห์ไว้”
\v 3 พวกของดาวิดได้กล่าวกับเขาว่า “ดูสิ พวกเรากลัวเมื่อยังอยู่ที่นี่ในยูดาห์ เราจะกลัวมากขนาดไหน ถ้าพวกเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับเหล่ากองทัพของคนฟีลิสเตีย?”
\s5
\p
\v 4 แล้วดาวิดก็ทูลพระยาห์เวห์อีกครั้งหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ พระยาห์เวห์ได้ตรัสตอบเขาว่า “จงลุกขึ้น ลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า”
\v 5 ดาวิดกับพวกของเขาก็ได้ไปยังเคอีลาห์ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย เขาได้นำเอาฝูงปศุสัตว์ของพวกเขาไป และโจมตีพวกเขา ด้วยการฆ่าอย่างมากมาย ดังนั้นดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้
\v 6 เมื่ออาบียาธาร์บุตรชายของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาได้ถือเสื้อเอโฟดติดมือไปด้วย
\v 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดไปที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า “พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะเขาได้ขังตัวเอง เมื่อเขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูหลายบานและลูกกรงหลายอัน”
\s5
\p
\v 8 ซาอูลทรงให้เรียกทหารทั้งหมดให้เข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์ เพื่อล้อมดาวิดกับพวกผู้ชายของเขา
\v 9 ดาวิดทราบว่าซาอูลทรงวางแผนทำร้ายเขา เขาจึงได้พูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “จงนำเสื้อเอโฟดมาที่นี่เถิด”
\v 10 แล้วดาวิดทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่นอนว่าซาอูลทรงหาช่องทางที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ
\v 11 พวกคนเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือซาอูลหรือ? ซาอูลจะเสด็จลงมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินมานั้นอย่างนั้นหรือ? ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด" พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เขาจะลงมา”
\v 12 แล้วดาวิดทูลว่า “พวกคนเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และพวกของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “พวกเขาจะมอบเจ้า”
\s5
\p
\v 13 แล้วดาวิดกับพวกของเขาซึ่งมีประมาณหกร้อยคนจึงได้ลุกขึ้น และไปจากเคอีลาห์ พวกเขาไปจากที่หนึ่งเพื่อไปยังอีกที่หนึ่ง เมื่อมีคนทูลซาอูลว่าดาวิดได้หนีจากเคอีลาห์แล้ว และพระองค์ก็ทรงเลิกการติดตาม
\v 14 ดาวิดอยู่ตามที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดารของศิฟ ซาอูลได้ทรงตามล่าชีวิตเขาทุกวัน แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบเขาไว้ในมือของซาอูล
\v 15 ดาวิดเห็นว่าซาอูลเสด็จออกมาเพื่อเสาะหาชีวิตของเขา บัดนี้ดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารของศิฟที่โฮเรช
\v 16 แล้วโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นและไปหาดาวิดที่โฮเรช และเสริมกำลังมือของเขาให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า
\v 17 โยนาธานพูดกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาท่านไม่พบ ท่านจะได้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นที่สองรองจากท่าน ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทรงรู้เรื่องนี้ด้วย”
\s5
\p
\v 18 พวกเขาจึงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดาวิดยังอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง
\v 19 ชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์และทูลว่า “ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนไม่ใช่หรือ?
\v 20 บัดนี้ขอโปรดเสด็จลงมาเถิด ข้าแต่กษัตริย์ สุดแต่พระองค์จะทรงพระประสงค์ ขอเสด็จลงไป ส่วนพวกข้าพระองค์จะมอบเขาไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
\v 21 ซาอูลตรัสว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านได้เอื้ออาทรเรา
\v 22 จงไปดูและหาดูว่าสถานที่เขาซ่อนตัวนั้นอยู่ที่ไหน และใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง มีคนบอกข้าว่า เขาเจ้าเล่ห์จริงๆ
\v 23 ดังนั้นจงดูให้รู้ที่ซุ่มทั้งหมดที่เขาได้ซ่อนตัว จงกลับมาหาเราด้วยข่าวที่แน่นอน แล้วเราจะไปกับพวกเจ้า ถ้าเขาอยู่ในเขตแดนนั้น เราจะค้นหาเขาในทั้งหลายพันคนของตระกูลยูดาห์”
\v 24 แล้วพวกเขาก็ได้ลุกขึ้นและได้ไปยังศิฟก่อนซาอูล บัดนี้ดาวิดกับพวกของเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ตอนใต้ของเยชิโมน
\s5
\p
\v 25 ซาอูลและเหล่าทหารของพระองค์ก็ได้ค้นหาเขา แต่มีคนบอกดาวิด เขาจึงได้ลงไปยังเนินเขาหินและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบก็ทรงติดตามดาวิดไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน
\v 26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง และดาวิดกับพวกของเขาก็ไปอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดได้รีบหนีไปจากซาอูล เพราะซาอูลกับเหล่าทหารของพระองค์ล้อมดาวิดกับพวกของเขาเพื่อจะจับพวกเขา
\v 27 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลและกล่าวว่า “ขอรีบเสด็จและกลับ เพราะคนฟีลิสเตียมาปล้นแผ่นดิน”
\v 28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดและไปรบกับคนฟีลิสเตีย ดังนั้นสถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่าศิลาพ้นภัย
\v 29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นและอาศัยในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี
\s5
\c 24
\p
\v 1 เมื่อซาอูลได้เสด็จกลับจากการไล่ตามคนฟีลิสเตียแล้ว ได้มีคนมาทูลว่า “ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเอนเกดี”
\v 2 แล้วซาอูลก็ได้ทรงนำกำลังคนสามพันคนที่คัดเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมดและได้ไปค้นหาดาวิดกับพวกของเขาที่เหล่าหินเลียงผา
\v 3 พระองค์ได้เสด็จมาที่คอกแกะระหว่างทาง ที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง ซาอูลก็ได้เสด็จเข้าไปปลดทุกข์ ตอนนั้นดาวิดกับพวกของเขาก็ได้นั่งอยู่ที่ส่วนลึกของถ้ำ
\s5
\p
\v 4 พวกผู้ชายของดาวิดได้กล่าวแก่เขาว่า “ดูเถิด วันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านว่า ‘เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า เพื่อเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าประสงค์’” แล้วดาวิดได้ลุกขึ้นและคลานอย่างเงียบๆ เข้าไปและตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
\v 5 หลังจากนั้นจิตใจของดาวิดก็รู้สึกผิด เพราะเขาได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
\v 6 เขาได้พูดกับพวกผู้ชายของเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับพระองค์ ดูเถิด พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้”
\s5
\p
\v 7 ดังนั้นดาวิดได้ตำหนิพวกผู้ชายของเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้พวกเขาทำร้ายซาอูล ซาอูลก็ทรงลุกขึ้น ทรงออกจากถ้ำและเสด็จไปตามทางของพระองค์
\v 8 หลังจากนั้นดาวิดก็ได้ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” เมื่อซาอูลทรงเหลียวดูด้านหลัง ดาวิดก็โน้มตัวซบหน้าถึงดินและแสดงความเคารพซาอูล
\v 9 ดาวิดทูลซาอูลว่า “ทำไมพระองค์ทรงฟังถ้อยคำของคนที่กล่าวว่า ‘ดูเถิด ดาวิดแสวงหาทางที่จะมุ่งร้ายพระองค์?
\s5
\p
\v 10 วันนี้พระเนตรของพระองค์ได้ประจักษ์แล้วว่า พระยาห์เวห์ทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพระองค์เมื่อพวกเราอยู่ในถ้ำ และบางคนขอให้ข้าพระองค์ประหารพระองค์เสีย แต่ข้าพระองค์ก็ไว้พระชนม์ของพระองค์ ข้าพระองค์พูดว่า ‘เราจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของเรา เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’
\v 11 ทอดพระเนตรเถิด เสด็จพ่อของข้าพระองค์ ขอทอดพระเนตรชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และไม่ได้ประหารพระองค์เสีย ขอพระองค์ทรงทราบและทอดพระเนตรเถิดว่า ในมือของข้าพระองค์ไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำบาปต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์กำลังทรงล่าชีวิตของข้าพระองค์เพื่อทำลายเสีย
\v 12 ขอพระยาห์เวห์ทรงพิจารณาตัดสินระหว่างข้าพระองค์กับพระองค์ แต่มือของข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรต่อพระองค์
\s5
\p
\v 13 ดังสุภาษิตโบราณว่า ‘ความอธรรมก็ออกมาจากคนอธรรม’ แต่มือของข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรต่อพระองค์
\v 14 กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงออกมาตามใคร? พระองค์ทรงไล่ตามจับใคร? ทรงไล่ตามสุนัขที่ตายแล้วหรือ? ทรงไล่ตามตัวหมัดตัวหนึ่งหรือ
\v 15 ขอพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้พิพากษาและทรงพิจารณาตัดสินระหว่างข้าพระองค์กับพระองค์ ขอพระองค์ทรงแก้แค้นแทนข้าพระองค์ต่อพระองค์ ขอทรงทอดพระเนตร ขอทรงว่าความฝ่ายข้าพระองค์ และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากหัตถ์ของพระองค์”
\v 16 เมื่อดาวิดจบการทูลถ้อยคำนี้ต่อซาอูลแล้ว ซาอูลตรัสว่า “นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ ดาวิดบุตรของข้า?” ซาอูลทรงส่งเสียงและทรงกันแสง
\s5
\p
\v 17 พระองค์ตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าเองตอบแทนเจ้าด้วยความชั่วร้าย
\v 18 เจ้าได้แสดงในวันนี้แล้วว่าเจ้าทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้าไม่ได้ประหารข้าเสียนั้น เมื่อพระยาห์เวห์ทรงมอบข้าไว้ในความเมตตาของเจ้า
\v 19 เพราะว่าผู้ชายคนใดพบศัตรูของตน เขาจะปล่อยเขาไปอย่างปลอดภัยหรือ? ขอพระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่เจ้า สำหรับการดีที่เจ้าได้ทำแก่ข้าในวันนี้
\s5
\p
\v 20 บัดนี้ ข้ารู้แล้วว่า เจ้าจะเป็นกษัตริย์แน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นอยู่ในมือของเจ้า
\v 21 จงปฏิญาณต่อข้าในพระนามของพระยาห์เวห์ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเมื่อข้าตายไป และจะไม่ทำลายชื่อของข้าจากพงศ์พันธุ์บิดาข้า”
\v 22 ดังนั้นดาวิดจึงได้ปฏิญาณต่อซาอูล แล้วซาอูลก็ได้เสด็จกลับวัง แต่ดาวิดกับพวกของเขาได้ขึ้นไปที่กำบังเข้มแข็ง
\s5
\c 25
\p
\v 1 บัดนี้ ซามูเอลได้สิ้นชีวิต คนอิสราเอลทั้งปวงได้ประชุมร่วมกันและได้ไว้ทุกข์ให้เขา และพวกเขาได้ฝังศพเขาไว้ที่บ้านของเขาในรามาห์ แล้วดาวิดก็ได้ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน
\v 2 มีชายคนหนึ่งในมาโอน ได้มีทรัพย์สินทั้งหลายอยู่ในคารเมล ผู้ชายผู้นั้นมั่งมีมาก เขามีแกะสามพันตัว และแพะหนึ่งพันตัว เขาได้กำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล
\v 3 ผู้ชายคนนั้นชื่อนาบาล และชื่อภรรยาของเขาชื่ออาบีกายิล ผู้หญิงเป็นคนฉลาดและรูปลักษณ์สวยงาม แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหัวแข็งและชั่วร้ายในการกระทำของเขา เขาเป็นลูกหลานของวงศ์วานของคาเลบ
\s5
\p
\v 4 ดาวิดได้ยินจากถิ่นทุรกันดารว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่
\v 5 ดังนั้นดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน ดาวิดได้พูดกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า “จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และทักทายเขาในนามของเรา
\v 6 ให้พวกท่านพูดกับเขาว่า ‘ขอให้ชีวิตที่รุ่งเรืองจงมีแก่ท่าน สันติสุขจงมีแก่ท่านและสันติสุขจงมีแด่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่ทุกสิ่งที่ท่านมี
\s5
\p
\v 7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะอยู่หลายคน เมื่อพวกผู้เลี้ยงแกะของท่านได้อยู่กับพวกเรา พวกเราไม่ได้ทำอันตรายพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่ในคารเมล
\v 8 จงถามพวกคนหนุ่มของท่าน และพวกเขาจะบอกท่าน บัดนี้ขอให้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน เพราะพวกเรามาในวันมีการเลี้ยง โปรดให้สิ่งที่พอหาได้ในตอนนี้แก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรชายของท่าน’”
\v 9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิดมาถึง พวกเขาก็ได้กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และหลังจากนั้นพวกเขาก็คอยอยู่
\s5
\p
\v 10 นาบาลตอบพวกคนรับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือใคร? บุตรชายของเจสซีคือใคร? สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของพวกเขา
\v 11 ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าไว้สำหรับพวกคนตัดขนแกะของข้า และมอบให้แก่พวกซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้?”
\v 12 ดังนั้นพวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับไป และกลับมาบอกดาวิดถึงทุกสิ่งที่เขาได้พูด
\s5
\p
\v 13 ดาวิดพูดกับพวกของเขาว่า “ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้” ดังนั้นทุกคนก็ได้เอาดาบคาดเอวของตน ดาวิดก็เอาดาบของเขาคาดเอวด้วย มีคนประมาณสี่ร้อยคนตามดาวิดขึ้นไป และสองร้อยคนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ
\v 14 แต่มีคนหนึ่งในพวกคนหนุ่มบอกนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาล เขากล่าวว่า “ดาวิดส่งพวกผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดารเพื่ออวยพรนายของพวกเรา แต่เขากลับด่าว่าคนเหล่านั้น
\v 15 แต่ชายเหล่านั้นดีต่อเรามาก เราไม่ถูกทำร้าย และไม่ได้ขาดสิ่งใดตลอดเวลาที่เราได้ไปกับพวกเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา
\s5
\p
\v 16 พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเราทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับพวกเขา
\v 17 ด้วยเหตุนี้จงรับทราบเรื่องนี้และพิจารณาว่าท่านควรจะทำประการใด เพราะความชั่วร้ายได้ถูกกำหนดต่อนายของเราแล้ว และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของเขา เขาเป็นคนพาลที่ใครจะใช้เหตุผลกับเขาไม่ได้”
\v 18 แล้วอาบีกายิลก็ได้รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองขวด แกะที่ได้ปรุงเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และลูกเกดหนึ่งร้อยถุงและขนมมะเดื่อสองร้อยก้อนและบรรทุกสิ่งของเหล่านั้นบนหลังลา
\s5
\p
\v 19 นางก็สั่งพวกคนหนุ่มของนางว่า “จงรีบไปก่อนเรา และเราจะตามเจ้าไป” แต่นางไม่ได้บอกนาบาลสามีของนาง
\v 20 เมื่อนางได้ขี่ลาและลงมาตามสันเขา ดาวิดกับพวกของเขาได้ลงมาทางนาง และนางก็พบพวกเขา
\v 21 บัดนี้ดาวิดกล่าวว่า “เปล่าประโยชน์เสียจริงๆ ที่เราเฝ้าทุกสิ่งที่ชายคนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ดังนั้นไม่มีสิ่งใดของเขาขาดหายไปเลยจากทุกสิ่งที่เป็นของเขา และเขาตอบแทนความดีของข้าด้วยความชั่ว
\s5
\p
\v 22 ขอพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างนั้นกับเราเองคือดาวิด และขอทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าพรุ่งนี้เช้า เราได้ปล่อยให้ผู้ชายเพียงหนึ่งคนในจำนวนคนทั้งหมดที่เป็นของเขายังมีชีวิตเหลืออยู่”
\v 23 เมื่อนางอาบีกายิลได้เห็นดาวิด นางก็ได้รีบลงจากหลังลาของนางและได้ทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด และได้คำนับซบหน้าถึงพื้นดิน
\v 24 นางทรุดตัวลงที่เท้าของเขาและพูดว่า “เจ้านายของดิฉัน ดิฉันแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นผู้ผิด ขอความกรุณาให้สาวใช้ของท่านพูดให้ท่านฟัง และโปรดฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่าน
\s5
\p
\v 25 ขอเจ้านายของดิฉันโปรดอย่าได้เอาความกับนาบาลผู้ชายไร้ค่าคนนี้เลย นาบาล เพราะเขาเป็นอย่างชื่อของเขา ชื่อของเขาคือนาบาล และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา ส่วนดิฉันสาวใช้ของท่านไม่ได้เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านใช้ไป
\v 26 แล้วบัดนี้ เจ้านายของดิฉัน พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงยับยั้งท่านเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง บัดนี้ขอให้พวกศัตรูของท่าน และพวกที่จะปองร้ายต่อเจ้านายของดิฉันเป็นอย่างนาบาล
\v 27 บัดนี้ ขอให้ของกำนัลนี้ซึ่งสาวใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่พวกคนหนุ่มผู้ติดตามเจ้านายของดิฉัน
\s5
\p
\v 28 โปรดอภัยความผิดของสาวใช้ของท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงแน่ เพราะว่าเจ้านายของดิฉันกำลังได้ต่อสู้ทำสงครามอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ และจะไม่พบความชั่วในตัวท่านตลอดชีวิตของท่าน
\v 29 แม้มีคนได้ลุกขึ้นไล่ตามท่านหมายเอาชีวิตของท่าน แต่ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับความสัมพันธ์ในกลุ่มของการมีชีวิตโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และพระองค์จะทรงเหวี่ยงชีวิตของศัตรูของท่านออกไปเช่นเดียวกับออกไปจากรังสลิง
\v 30 พระยาห์เวห์จะทรงทำทุกอย่างให้สำเร็จแก่เจ้านายของดิฉันตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับท่าน และทรงแต่งตั้งท่านเป็นผู้นำเหนืออิสราเอล
\s5
\p
\v 31 สิ่งนี้จะไม่เป็นภาระให้สะดุดสำหรับเจ้านายของดิฉัน ที่ท่านจะทำให้เลือดผู้บริสุทธิ์ได้หลั่ง หรือเพราะเจ้านายของดิฉันได้พยายามช่วยเหลือด้วยตนเอง เพราะว่าเมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำสิ่งดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ก็ขอระลึกถึงสาวใช้ของท่าน”
\v 32 ดาวิดได้พูดกับนางอาบีกายิลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอสาธุการแด่พระองค์ ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้
\v 33 ปัญญาของเจ้าจะได้รับพระพร และตัวเจ้าก็ได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการทำให้โลหิตตกและจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง
\s5
\p
\v 34 เพราะในความจริง พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือผู้ได้ทรงระงับเราเสียจากการทำร้ายเจ้า ถ้าเจ้าไม่ได้รีบมาพบเรา จะไม่มีอะไรเหลือแก่นาบาล แม้แต่เด็กทารกชายสักคนในวันรุ่งเช้า”
\v 35 ดังนั้นดาวิดก็ได้รับบรรดาสิ่งที่นางให้เขาจากมือของนาง และเขาได้พูดกับนางว่า “จงกลับไปบ้านของเจ้าด้วยสันติสุข ดูสิ เราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราได้รับคำขอร้องของเจ้า”
\v 36 อาบีกายิลก็ได้กลับไปหานาบาล นี่แน่ะ เขากำลังจัดงานเลี้ยงในบ้านของเขาราวกับงานเลี้ยงของกษัตริย์ และจิตใจของนาบาลก็เบิกบาน เพราะเขาได้มึนเมามาก ดังนั้นนางจึงไม่ได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งเช้า
\s5
\p
\v 37 เมื่อถึงเวลาเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็ได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง ใจของเขาก็ตายข้างใน และเขาได้กลายเป็นดังก้อนหิน
\v 38 ต่อมาอีกประมาณสิบวันพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย
\v 39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว เขาจึงพูดว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง” แล้วดาวิดก็ได้ส่งคนไปและได้พูดกับอาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของเขา
\s5
\p
\v 40 เมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล พวกเขาได้พูดกับนางว่า “ดาวิดได้ส่งพวกเรามาหาท่านเพื่อนำท่านไปเป็นภรรยาของเขา”
\v 41 นางก็ได้ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดิน และพูดว่า “ดูเถิด สาวใช้ของท่านเป็นทาสที่จะล้างเท้าให้พวกผู้รับใช้ของเจ้านายของดิฉัน”
\v 42 อาบีกายิลก็รีบและลุกขึ้นขี่ลาไปพร้อมกับสาวใช้ของนางอีกห้าคน และนางก็ไตามพวกผู้สื่อสารของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของเขา
\v 43 บัดนี้ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลเป็นภรรยาด้วย ทั้งสองก็เป็นภรรยาของเขา
\v 44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมด้วย
\s5
\c 26
\p
\v 1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์และได้ทูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของเยชิโมนไม่ใช่หรือ?”
\v 2 แล้วซาอูลจึงได้ทรงลุกขึ้นและได้ลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับผู้ชายอิสราเอลที่ได้รับการคัดเลือกแล้วสามพันคน เพื่อค้นหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ
\v 3 ซาอูลได้ทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ถนนด้านหน้าของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเขาได้เห็นว่าซาอูลกำลังเสด็จมาตามหาเขาที่ในถิ่นทุรกันดาร
\s5
\p
\v 4 ดังนั้นดาวิดก็ได้ส่งพวกผู้สอดแนมออกไป จึงได้รู้ว่าซาอูลเสด็จมาแน่นอน
\v 5 แล้วดาวิดก็ได้ลุกขึ้นและได้มายังที่ซึ่งซาอูลได้ทรงตั้งค่ายนั้น เขาก็ได้เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพของกองทัพของพระองค์ ซาอูลได้บรรทมอยู่กลางเขตค่าย และพวกทหารก็ตั้งค่ายรอบพระองค์ ทุกคนหลับกันหมด
\v 6 แล้วดาวิดก็ได้พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า “ใครจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง?” อาบีชัยได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน”
\s5
\p
\v 7 ดังนั้นดาวิดและอาบีชัยจึงได้ลงไปที่กองทัพนั้นในเวลากลางคืน ซาอูลได้บรรทมหลับอยู่กลางเขตค่าย มีหอกปักอยู่ที่ดินตรงพระเศียรของพระองค์ อับเนอร์กับพวกทหารก็ได้นอนล้อมพระองค์อยู่
\v 8 แล้วอาบีชัยได้พูดกับดาวิดว่า “วันนี้พระเจ้าได้ทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดิน ครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ต้องแทงเขาครั้งที่สอง”
\v 9 ดาวิดบอกอาบีชัยว่า “ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะใครจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ แล้วจะไม่มีความผิด?”
\s5
\p
\v 10 ดาวิดได้พูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระยาห์เวห์จะทรงฆ่าพระองค์เอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและถูกปลงพระชนม์
\v 11 ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ แต่บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด”
\v 12 ดังนั้นดาวิดจึงได้เอาหอกและเหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และพวกเขาก็ออกไป ไม่มีใครได้เห็นไม่มีใครได้รู้ และไม่มีใครตื่นเพราะทั้งหมดได้นอนหลับ เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ทำให้พวกเขาหลับสนิท
\s5
\p
\v 13 แล้วดาวิดก็ได้ข้ามไปอีกฟากหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย
\v 14 ดาวิดก็ได้ตะโกนเรียกพวกทหารและอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า “อับเนอร์ ท่านไม่ตอบหรือ?” แล้วอับเนอร์ตอบว่า “เจ้าเป็นใคร มาร้องเรียกกษัตริย์?”
\v 15 ดาวิดได้ตอบอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายที่กล้าหาญดอกหรือ? ในอิสราเอลมีใครเสมอเหมือนท่านแล้ว? ทำไมท่านไม่ได้เฝ้ากษัตริย์เจ้านายของท่านไว้? เพราะได้มีคนหนึ่งได้เข้าไปจะปลงพระชนม์กษัตริย์เจ้านายของท่าน
\s5
\p
\v 16 ที่ท่านทำเช่นนี้ไม่ดี พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พวกท่านควรตายเพราะพวกท่านไม่ได้เฝ้าระวังเจ้านายของพวกท่าน ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมไว้ บัดนี้ดูซิว่า หอกของกษัตริย์อยู่ที่ไหน? และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน”
\v 17 ซาอูลทรงจำเสียงของดาวิดได้จึงได้ตรัสว่า “ดาวิดบุตรชายของข้า นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ?” และดาวิดได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ เป็นเสียงข้าพระองค์เอง”
\v 18 ดาวิดได้ทูลต่อไปว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพระองค์จึงได้ไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์? ข้าพระองค์ได้ทำอะไรไป มือข้าพระองค์ได้ทำชั่วอะไร?
\s5
\p
\v 19 ดังนั้นบัดนี้ ขอกษัตริย์ของข้าพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยคำของผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงปลุกปั่นพระองค์ให้ต่อสู้ข้าพระองค์ ขอพระเจ้าทรงได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นมนุษย์ที่ได้ยุยง ก็ขอให้พวกเขาเป็นที่สาปแช่งเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพวกเขาได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปในวันนี้จากส่วนแบ่งในมรดกของพระยาห์เวห์ โดยได้กล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพวกพระอื่นๆ เสีย’
\v 20 บัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระองค์ตกถึงดินไกลจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จออกมาเพื่อค้นหาหมัดตัวเดียว ดังผู้ไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา”
\v 21 แล้วซาอูลได้ตรัสว่า “ข้าทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรชายของข้า จงกลับไปเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเราก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและทำผิดมากมาย”
\s5
\p
\v 22 ดาวิดได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงทอดพระเนตรหอกของพระองค์อยู่ที่นี่ ขอทรงให้คนหนุ่มคนหนึ่งข้ามมารับไปถวายพระองค์
\v 23 พระยาห์เวห์ทรงได้ตอบแทนแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความซื่อสัตย์ของเขา เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพระองค์แล้ว แต่ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้
\v 24 ดูเถิด ในสายตาของข้าพระองค์ พระชนม์ของพระองค์นั้นมีค่าฉันใด ขอให้ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ฉันนั้น และขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น”
\v 25 แล้วซาอูลจึงได้ตรัสกับดาวิดว่า “ดาวิดบุตรชายเราเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพร เจ้าจะได้ทำสิ่งต่างๆ แน่และจะมีชัยเป็นแน่” ดาวิดจึงได้ไปตามทางของเขา และซาอูลก็เสด็จกลับสู่วังของพระองค์
\s5
\c 27
\p
\v 1 ดาวิดได้รำพึงในใจว่า “เราคงจะตายสักวันหนึ่งด้วยพระหัตถ์ของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่เราจะหนีไปอยู่ในดินแดนของคนฟีลิสเตีย ซาอูลก็จะทรงเลิกที่จะตามหาเราอีกต่อไปภายในพรมแดนอิสราเอล วิธีนี้แหละที่เราจะหลบหนีพระหัตถ์ของพระองค์"
\v 2 ดาวิดจึงได้ลุกขึ้นและได้ข้ามไป เขาและผู้ชายที่อยู่กับเขาหกร้อยคน ได้ไปหาอาคีชบุตรชายของมาโอค กษัตริย์แห่งเมืองกัท
\v 3 ดาวิดก็ได้อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท ทั้งเขาและคนของเขา และครอบครัวของแต่ละคน และดาวิดพร้อมกับภรรยาสองคนของเขา คืออาหิโนอัมคนยิสเรเอล และอาบีกายิลคนคารเมลภรรยาของนาบาล
\v 4 มีคนได้ไปทูลซาอูลว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเสาะหาเขาอีกต่อไป
\s5
\p
\v 5 ดาวิดจึงได้ทูลอาคีชว่า “ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว ขอทรงให้พวกเขามอบที่สักแห่งในเมืองทั้งหลายของพระองค์ที่ในชนบทแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะได้อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะไม่มีเหตุผลที่ผู้รับใช้ของข้าพระองค์จะต้องอยู่ในกรุงกับพระองค์?”
\v 6 ดังนั้นอาคีชก็ได้ทรงมอบศิกลากให้เขาในวันนั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมศิกลากจึงเป็นของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์จนถึงทุกวันนี้
\v 7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในดินแดนฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีเต็มกับอีกสี่เดือน
\v 8 ดาวิดและคนของเขา ก็ได้ไปโจมตีคนเกชูร์ คนเกเซอร์ และคนอามาเลข เพราะชนชาติเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาได้อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นมาตั้งแต่โบราณแล้ว
\s5
\p
\v 9 ดาวิดก็ได้โจมตีแผ่นดินและไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง เขาได้ริบเอาฝูงแกะ ฝูงโค ฝูงลา พวกอูฐ และเสื้อผ้า เขาได้กลับและมาหาอาคีชอีกครั้ง
\v 10 อาคีชมักจะได้ตรัสถามว่า “วันนี้พวกเจ้าไปโจมตีที่ไหนมา?” ดาวิดก็มักจะทูลว่า “ไปโจมตีทางตอนใต้ของยูดาห์” หรือ “ได้โจมตีทางตอนใต้ของตระกูลเยราเมเอล” หรือ “ไปโจมตีทางตอนใต้ของคนเคไนต์”
\v 11 ดาวิดไม่ได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำมาที่เมืองกัท กล่าวว่า “ดังนั้นแหละ พวกเขาจะไม่สามารถบอกเรื่องของพวกเรา ‘ดาวิดได้ทำเช่นนั้นเช่นนี้’” นี่เป็นสิ่งที่เขาได้ทำทั้งหมดขณะที่เขาอาศัยอยู่ในดินแดนฟีลิสเตีย
\v 12 อาคีชก็ได้วางพระทัยในดาวิด ทรงรำพึงว่า “เขาได้ทำให้ประชาชนอิสราเอลของเขาเกลียดเขาจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้รับใช้ของเราตลอดไป”
\s5
\c 28
\p
\v 1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น ในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทัพ เพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล อาคีชได้ตรัสกับดาวิดว่า “จงรู้แน่ว่า เจ้าจะออกไปกับเราในกองทัพ เจ้าและคนของเจ้า”
\v 2 ดาวิดได้ทูลอาคีชว่า “สุดแล้วแต่จะเห็นควร พระองค์จะได้ทรงทราบว่าผู้รับใช้ของพระองค์จะทำอะไรได้บ้าง” อาคีชได้ทรงรับสั่งกับดาวิดว่า “ดังนั้น เราจะตั้งเจ้าเป็นองครักษ์ของเราอย่างถาวรเลย”
\v 3 บัดนี้ ซามูเอลได้ตายแล้ว คนอิสราเอลทั้งปวงก็ได้ไว้ทุกข์ให้เขา และได้ฝังศพเขาไว้ที่เมืองรามาห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง ซาอูลก็ได้ทรงกำจัดพวกคนที่สื่อสารกับคนตายหรือพวกวิญญาณทั้งหลายเสียจากแผ่นดิน
\s5
\p
\v 4 แล้วคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันและได้มาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลได้ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้นและพวกเขาได้ตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา
\v 5 เมื่อซาอูลได้ทอดพระเนตรกองทัพของคนฟีลิสเตียพระองค์ก็ทรงกลัว และพระทัยของพระองค์ก็สั่นสะท้านอย่างมาก
\v 6 ซาอูลได้ทรงทูลถามพระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือโดยทางเหล่าผู้เผยพระวจนะ
\s5
\p
\v 7 แล้วซาอูลจึงได้รับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงไปค้นหาหญิงคนทรงให้เรา เพื่อเราอาจจะได้ไปหานางและเสาะหาคำแนะนำของนาง” มหาดเล็กของพระองค์ก็ได้ทูลว่า “ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์ที่ประกาศตัวว่าพูดกับคนตายได้”
\v 8 ซาอูลจึงได้ปลอมพระองค์และได้ทรงฉลองพระองค์อย่างอื่น และได้เสด็จออกไป พระองค์พร้อมกับผู้ชายสองคน พวกเขาได้ไปหาผู้หญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ได้ตรัสว่า “ขอทำนายให้เรา เราขอร้องเจ้าโดยการเข้าทรง และจงเรียกใครก็ตามที่เราได้บอกชื่อให้เจ้า”
\v 9 ผู้หญิงคนนั้นจึงได้ทูลตอบพระองค์ว่า “นี่แน่ะ ท่านเองรู้แล้วว่าซาอูลได้ทรงทำอะไร ที่ได้ทรงกำจัดพวกคนทรงและพวกที่พูดกับคนตายหรือวิญญาณ ดังนั้น ทำไมท่านจึงได้มาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าตายเล่า?”
\s5
\p
\v 10 ซาอูลได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์กับผู้หญิงนั้นว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่โดนทำโทษเพราะเรื่องนี้”
\v 11 แล้วผู้หญิงนั้นจึงได้ทูลถามว่า “ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมาให้ท่าน?” ซาอูลได้ตรัสว่า “จงเรียกซามูเอลขึ้นมาให้เรา”
\v 12 เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้เห็นซามูเอล นางจึงได้ร้องเสียงดังและได้ทูลซาอูล กล่าวว่า “ไฉนพระองค์จึงทรงหลอกลวงหม่อมฉัน? เพราะว่าพระองค์คือซาอูล”
\s5
\p
\v 13 กษัตริย์ได้ตรัสแก่นางว่า “จงอย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไรหรือ?” ผู้หญิงนั้นได้ทูลซาอูลว่า “หม่อมฉันเห็นพระหนึ่งองค์ขึ้นมาจากแผ่นดิน”
\v 14 พระองค์ได้ตรัสถามนางว่า “รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร?” นางได้ทูลว่า “เป็นผู้ชายแก่กำลังขึ้นมา เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุม” ซาอูลก็ได้ทรงรับรู้ว่านั่นเป็นซามูเอล พระองค์จึงได้โน้มพระกายลงซบพระพักตร์ลงถึงดินและแสดงการคารวะ
\v 15 ซามูเอลได้พูดกับซาอูลว่า “ทำไมท่านจึงรบกวนเราและเรียกเราขึ้นมา?” ซาอูลได้ทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าได้ทรงละจากข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และไม่ได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยพวกผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียกท่านขึ้นมา เพื่อท่านจะได้แจ้งข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะทำประการใดดี”
\s5
\p
\v 16 ซามูเอลได้กล่าวว่า “แล้วทำไมท่านต้องมาถามข้าพเจ้า ในเมื่อพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงละจากท่านไปแล้ว และได้ทรงกลายเป็นศัตรูของท่าน?
\v 17 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำแก่ท่านดังที่พระองค์ได้ตรัสแล้วนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงยึดเอาอาณาจักรนั้นจากพระหัตถ์ของท่านและได้ทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด
\v 18 เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข พระองค์จึงได้ทรงกระทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้
\s5
\p
\v 19 ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์จะทรงมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา พระยาห์เวห์จะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย”
\v 20 แล้วซาอูลก็ได้ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินทันทีและได้กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล ไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ได้เสวยพระกระยาหารตลอดวันนั้น ตลอดคืนนั้นทั้งคืน
\v 21 ผู้หญิงก็ได้เข้ามาหาซาอูล เมื่อนางเห็นว่าพระองค์ทรงยุ่งยากพระทัยมาก จึงได้ทูลว่า “ดูเถิด สาวใช้ของพระองค์ได้ฟังเสียงของพระองค์ หม่อมฉันได้ยอมเสี่ยงชีวิตและยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสสั่งต่อหม่อมฉัน
\s5
\p
\v 22 เพราะฉะนั้น บัดนี้ หม่อมฉันขอพระองค์ได้สดับเสียงสาวใช้ของพระองค์บ้าง ขอหม่อมฉันถวายพระกระยาหารเล็กน้อยต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ขอให้เสวย เพื่อจะมีพระกำลังเมื่อเสด็จกลับตามทางของพระองค์”
\v 23 แต่ซาอูลได้ทรงปฏิเสธ และได้รับสั่งว่า “เราจะไม่กิน” แต่พวกมหาดเล็กกับผู้หญิงนั้นได้ทูลอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงฟังเสียงของพวกเขา พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากพื้นดินและได้ประทับบนพระแท่น
\v 24 ผู้หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ในบ้านหนึ่งตัว นางก็ได้รีบฆ่าเสีย นางได้เอาแป้งมานวดและได้ปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ
\v 25 นางก็ได้นำมาถวายให้ซาอูลและพวกมหาดเล็ก และซาอูลก็ได้เสวยและมหาดเล็กก็ได้รับประทาน แล้วซาอูลและพวกมหาดเล็กก็ได้ลุกขึ้นกลับไปในคืนนั้น
\s5
\c 29
\p
\v 1 บัดนี้พวกฟีลิสเตียได้ชุมนุมกองทัพทั้งสิ้นของพวกเขาอยู่ที่อาเฟก คนอิสราเอลก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในยิสเรเอล
\v 2 บรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้เดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน ดาวิดกับคนของเขาก็ผ่านไปกองระวังหลังกับอาคีช
\v 3 แล้วบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่?” อาคีชก็ได้รับสั่งแก่พวกเจ้าชายคนฟีลิสเตียว่า “นี่ไม่ใช่ดาวิดมหาดเล็กของซาอูลกษัตริย์อิสราเอลหรือ เขาอยู่กับเรามาหลายวันหรือหลายปีแล้วมากกว่า เรายังไม่เคยพบความผิดในตัวเขาเลย นับตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาเราจนถึงวันนี้ ?”
\s5
\p
\v 4 แต่พวกเจ้าชายของคนฟีลิสเตียก็ได้โกรธพระองค์ และได้ทูลพระองค์ว่า “ขอส่งผู้ชายคนนั้นไปให้พ้น เพื่อให้เขากลับไปอยู่ที่ที่พระองค์ได้ประทานให้เขา อย่าให้เขาลงไปสนามรบกับเรา เพื่อที่เขาจะไม่ได้กลายเป็นศัตรูของพวกเราในสนามรบ เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร? ไม่ใช่ด้วยศีรษะของคนของเราหรือ?
\v 5 คนนี้ไม่ใช่ดาวิดผู้ซึ่งพวกเขาร้องเพลงเต้นรำกัน กล่าวว่า ‘ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดได้ฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’?”
\v 6 แล้วอาคีชจึงได้ทรงเรียกดาวิดมา และรับสั่งแก่เขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าได้ปฏิบัติตนเป็นคนดีมาแล้ว และการที่เจ้าออกไปและกับการเข้ามาของเจ้ากับเราในกองทัพนั้นดีในสายตาของเรา เราไม่พบความผิดในเจ้าตั้งแต่วันที่เจ้าได้มาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ อย่างไรก็ตามพวกเจ้าชายทั้งหลายไม่ได้ชื่นชอบเจ้าเลย
\s5
\p
\v 7 ดังนั้น บัดนี้จงกลับไปอย่างสันติเถิด เพื่อที่เจ้าจะไม่เป็นที่ขัดใจพวกเจ้าชายของคนฟีลิสเตีย”
\v 8 ดาวิดก็ได้ทูลอาคีชว่า “แต่ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งใดหรือ? พระองค์ได้ทรงพบสิ่งใดในตัวของผู้รับใช้พระองค์ ตั้งแต่วันที่ข้าพระองค์ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์จนถึงวันนี้ ที่ข้าพระองค์อาจจะไม่ไปรบกับพวกศัตรูของเจ้านายของข้าพระองค์คือกษัตริย์หรือ?”
\v 9 อาคีชก็ได้กล่าวตอบดาวิดว่า “เรารู้แล้วว่าเจ้าไม่มีข้อตำหนิในสายตาของเราเช่นเดียวกับทูตสวรรค์ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า ‘เขาจะต้องไม่ขึ้นไปกับพวกเราในสงคราม’
\s5
\p
\v 10 ดังนั้น บัดนี้ จงลุกขึ้นแต่เช้าในวันพรุ่งนี้เช้าพร้อมกับพวกคนรับใช้แห่งนายของผู้ที่ได้มากับเจ้า ทันทีที่พวกเจ้าลุกขึ้นในเวลาเช้าตรู่และพอมีแสง ก็จงไปเลย”
\v 11 ดังนั้นดาวิดจึงได้ลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด ตัวเขาพร้อมกับพวกของเขา เพื่อออกเดินทางในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินของคนฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียได้ขึ้นไปยังยิสเรเอล
\s5
\c 30
\p
\v 1 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อดาวิดและคนของเขาได้มาถึงศิกลากในวันที่สาม คนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับศิกลากแล้ว พวกเขาได้โจมตีศิกลากและได้เผาศิกลากเสีย
\v 2 และได้จับพวกผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่ได้กวาดต้อนไปตามทางของพวกเขา
\v 3 เมื่อดาวิดกับพวกของเขามาถึงเมืองนั้น เมืองก็ได้ถูกเผาไปแล้ว และภรรยาของพวกเขากับบุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลย
\s5
\p
\v 4 แล้วดาวิดกับพวกประชาชนที่ได้อยู่กับเขาได้หวีดร้องและได้ร้องไห้จนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก
\v 5 ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ได้ถูกจับไปเป็นเชลย คืออาหิโนอัมคนยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาของนาบาลคนคารเมล
\v 6 ดาวิดก็ได้เป็นทุกข์หนักเพราะพวกประชาชนได้พูดกันว่าจะขว้างเขาให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะจิตใจของประชาชนทุกคนขมขื่น เรื่องพวกบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขาแต่ละคน แต่ดาวิดก็ได้เข้มแข็งขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา
\s5
\p
\v 7 ดาวิดจึงได้พูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรชายของอาหิเมเลคว่า “ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน โปรดนำเสื้อเอโฟดมาที่นี่ มาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็ได้นำเอโฟดมาให้ดาวิด
\v 8 และดาวิดได้ทูลถามพระยาห์เวห์เพื่อขอการทรงนำว่า “ถ้าข้าพระองค์จะไล่ตามกองทหารนี้ไป ข้าพระองค์จะไปทันพวกเขาหรือไม่?” พระยาห์เวห์ได้ทรงตอบเขาว่า “จงไล่ตามเถิด เพราะเจ้าจะไปทันพวกเขาแน่ และจะช่วยกู้ทุกสิ่งได้แน่นอน”
\v 9 ดังนั้นดาวิดก็ได้ออกไปพร้อมกับผู้ชายที่อยู่กับเขาหกร้อยคนนั้น พวกเขาได้มาถึงลำธารเบโสร์ ที่คนเหล่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้หยุดอยู่ที่นั่น
\s5
\p
\v 10 แต่ดาวิดก็ได้ไล่ตามต่อไป ทั้งตัวเขาและผู้ชายสี่ร้อยคน ส่วนผู้ชายสองร้อยคนพวกที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
\v 11 พวกเขาพบคนอียิปต์คนหนึ่งอยู่ในทุ่งนา และได้นำเขามาหาดาวิด พวกเขาได้ให้ขนมปังแก่เขา และเขาก็รับประทานพวกเขาก็ได้ให้น้ำเขาดื่ม
\v 12 และพวกเขาได้ให้ขนมมะเดื่อชิ้นหนึ่งกับลูกเกดสองถุง เมื่อเขาได้รับประทานแล้ว เขาก็ฟื้นกำลังขึ้นมา เพราะว่าเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
\s5
\p
\v 13 ดาวิดได้ถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร? และเจ้ามาจากไหน?” เขาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มแห่งอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วนายของข้าพเจ้าได้ทิ้งข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้ป่วยมาสามวันแล้ว
\v 14 พวกเราได้มาปล้นที่เนเกบของคนเคเรธี และปล้นของที่เป็นของยูดาห์ และที่เนเกบของคาเลบ และพวกเราได้เผาเมืองศิกลาก”
\v 15 ดาวิดได้กล่าวกับเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงหน่วยปล้นนี้หรือไม่?” คนอียิปต์ได้ตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่ทรยศมอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่หน่วยปล้นนั้น”
\s5
\p
\v 16 เมื่อคนอียิปต์ได้พาดาวิดลงไปแล้ว ก็พบพวกปล้นก็ได้กระจายกันอยู่เต็มทั่วพื้นที่ ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะของที่ปล้นได้มากมายซึ่งพวกเขาเอามาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์
\v 17 ดาวิดก็ได้ฆ่าฟันพวกเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีผู้ชายคนใดหนีรอดจากพวกเขาไปได้สักคน ยกเว้นพวกคนหนุ่มสี่ร้อยคนซึ่งได้ขี่อูฐหนีไป
\v 18 ดาวิดได้กู้สิ่งของที่คนอามาเลขได้นำไปคืนมาได้ทั้งหมด และดาวิดก็ได้ช่วยกู้ภรรยาทั้งสองของเขามาได้
\s5
\p
\v 19 ไม่มีสิ่งใดของพวกเขาที่ขาดไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าพวกบุตรชายหรือพวกบุตรหญิง ไม่ว่าของที่ยึดมา หรือสิ่งที่ถูกปล้นไปหรือทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเอาไปเป็นของพวกเขา ดาวิดได้คืนมาทุกสิ่ง
\v 20 ดาวิดยังได้ยึดฝูงสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และฝูงสัตว์ต่างๆ ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนไปข้างหน้าฝูงสัตว์ฝูงอื่น พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดยึดมา”
\v 21 แล้วดาวิดก็ได้กลับมายังผู้ชายสองร้อยคนผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามเขาไป พวกเหล่านี้ที่พวกเขาได้ให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาได้ออกไปพบดาวิดและพวกประชาชนที่อยู่กับเขา เมื่อดาวิดได้เข้ามาใกล้ประชาชนเหล่านี้เขาก็ได้ทักทายพวกเขา
\s5
\p
\v 22 แล้วคนอธรรมและคนไร้ค่าทั้งหมดที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ได้ติดตามดาวิดไปได้กล่าวว่า “เพราะพวกเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรายึดมาได้แก่พวกเขา นอกจากผู้ชายแต่ละคนก็ให้เอาภรรยาของเขาและพวกบุตรทั้งหลายของเขา ให้พวกเขาเอาไปได้ และไปเสีย”
\v 23 แล้วดาวิดกล่าวว่า “พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบแก่พวกเรา พระองค์ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาพวกเราไว้และทรงมอบหน่วยปล้นซึ่งมาต่อสู้กับพวกเราไว้ในมือของพวกเรา
\v 24 ใครเล่าที่จะฟังพวกท่านในเรื่องนี้ ? เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระ พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งและได้รับเหมือนกัน”
\s5
\p
\v 25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไปจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ดาวิดได้ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎและหลักปฏิบัติสำหรับอิสราเอล
\v 26 เมื่อดาวิดได้มาถึงเมืองศิกลากแล้ว เขาก็ได้ส่งของที่ยึดได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้พวกผู้อาวุโสของยูดาห์ และให้แก่พวกเพื่อนของเขา กล่าวว่า “จงดูเถิด นี่เป็นของสำหรับพวกท่านจากของที่ยึดมาจากพวกศัตรูของพระยาห์เวห์”
\v 27 เขาได้ส่งบางส่วนให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้อยู่ในเบธูเอล และคนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในราโมทตอนใต้ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในยาททีร์
\s5
\p
\v 28 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในอาโรเออร์ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในสิฟโมท และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในเอชเทโมอา
\v 29 เขาได้ส่งบางส่วนให้แก่พวกผู้อาวุโสที่ได้อยู่ในราคาล และให้แก่คนเหล่านั้นที่อยู่ในบรรดาเมืองของคนเยราเมเอล และให้แก่คนเหล่านั้นผู้ที่ได้อยู่ในบรรดาเมืองของคนเคไนต์
\v 30 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในโฮเรมาห์ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในโบราชาน และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในอาธาค
\v 31 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในเฮโบรน และให้แก่ทุกที่ที่ดาวิดเองกับพวกของเขาได้เคยไป
\s5
\c 31
\p
\v 1 บัดนี้คนฟีลิสเตียก็ได้ต่อสู้กับอิสราเอล และคนอิสราเอลก็ได้หนีไปต่อหน้าคนฟีลิสเตีย และได้ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา
\v 2 คนฟีลิสเตียก็ได้ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรสของพระองค์ คนฟีลิสเตียก็ได้ฆ่าบรรดาบุตรชายของซาอูล คือโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา
\v 3 การรบก็หนักหน่วงต่อซาอูล และพวกนักธนูก็ได้โจมตีซาอูลอย่างฉับพลัน พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะพวกเขา
\s5
\p
\v 4 แล้วซาอูลได้รับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบของเจ้าและแทงเราเสียให้ทะลุ มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะมาและทำป่าเถื่อนต่อเรา” แต่ผู้ถืออาวุธของพระองค์ไม่ได้ทำตาม เพราะเขาได้กลัวมาก ดังนั้นซาอูลจึงได้ทรงหยิบดาบของพระองค์และทรงล้มทับดาบนั้น
\v 5 เมื่อผู้ถืออาวุธของพระองค์ได้เห็นว่าซาอูลได้เสด็จสวรรคตแล้ว เขาก็ได้ล้มทับดาบของเขาตายด้วยกันกับพระองค์
\v 6 ดังนั้น ซาอูลก็ได้เสด็จสวรรคต ราชโอรสทั้งสามพระองค์ และผู้ถืออาวุธของพระองค์ คนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้เสด็จสวรรคตและตายด้วยกันในวันเดียวกันนั้น
\s5
\p
\v 7 เมื่อประชาชนอิสราเอลซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของหุบเขา และคนเหล่านั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดนได้เห็นว่าพวกคนอิสราเอลได้หนีไป และได้เห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จสวรรคตแล้ว พวกเขาก็ได้ทิ้งบรรดาเมืองต่างๆ ของพวกเขาและได้หลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็ได้เข้ามาและได้อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น
\v 8 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นในวันต่อมา เมื่อคนฟีลิสเตียได้มาปลดสิ่งของจากคนที่ถูกฆ่าตาย ก็ได้พบพระศพซาอูลและราชโอรสทั้งสามอยู่บนภูเขากิลโบอา
\v 9 พวกเขาจึงได้ตัดพระเศียรของซาอูล และได้ถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก และได้ส่งผู้แจ้งข่าวไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย และได้แจ้งข่าวไปยังวิหารรูปเคารพของพวกเขา และยังประชาชน
\s5
\p
\v 10 พวกเขาได้เอาเครื่องอาวุธของพระองค์ไปไว้ที่วิหารของพระอัชโทเรท และพวกเขาได้มัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน
\v 11 เมื่อคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองยาเบชกิเลอาดได้ยินว่าคนฟีลิสเตียทำอย่างนั้นกับซาอูล
\v 12 ผู้ชายที่เป็นนักรบทุกคนก็ได้ลุกขึ้นและเดินตลอดคืน และได้ปลดพระศพของซาอูล และพระศพของราชโอรสทั้งสามจากกำแพงเมืองเบธชาน พวกเขาได้นำมาที่เมืองยาเบช และได้ถวายพระเพลิงพระศพที่นั่น
\v 13 แล้วพวกเขาได้เก็บพระอัฐิและได้ไปฝังพระศพซาอูลและราชโอรสของพระองค์ไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช และได้อดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน