th_ulb/04-NUM.usfm

2084 lines
453 KiB
Plaintext

\id NUM Unlocked Literal Bible
\ide UTF-8
\h NUMBERS
\toc1 Numbers
\toc2 Numbers
\toc3 num
\mt1 NUMBERS
\s5
\c 1
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในเต๊นท์นัดพบในถิ่นทุรดันดารซีนาย เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในวันที่หนึ่งของเดือนที่สองในช่วงปีที่สอง หลังจากที่คนอิสราเอลได้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า
\v 2 "จงทำสำมะโนครัวของผู้ชายอิสราเอลทุกคนในแต่ละตระกูล ในครอบครัวของบิดาของพวกเขา จงนับพวกเขาตามรายชื่อ จงนับผู้ชายทุกคน แต่ละคน
\v 3 ที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้น จงนับทุกคนที่สามารถออกรบเป็นทหารให้กับอิสราเอลได้ เจ้ากับอาโรนต้องจดบันทึกจำนวนของผู้ชายในกลุ่มคนที่ติดอาวุธของพวกเขา
\s5
\p
\v 4 ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าตระกูลจากแต่ละเผ่าต้องทำงานร่วมกับเจ้าในการเป็นผู้นำเผ่าของเขา ผู้นำแต่ละคนต้องนำผู้ชายที่จะสู้รบเพื่อเผ่าของเขามา
\v 5 เหล่านี้เป็นรายชื่อของผู้นำที่ต้องสู้รบร่วมกับเจ้า คือ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์ จากเผ่ารูเบน
\v 6 เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัยจากเผ่าสิเมโอน
\v 7 นาโชนบุตรอัมมีนาดับ จากเผ่ายูดาห์
\s5
\p
\v 8 เนธันเอลบุตรศุอาร์ จากเผ่าอิสสาคาร์
\v 9 เอลีอับบุตรเฮโลน จากเผ่าเศบูลุน
\v 10 เอลีชามาบุตรอัมมีฮูด จากเผ่าเอฟราอิมบุตรของโยเซฟ กามาลิเอลบุตรเปดาห์ซูร์ จากเผ่ามนัสเสห์
\v 11 อาบีดันบุตรกิเดโอนี จากเผ่าเบนยามิน
\s5
\p
\v 12 อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย จากเผ่าดาน
\v 13 ปากีเอลบุตรโอคราน จากเผ่าอาเชอร์
\v 14 เอลียาสาฟบุตรเดอูเอล จากเผ่ากาด
\v 15 อาหิราบุตรเอนัน จากเผ่านัฟทาลี"
\s5
\p
\v 16 คนเหล่านี้เป็นพวกผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งจากประชาชน พวกเขาได้นำเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาเป็นผู้นำตระกูลในอิสราเอล
\v 17 โมเสสและอาโรนได้นำคนเหล่านี้ที่ได้จดบันทึกตามรายชื่อ
\v 18 และท่านทั้งสองพร้อมกับคนเหล่านี้ทั้งหมดได้ประชุมผู้ชายอิสราเอลทุกคน ในวันที่หนึ่งเดือนสอง จากนั้น ผู้ชายแต่ละคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นได้ระบุชื่อบรรพบุรุษของเขา เขาต้องบอกชื่อตระกูลและครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษของเขา
\s5
\p
\v 19 หลังจากที่โมเสสได้จดบันทึกจำนวนของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารซีนาย ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้ท่านทำแล้ว
\v 20 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์รูเบน บุตรหัวปีของอิสราเอล และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 21 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ารูเบนได้ 46,500 คน
\s5
\p
\v 22 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์สิเมโอน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 23 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าสิเมโอนได้ 59,300 คน
\v 24 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์กาด และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 25 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ากาดได้ 45,650 คน
\s5
\p
\v 26 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 27 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ายูดาห์ได้ 74,600 คน
\v 28 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากเผ่าอิสสาคาร์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 29 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าอิสสาคาร์ได้ 54,400 คน
\s5
\p
\v 30 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เศบูลุน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 31 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเศบูลุนได้ 57,400 คน
\v 32 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เอฟราอิมบุตรชายของโยเซฟ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 33 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเอฟราอิมได้ 40,500 คน
\s5
\p
\v 34 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์มนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 35 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ามนัสเสห์ได้ 32,200 คน
\v 36 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เบนยามิน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 37 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเบนยามินได้ 35,400 คน
\s5
\p
\v 38 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์ดาน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 39 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าดานได้ 62,700 คน
\v 40 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์อาเชอร์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 41 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าอาเชอร์ได้ 41,500 คน
\s5
\p
\v 42 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์นัฟทาลี และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 43 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่านัฟทาลีได้ 53,400 คน
\v 44 โมเสสและอาโรนนับพวกผู้ชายเหล่านี้ทุกคน รวมทั้งผู้ชายสิบสองคนที่เป็นผู้นำของสิบสองเผ่าของอิสราเอล
\v 45 เพราะฉะนั้น ผู้ชายอิสราเอลทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีและมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ ที่ได้นับในแต่ละครอบครัวของพวกเขา
\v 46 พวกเขานับจำนวนผู้ชายได้ 603,550 คน
\s5
\p
\v 47 แต่ไม่ได้นับพวกผู้ชายที่สืบเชื้อสายจากเลวี
\v 48 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 49 "เจ้าไม่ต้องนับจำนวนคนเผ่าเลวี หรือรวมพวกเขาในจำนวนรวมทั้งหมดของคนอิสราเอล
\s5
\p
\v 50 แทนที่จะทำเช่นนั้น จงมอบหมายให้พวกเลวีดูแลพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา และดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างในพลับพลา และดูแลทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น พวกเลวีต้องขนพลับพลา และพวกเขาต้องขนเครื่องใช้ของพลับพลา พวกเขาต้องดูแลพลับพลาและตั้งค่ายล้อมรอบพลับพลา
\v 51 และเมื่อมีการย้ายพลับพลาไปยังอีกที่หนึ่ง พวกเลวีต้องรื้อพลับพลาลง เมื่อมีการตั้งพลับพลาขึ้น พวกเลวีต้องตั้งพลับพลาขึ้น คนแปลกหน้าคนใดที่เข้ามาใกล้พลับพลาจะต้องตาย
\s5
\p
\v 52 เมื่อคนอิสราเอลตั้งเต๊นท์ของตน ผู้ชายแต่ละคนต้องตั้งเต๊นท์ใกล้กับธงที่เป็นของกลุ่มคนติดอาวุธของเขา
\v 53 อย่างไรก็ตาม พวกเลวีต้องตั้งเต๊นท์ของตนล้อมรอบพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา เพื่อที่ความโกรธของเราจะไม่ลงมาเหนือคนอิสราเอล พวกเลวีต้องดูแลพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา
\v 54 คนอิสราเอลก็ทำทุกสิ่งเหล่านี้ พวกเขาทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาผ่านทางโมเสส
\s5
\c 2
\p
\v 1 พระยาเวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "คนอิสราเอลแต่ละคนต้องตั้งค่ายพักล้อมรอบธงของตน ตามธงของครอบครัวของบรรพบุรุษของตน พวกเขาจะตั้งค่ายพักล้อมรอบเต็นท์นัดพบทุกด้าน
\s5
\p
\v 3 ค่ายพักเหล่านั้นที่จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเต็นท์นัดพบ ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ค่ายพักเหล่านั้นเป็นค่ายพักของยูดาห์ และพวกเขาตั้งค่ายพักภายใต้ธงของตน นาห์โชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำของคนยูดาห์
\v 4 จำนวนคนยูดาห์ คือ 74,600 คน
\v 5 เผ่าอิสสาคาร์ต้องตั้งค่ายพักถัดไปจากยูดาห์ เนธันเอลบุตรศูอาร์ ต้องนำกองทหารของอิสสาคาร์
\v 6 จำนวนคนในกองของเขา คือ 54,400 คน
\s5
\p
\v 7 เผ่าเศบูลุนต้องตั้งค่ายพักถัดไปจากอิสสาคาร์ เอลีอับบุตรเฮโลนต้องนำกองทหารของเศบูลุน
\v 8 จำนวนคนในกองของเขา คือ 57,400 คน
\v 9 จำนวนคนทั้งหมดของค่ายพักของยูดาห์ คือ 186,400 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับแรก
\s5
\p
\v 10 ทางด้านทิศใต้ จะเป็นค่ายพักของรูเบนภายใต้ธงของพวกเขา ผู้นำค่ายพักของรูเบน คือ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์
\v 11 จำนวนคนในกองของเขา คือ 46,500 คน
\v 12 เผ่าสิเมโอนตั้งค่ายพักถัดไปจากรูเบน ผู้นำของสิเมโอนคือเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย
\v 13 คนเหล่านั้นที่นับได้ในกองของเขา คือ 59,300 คน
\s5
\p
\v 14 เผ่ากาดอยู่ถัดไป ผู้นำของคนของพระเจ้า คือ เอลีอาสาฟ บุตรเดอูเอล
\v 15 จำนวนคนในกองของเขา คือ 45,650 คน
\v 16 คนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักรูเบน ตามกองของพวกเขา คือ 151,450 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับที่สอง
\s5
\p
\v 17 ต่อจากนั้น เต็นท์นัดพบต้องออกมาจากค่ายพักพร้อมกับคนเลวีที่อยู่ตรงกลางของค่ายพักทั้งหมด พวกเขาต้องออกมาจากค่ายให้เป็นระเบียบเช่นเดียวกับที่พวกเขาเข้าไปในค่ายพัก ผู้ชายทุกคนต้องอยู่ในที่ของเขา ตามธงของเขา
\v 18 กองของค่ายพักของเอฟราอิมอยู่ภายใต้ธงของพวกเขา ผู้นำของพวกเขา คือ เอลีชามาบุตรอัมมีฮูด
\v 19 จำนวนคนในกองของเขาคือ 40,500 คน
\s5
\p
\v 20 ถัดจากพวกเขาไปคือ เผ่ามนัสเสห์ ผู้นำของมนัสเสห์ คือ กามาลิเอลบุตรเปดาห์ซูร์
\v 21 จำนวนคนในกองของเขา คือ 32,200 คน
\v 22 ถัดไปจะเป็นเผ่าเบนยามิน ผู้นำของเบนยามิน คืออาบีดัน บุตรกิเดโอนี
\v 23 จำนวนคนในกองของเขา คือ 35,400 คน
\s5
\p
\v 24 จำนวนคนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักของเอฟราอิม คือ 108,100 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับที่สาม
\v 25 ทางด้านทิศเหนือ จะเป็นกองของค่ายพักของดาน ผู้นำของคนดาน คืออาหิเยเซอร์ บุตรอัมมีชัดดัย
\v 26 จำนวนคนในกองของเขา คือ 62,700 คน
\s5
\p
\v 27 คนของเผ่าอาเชอร์ตั้งค่ายพักถัดไปจากดาน ผู้นำของอาเชอร์ คือ ปากิเอลบุตรโอคราน
\v 28 จำนวนคนในกองของเขาคือ 41,500 คน
\v 29 เผ่านัฟทาลีอยู่ถัดไป ผู้นำของนัฟทาลี คือ อาหิราบุตรเอนัน
\v 30 จำนวนคนในกองของเขาคือ 53,400 คน
\s5
\p
\v 31 จำนวนคนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักที่อยู่กับดาน คือ 157,600 คน พวกเขาจะออกจากค่ายพักไปเป็นลำดับสุดท้าย ภายใต้ธงของพวกเขา"
\v 32 คนเหล่านี้คือคนอิสราเอลที่นับได้ตามครอบครัวของพวกเขา จำนวนคนเหล่านั้นที่นับได้ทั้งหมดในค่ายพักของพวกเขา ตามกองต่าง ๆ ของพวกเขา คือ 603,550 คน
\s5
\p
\v 33 แต่โมเสสกับอาโรนไม่ได้นับคนเลวีที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล นี่เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสสไว้
\v 34 คนอิสราเอลได้ทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสส พวกเขาตั้งค่ายพักตามธงของพวกเขา พวกเขาออกไปจากค่ายตามตระกูลของพวกเขาเรียงลำดับตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\s5
\c 3
\p
\v 1 ตอนนี้ นี่เป็นประวัติศาสตร์ของพงศ์พันธ์ุของอาโรนและโมเสส เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย
\v 2 ชื่อบุตรชายของอาโรน คือ นาดับบุตรหัวปี และอาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์
\v 3 เหล่านี้เป็นชื่อของบรรดาบุตรชายของอาโรน ผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นปุโรหิต และผู้ที่ได้รับการสถาปนาให้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต
\v 4 แต่นาดับและอาบีฮูได้ล้มลงตายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อพวกเขาได้ถวายไฟที่ต้องห้ามแด่พระองค์ในถิ่นทุรกันดารซีนาย นาดับและอาบีฮูไม่มีบุตร ดังนั้น เอเลอาซาร์กับอิธามาร์จึงทำหน้าที่เป็นปุโรหิตกับอาโรนบิดาของพวกเขา
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 6 "จงนำเผ่าเลวีมา และให้พวกเขาอยู่ต่อหน้าอาโรนปุโรหิต เพื่อให้พวกเขาช่วยท่าน
\v 7 พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่แทนอาโรนและแทนชุมชนทั้งหมดที่หน้าเต็นท์นัดพบ พวกเขาต้องทำงานรับใช้ในพลับพลา
\v 8 พวกเขาต้องดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างในเต็นท์นัดพบ และพวกเขาต้องช่วยบรรดาเผ่าของอิสราเอลในการทำหน้าที่ขนย้ายพลับพลา
\s5
\p
\v 9 เจ้าต้องมอบคนเลวีให้กับอาโรนและบุตรชายของเขา พวกเขาถูกมอบไว้ให้ช่วยเขาทำงานรับใช้คนอิสราเอลตลอดไป
\v 10 เจ้าต้องแต่งตั้งอาโรนและพวกบุตรของเขาให้เป็นปุโรหิต แต่คนต่างชาติคนใดที่เข้ามาใกล้ต้องถูกลงโทษถึงตาย
\s5
\p
\v 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 12 "ดูสิ เราได้เลือกคนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอล เราได้ทำเช่นนี้ แทนที่จะเลือกบุตรชายหัวปีแต่ละคนที่เกิดมาท่ามกลางคนอิสราเอล คนเลวีเป็นของเรา
\v 13 บุตรหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา ในวันที่เราได้ประหารบุตรหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกลูกหัวปีทั้งหมดในอิสราเอลออกมาเพื่อเราเอง ทั้งคนและสัตว์ พวกเขาทั้งหมดเป็นของเรา เราคือยาห์เวห์"
\s5
\p
\v 14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย พระองค์ตรัสว่า
\v 15 "จงนับพงศ์พันธุ์ของเลวีในแต่ละครอบครัว ในวงศ์วานบรรพบุรุษของพวกเขา จงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป
\v 16 โมเสสก็นับพวกเขาตามคำตรัสของพระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงบัญชาให้ทำ
\s5
\p
\v 17 ชื่อของพวกบุตรชายของเลวี คือเกอร์โชน โคฮาทและเมรารี
\v 18 ตระกูลที่มาจากบุตรของเกอร์โชน คือลิบนีและชิเมอี
\v 19 ตระกูลที่มาจากบุตรของโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล
\s5
\p
\v 20 ตระกูลที่มาจากบุตรของเมรารี คือมาห์ลีและมูชี ชื่อเหล่านี้เป็นตระกูลของคนเลวีที่จดรายชื่อตระกูลต่อตระกูล
\v 21 ตระกูลที่มาจากคนลิบนี และคนชิเมอีมาจากเกอร์โชน คนเหล่านี้เป็นตระกูลของคนเกอร์โชน
\v 22 ผู้ชายทุกคนที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ รวมทั้งหมด 7,500 คน
\s5
\p
\v 23 ตระกูลของคนเกอร์โชนต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศตะวันตกของพลับพลา
\v 24 เอลีอาสาฟบุตรของลาเอลต้องนำตระกูลของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชน
\v 25 ครอบครัวของเกอร์โชนต้องดูแลเต็นท์นัดพบรวมทั้งพลับพลาด้วย พวกเขาต้องดูแลเต็นท์นั้น สิ่งที่ปกคลุมเต็นท์ และม่านที่ใช้เป็นทางเข้าของเต็นท์นัดพบ
\v 26 พวกเขาต้องดูแลม่านบังลาน ม่านที่ทางเข้าลาน ที่อยู่รอบสถานนมัสการและแท่นบูชา พวกเขาต้องดูแลเชือกโยงของเต็นท์นัดพบและดูแลทุกอย่างที่อยู่ในนั้น
\s5
\p
\v 27 ตระกูลเหล่านี้มาจากโคฮาท คือตระกูลของคนอัมราม และตระกูลของคนอิสฮาร์ ตระกูลของคนเฮโบรน และตระกูลของคนอุสซีเอล ตระกูลเหล่านี้เป็นคนของโคฮาท
\v 28 ผู้ชายที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ 8,600 คน ที่จะดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของพระยาห์เวห์
\v 29 ครอบครัวของพงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศใต้ของพลับพลา
\v 30 เอลีซาฟานบุตรของอุสซีเอลจะต้องนำตระกูลของคนโคฮาท
\v 31 พวกเขาต้องดูแลหีบพระบัญญัติ โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาและสิ่งบริสุทธิ์ที่ใช้ในการปรนนิบัติของพวกเขา ม่าน และงานทุกอย่างที่อยู่บริเวณโดยรอบนั้น
\s5
\p
\v 32 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิตต้องเป็นผู้นำของหัวหน้าคนเลวี เขาต้องกำกับดูแลคนที่ดูแลสถานศักดิ์สิทธิ์
\v 33 มีสองตระกูลที่มาจากคนเมรารี คือตระกูลของคนมาห์ลีและตระกูลของคนมูชี ตระกูลเหล่านี้มาจากเมรารี
\v 34 ผู้ชายที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ 6,200 คน
\s5
\p
\v 35 ศุรีเอลบุตรชายของอาบีฮาอิลต้องนำตระกูลของเมรารี พวกเขาต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศเหนือของพลับพลา
\v 36 พงศ์พันธุ์ของเมรารีต้องดูแลไม้กรอบของพลับพลา คาน ไม้เสา และฐานรอง และส่วนประกอบทั้งหมด และรวมถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้
\v 37 เสาหลักและไม้เสาของลานที่อยู่รอบพลับพลา พร้อมกับข้อต่อ หลักหมุดและเชือกโยง
\s5
\p
\v 38 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายของท่านต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศตะวันออกของพลับพลาที่อยู่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบตรงด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น พวกเขารับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจของหน้าที่ในสถานนมัสการและหน้าที่ของคนอิสราเอล คนต่างชาติที่เข้ามาใกล้สถานนมัสการต้องมีโทษถึงตาย
\v 39 โมเสสกับอาโรนได้นับผู้ชายทั้งหมดในตระกูลของเลวีที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ พวกเขานับได้สองหมื่นสองพันคน
\s5
\p
\v 40 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดรายชื่อของพวกเขา
\v 41 เจ้าต้องนำเอาคนเลวีให้กับเรา เราคือยาห์เวห์ แทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลและฝูงสัตว์ของคนเลวี แทนลูกหัวปีของฝูงสัตว์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
\v 42 โมเสสนับบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านให้ทำ
\v 43 ท่านนับบุตรชายหัวปีทุกคนตามชื่อที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป ท่านนับได้ 22,273 คน
\s5
\p
\v 44 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า
\v 45 "จงนำเอาคนเลวีมาแทนที่บุตรหัวปีทุกคนที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล และนำเอาฝูงสัตว์ของคนเลวีมาแทนฝูงสัตว์ของชุมชนนั้น คนเลวีเป็นของเรา เราคือยาห์เวห์
\s5
\p
\v 46 เจ้าต้องเก็บเงินคนละห้าเชเขลเพื่อเป็นค่าไถ่บุตรหัวปีของคนอิสราเอล 273 คนที่เกินจำนวนของคนเลวี
\v 47 เจ้าต้องใช้เชเขลของสถานนมัสการเป็นตัวกำหนดการชั่งน้ำหนักของเจ้า หนึ่งเชเขลมีค่าเท่ากับยี่สิบเกราห์
\v 48 เจ้าต้องมอบเงินค่าไถ่ที่เจ้าจ่ายให้กับอาโรนและบรรดาบุตรของเขา"
\s5
\p
\v 49 ดังนั้น โมเสสจึงเก็บค่าไถ่จากคนเหล่านั้นที่เกินจากจำนวนของคนที่คนเลวีได้ไถ่ไว้แล้ว
\v 50 โมเสสเก็บเงินจากบุตรหัวปีของคนอิสราเอล ท่านเก็บได้ 1,365 เชเขล ที่ชั่งน้ำหนักตามเชเขลของสถานนมัสการ
\v 51 โมเสสได้มอบเงินค่าไถ่นั้นให้กับอาโรนและพวกบุตรของท่าน โมเสสได้ทำทุกอย่างตามคำตรัสของพระยาเวห์ที่ทรงบอกให้ท่านทำ ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาท่านไว้
\s5
\c 4
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและกับอาโรน พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงทำสำมะโนครัวของผู้ชายพงศ์พันธุ์ของโคฮาทจากท่ามกลางคนเลวี ตามตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 3 จงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ผู้ชายเหล่านี้ต้องเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\v 4 พงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องดูแลสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดที่สงวนไว้สำหรับเราในเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 5 เมื่อค่ายพักเตรียมที่จะเคลื่อนย้ายออกไป อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาต้องเข้าไปข้างในเต็นท์นั้น ปลดม่านที่กั้นอภิสุทธิสถานจากวิสุทธิสถาน และคลุมหีบแห่งสักขีพยานด้วยม่านนั้น
\v 6 พวกเขาต้องคลุมหีบนั้นด้วยหนังพะยูน พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าคลุมหีบนั้นไว้ พวกเขาต้องสอดไม้คานหามเพื่อขนย้ายมันไป
\s5
\p
\v 7 พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าบนโต๊ะขนมปังเฉพาะพระพักตร์ พวกเขาต้องวางจาน ช้อน ชาม และเหยือกสำหรับรินบนโต๊ะนั้น ขนมปังต้องมีอยู่บนโต๊ะเสมอไป
\v 8 พวกเขาต้องคลุมสิ่งเหล่านั้นด้วยผ้าสีแดงเข้มและคลุมทับด้วยหนังพะยูนอีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต้องสอดไม้คานหามเพื่อจะขนโต๊ะนั้นไป
\v 9 พวกเขาต้องเอาผ้าสีฟ้ามาและคลุมคันประทีป พร้อมกับตะเกียง คีม ถาด และเหยือกใส่น้ำมันสำหรับตะเกียงทุกใบของคันประทีปนั้น
\s5
\p
\v 10 พวกเขาต้องวางคันประทีบและส่วนประกอบของมันทั้งหมดในการห่อด้วยหนังพะยูน และพวกเขาต้องวางมันบนคานหาม
\v 11 พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าบนแท่นบูชาทองคำ พวกเขาต้องคลุมมันด้วยการห่อด้วยหนังพะยูน และจากนั้นก็สอดไม้คานหาม
\v 12 พวกเขาต้องเอาของใช้ทุกอย่างสำหรับงานในวิสุทธิสถาน และห่อมันด้วยผ้าสีฟ้า พวกเขาต้องคลุมมันด้วยหนังพะยูน และวางของใช้นั้นไว้บนคานหาม
\s5
\p
\v 13 พวกเขาต้องเอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา และปูผ้าสีม่วงบนแท่นบูชานั้น
\v 14 พวกเขาต้องวางของใช้ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ในงานเกี่ยวกับแท่นบูชาบนโครงหาม สิ่งของเหล่านี้ คือ ถาดรองไฟ ส้อม พลั่ว ชาม และของใช้อื่น ๆ ทุกอย่างสำหรับแท่นบูชา พวกเขาต้องคลุมแท่นบูชาด้วยหนังพะยูน และจากนั้นก็สอดไม้คานหาม
\s5
\p
\v 15 เมื่ออาโรนและพวกบุตรชายของเขาได้คลุมวิสุทธิสถานและของใช้ทุกอย่างของสถานที่นั้นเรียบร้อยแล้ว และในตอนที่จะเคลื่อนย้ายค่ายพักออกไป หลังจากนั้น พงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องเข้ามาขนย้ายวิสุทธิสถานไป ถ้าพวกเขาแตะต้องของใช้บริสุทธิ์ พวกเขาต้องตาย นี่เป็นงานของพงศ์พันธุ์ของโคฮาท คือการขนเครื่องใช้ในเต็นท์นัดพบ
\v 16 เอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตเป็นผู้ควบคุมการดูแลน้ำมันสำหรับตะเกียง เครื่องหอม และธัญญบูชาประจำ และน้ำมันเจิม เขาควบคุมการดูแลพลับพลาทั้งหมด และทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น คือวิสุทธิสถานและของใช้ของสถานที่นั้น
\s5
\p
\v 17 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า
\v 18 "อย่าให้ตระกูลเผ่าคนโคฮาทถูกตัดขาดไปจากท่ามกลางคนเลวี
\v 19 จงปกป้องพวกเขา เพื่อที่จะมีชีิวิตอยู่และไม่ตาย โดยการทำเช่นนี้ ตอนที่พวกเขาเข้าใกล้สิ่งบริสุทธิ์ที่สุด
\v 20 พวกเขาต้องไม่เข้าไปข้างในเพื่อจะมองวิสุทธิสถานแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว มิฉะนั้น พวกเขาต้องตาย อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องเข้าไป และจากนั้น อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องกำหนดให้คนโคฮาทแต่ละคนให้ทำงานของเขา ให้ทำงานเฉพาะของเขา"
\s5
\p
\v 21 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 22 "จงทำสำมะโนครัวของพงศ์พันธุ์ของเกอร์โชนด้วย ตามครอบครัวของบิดาของพวกเขา ตามตระกูลของพวกเขา
\v 23 จงนับคนเหล่านั้นที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี จงนับพวกเขาทุกคนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 24 นี่เป็นงานของตระกูลของคนเกอร์โชน เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และสิ่งที่พวกเขาต้องขนย้าย
\v 25 พวกเขาต้องขนม่านของพลับพลา เต็นท์นัดพบ และสิ่งที่ห่อหุ้มมัน ที่มีการคลุมด้วยหนังพะยูนที่อยู่บนนั้น และม่านสำหรับทางเข้าของเต็นท์นัดพบ
\v 26 พวกเขาต้องขนม่านของลาน ม่านสำหรับทางเข้าประตูของประตูลาน ที่อยู่ใกล้พลับพลา และใกล้แท่นบูชา เชือกโยงของม่านเหล่านั้น และเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา สิ่งใดก็ตามที่ควรจะทำกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาต้องทำสิ่งนั้น
\s5
\p
\v 27 อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชน ในทุกอย่างที่พวกเขาขนย้าย และในการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างของพวกเขา เจ้าต้องกำหนดความรับผิดชอบทุกอย่างของพวกเขาให้แก่พวกเขา
\v 28 นี่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตระกูลของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชนสำหรับเต็นท์นัดพบ อิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตต้องนำพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา
\s5
\p
\v 29 เจ้าต้องนับพงศ์พันธุ์ของเมรารีตามตระกูลของพวกเขา และเรียงลำดับพวกเขาตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 30 ตั้งแต่คนที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี จงนับทุกคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มและปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 31 นี่เป็นความรับผิดชอบและงานของพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดสำหรับเต็นท์นัดพบ พวกเขาต้องดูแลโครงของพลับพลา ไม้คาน ไม้เสา และฐานรอง
\v 32 ตลอดจนเสาไม้ของลานรอบพลับพลา ฐานรอง เหล็กหมุด และเชือกโยง กับส่วนประกอบต่าง ๆ ของพลับพลา จงจดรายชื่อของสิ่งของที่พวกเขาต้องขนย้าย
\v 33 นี่เป็นงานของตระกูลของพงศ์พันธุ์เมรารี สิ่งที่พวกเขาทำสำหรับเต็นท์นัดพบ ภายใต้การกำกับดูแลของอิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต"
\s5
\p
\v 34 โมเสสและอาโรนและบรรดาผู้นำชุมชนได้นับพงศ์พันธุ์ของโคฮาทตามตระกูลของครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 35 พวกเขานับคนเหล่านั้นที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไปจนถึงห้าสิบปี พวกเขานับทุกคนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\v 36 พวกเขานับได้ 2,750 คน ตามตระกูลของพวกเขา
\s5
\p
\v 37 โมเสสและอาโรนนับผู้ชายทุกคนในตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของคนโคฮาทที่ปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขาให้ทำผ่านทางโมเสส
\v 38 พงศ์พันธุ์ของเกอร์โชนที่นับในตระกูลของพวกเขา ตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 39 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\v 40 ผู้ชายทุกคนที่นับตามตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา นับได้ 2,630 คน
\s5
\p
\v 41 โมเสสและอาโรนได้นับตามตระกูลของพงศ์พันธุ์เกอร์โชน ผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้เชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเขาทำผ่านทางโมเสส
\v 42 พงศ์พันธุ์ของเมรารีที่นับได้ในตระกูลของพวกเขา ตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 43 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\v 44 ผู้ชายทุกคน ที่นับตามตระกูล และครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา นับได้ 3,200 คน
\s5
\p
\v 45 โมเสสและอาโรนนับพวกผู้ชายเหล่านี้ทุกคนที่เป็นพงศ์พันธุ์ของเมรารี ในการทำเช่นนี้ พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเขาทำผ่านทางโมเสส
\v 46 ดังนั้น โมเสส อาโรน และพวกผู้นำของอิสราเอลจึงนับคนเลวีทั้งหมดตามตระกูลของพวกเขา ในครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 47 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี พวกเขานับทุกคนที่จะทำงานในพลับพลา และผู้ที่จะขนย้ายและดูแลสิ่งของต่าง ๆ ในเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 48 พวกเขานับได้ 8,580 คน
\v 49 โมเสสนับผู้ชายแต่ละคนตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา และยังคงนับแต่ละคนต่อไปตามประเภทของงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ ท่านนับผู้ชายแต่ละคนตามชนิดของความรับผิดชอบที่พวกเขารับไว้ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้เชื่อฟังตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขาให้ทำผ่านทางโมเสส
\s5
\c 5
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงสั่งคนอิสราเอลให้แยกทุกคนที่ติดเชื้อโรคผิวหนัง และทุกคนที่มีสิ่งไหลออกมา และคนใดก็ตามที่เป็นมลทิน จากการแตะต้องซากศพออกไปจากค่ายพัก
\v 3 ไม่ว่าชายหรือหญิง เจ้าต้องแยกพวกเขาออกไปจากค่ายพัก พวกเขาต้องไม่ทำให้ค่ายพักนี้เป็นมลทิน เพราะเราสถิตอยู่ในค่ายพักนี้"
\v 4 คนอิสราเอลก็ทำตามนั้น พวกเขาแยกคนเหล่านั้นออกไปจากค่ายพักตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส คนอิสราเอลก็เชื่อฟังพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 6 "จงพูดกับคนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงได้ทำบาปใด ๆ อย่างที่ผู้คนได้ทำต่อกัน และเป็นการไม่สัตย์ซื่อต่อเรา คนนั้นก็มีความผิด
\v 7 จากนั้น เขาต้องสารภาพบาปที่เขาได้ทำ เขาต้องชดใช้ค่าการทำผิดของเขา และเพิ่มค่าชดใช้อีกหนึ่งในห้า เขาต้องให้ค่าชดใช้นั้นต่อคนที่เขาได้กระทำผิด
\v 8 แต่ถ้าคนที่เขาได้กระทำผิดไม่มีญาติสนิทที่จะรับค่าชดใช้ เขาต้องชดใช้ค่าการทำผิดของเขาให้กับเราผ่านทางปุโรหิต พร้อมกับลูกแกะที่จะลบบาปให้กับตัวเขาเอง
\s5
\p
\v 9 เครื่องบูชาทุกอย่างของคนอิสราเอล บรรดาสิ่งที่คนอิสราเอลแยกไว้ และนำมาให้ปุโรหิต ก็จะเป็นของเขา
\v 10 เครื่องบูชาของทุกคนจะเป็นของปุโรหิต ถ้าคนใดมอบสิ่งใด ๆ ให้แก่ปุโรหิต สิ่งนั้นจะก็เป็นของเขา"
\s5
\p
\v 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 12 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกพวกเขาว่า สมมุติว่าภรรยาของชายคนหนึ่งนอกใจและทำบาปต่อสามีของนาง
\v 13 แล้วสมมุติว่าชายอีกคนหนึ่งหลับนอนกับนาง ในกรณีนั้น นางก็เป็นมลทิน ถึงแม้ว่าสามีของนางจะไม่เห็นหรือไม่รู้เรื่องนี้ และถึงแม้ว่า ไม่มีใครจับได้ว่านางได้กระทำเช่นนั้น และไม่มีใครเป็นพยานปรักปรำนาง
\v 14 แต่อย่างไรก็ตาม วิญญาณแห่งความหึงหวงยังคอยเตือนสามีว่าภรรยาของเขาเป็นมลทิน อย่างไรก็ดี วิญญาณแห่งความหึงหวงที่มาบนชายคนนั้นอาจจะผิดก็ได้ เมื่อภรรยาของเขาไม่ได้เป็นมลทิน
\s5
\p
\v 15 ในกรณีเช่นนี้ ชายคนนั้นควรพาภรรยาของเขาไปหาปุโรหิต และสามีต้องนำเครื่องดื่มบูชาสำหรับนางมาด้วย เขาต้องนำแป้งบาร์เลย์หนึ่งในสิบเอฟาห์มาด้วย เขาต้องไม่ใส่น้ำมัน หรือกำยานบนแป้งนั้น เพราะแป้งนั้นเป็นธัญบูชาแห่งความหึงหวง ธัญบูชานั้นอาจจะเป็นตัวชี้ให้เห็นบาปได้
\v 16 ปุโรหิตต้องพานางมาใกล้ และให้นางยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 17 ปุโรหิตต้องนำเหยือกที่มีน้ำบริสุทธิ์มา และเอาฝุ่นจากพื้นของพลับพลา เขาต้องใส่ฝุ่นลงไปในน้ำนั้น
\s5
\p
\v 18 ปุโรหิตจะให้หญิงนั้นยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาจะแก้มัดผมบนศีรษะของนาง เขาจะวางธัญบูชาแห่งการระลึกไว้ในมือของนาง ที่เป็นธัญบูชาแห่งความสงสัย ปุโรหิตจะถือน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมาไว้ในมือของเขา
\v 19 ปุโรหิตจะให้หญิงนั้นอยู่ภายใต้คำสาบาน และบอกกับนางว่า 'ถ้าไม่มีชายอื่นมีเพศสัมพันธ์กับเจ้า และเจ้าไม่ได้หลงผิด และทำให้เป็นมลทิน แล้วเจ้าจะพ้นจากน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมานี้
\s5
\p
\v 20 แต่ถ้าเจ้า เป็นหญิงที่อยู่ภายใต้สามี ได้หลงผิดไป ถ้าเจ้าเป็นมลทิน และถ้ามีชายคนอื่นได้หลับนอนกับเจ้า
\v 21 จากนั้น (ปุโรหิตต้องทำให้นางให้คำสาบาน เพื่อที่จะนำคำแช่งสาปลงมาบนนาง และจากนั้นเขาต้องพูดกับหญิงคนนี้ต่อไปว่า) "พระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้าตกอยู่ในคำสาปแช่ง เพื่อให้ประจักษ์ต่อชุมชนของเจ้าว่าเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าพระยาห์เวห์ทรงทำให้โคนขาของเจ้าลีบไป และทำให้ท้องของเจ้าป่อง
\s5
\p
\v 22 น้ำที่นำคำสาปแช่งมาก็จะเข้าไปในกระเพาะของเจ้า และทำให้ท้องของเจ้าป่อง และทำให้โคนขาของเจ้าลีบไป' หญิงคนนั้นต้องตอบว่า "ใช่ ขอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ถ้าข้าพเจ้าผิด"
\v 23 ปุโรหิตต้องเขียนคำสาปแช่งเหล่านั้นบนหนังสือม้วน และจากนั้น เขาต้องล้างคำสาปแช่งที่เขียนไว้ลงไปในน้ำขมนั้น
\v 24 ปุโรหิตต้องทำให้หญิงนั้นดื่มน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมา น้ำที่นำคำสาปแช่งมาจะเข้าไปในตัวนาง และกลายเป็นรสขม
\s5
\p
\v 25 ปุโรหิตต้องเอาธัญบูชาแห่งความหึงหวงมาจากมือของหญิงนั้น เขาต้องยกธัญบูชานั้นขึ้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และนำธัญบูชานั้นไปที่แท่นบูชา
\v 26 ปุโรหิตต้องเอาธัญบูชามาหนึ่งกำมือที่เป็นตัวแทนเครื่องบูชา และเผาบนแท่นบูชา แล้วเขาต้องให้หญิงนั้นดื่มน้ำขม
\v 27 เมื่อเขาให้นางดื่มน้ำนั้นแล้ว ถ้านางเป็นมลทิน เพราะนางทำผิดต่อสามีของนาง แล้วน้ำที่นำคำสาปแช่งมาก็จะเข้าไปในตัวเธอและกลายเป็นรสขม ท้องของนางจะป่องและโคนขาของนางจะลีบไป หญิงนั้นจะถูกสาปแช่งท่ามกลางชุมชนของนาง
\v 28 แต่ถ้านางไม่เป็นมลทิน และถ้านางสะอาด แล้วนางก็ต้องพ้นความผิด นางจะตั้งครรภ์ได้
\s5
\p
\v 29 นี่เป็นกฎเรื่องความหึงหวง กฎนี้เป็นกฎสำหรับผู้หญิงที่นอกใจสามีของตนและเป็นมลทิน
\v 30 กฎนี้เป็นกฎสำหรับผู้ชายที่มีวิญญาณแห่งความหึงหวง เมื่อเขาหึงหวงภรรยาของเขา เขาต้องพาหญิงนั้นไปอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และปุโรหิตต้องทำทุกอย่างกับนางตามที่กฎเรื่องความหึงหวงได้อธิบายไว้
\v 31 ชายคนนั้นจะพ้นจากความผิดในการพาภรรยาของเขาไปหาปุโรหิต หญิงคนนั้นต้องรับความผิดที่นางได้ทำ"
\s5
\c 6
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกพวกเขาว่า 'เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงคนใดได้แยกตัวเองออกมาแด่พระยาเวห์ด้วยการปฏิญาณตัวพิเศษเป็นนาศีร์
\v 3 เขาต้องปลีกตัวเองออกจากเหล้าองุ่นและเครื่องดื่มมึนเมา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ทำมาจากเหล้าองุ่นหรือจากเครื่องดื่มมึนเมา เขาต้องไม่ดื่มน้ำองุ่น หรือไม่กินผลองุ่นสด หรือผลองุ่นแห้งเลย
\s5
\p
\v 4 ตลอดเวลาที่เขาแยกตัวออกมาเพื่อเรา เขาต้องไม่กินอะไรที่ทำมาจากต้นองุ่น รวมทั้งทุกอย่างที่ทำมาจากเมล็ดจนถึงเปลือกของมัน
\v 5 ตลอดช่วงระหว่างเวลาของการปฏิญาณในการแยกตัวออกมาของเขา ห้ามใช้มีดโกนบนศีรษะของเขา จนกว่าเวลาของการแยกตัวเองออกมาของเขาแด่พระยาห์เวห์ครบกำหนด เขาต้องแยกตัวออกมาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องไว้ผมยาวบนศีรษะของเขา
\v 6 ตลอดช่วงระหว่างเวลาของการแยกตัวเองออกมาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องไม่เข้ามาใกล้ศพ
\s5
\p
\v 7 เขาต้องไม่ทำให้ตัวเองเป็นมลทิน เนื่องจากบิดา มารดา พี่น้องชายหรือหญิงของเขา ถ้าหากพวกเขาตาย นี่เป็นเพราะเขาถูกแยกไว้แด่พระเจ้าแล้ว ตามที่ทุกคนเห็นได้จากผมยาวของเขา
\v 8 ตลอดช่วงเวลาการแยกออกมาของเขา เขาบริสุทธิ์ และสงวนไว้แด่พระยาห์เวห์
\v 9 ถ้าหากบังเอิญมีใครมาตายอยู่ข้าง ๆ เขาพอดี และทำให้ศีรษะของเขาที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วเป็นมลทิน แล้วเขาก็ต้องโกนศีรษะในวันชำระตัวของเขา คือในวันที่เจ็ด เขาต้องโกนศีรษะ
\v 10 วันที่แปด เขาต้องนำนกเขาสองตัว หรือนกพิราบหนุ่มสองตัวมาหาปุโรหิตที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 11 ปุโรหิตต้องถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบบาป และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา นกเหล่านี้จะลบล้างบาปให้กับเขา เพราะเขาได้ทำบาปจากการอยู่ใกล้ศพ เขาต้องชำระศีรษะของเขาให้บริสุทธิ์อีกครั้งในวันนั้น
\v 12 เขาต้องแยกตัวเองออกมาจากพระยาห์เวห์ในช่วงวันชำระตัวของเขา เขาต้องนำลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีมาเป็นเครื่องบูชาแห่งการทำผิด จำนวนวันก่อนที่เขาทำให้ตัวเองเป็นมลทินต้องถือว่าไม่นับ เพราะการแยกตัวออกมาของเขาเป็นมลทิน
\v 13 นี่เป็นกฎเกี่ยวกับนาศีร์สำหรับเมื่อตอนที่การแยกออกมาของเขาได้ครบกำหนดแล้ว เขาต้องถูกนำมายังทางเข้าของเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 14 เขาต้องถวายเครื่องบูชาของเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องถวายลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีและปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา เขาต้องนำลูกแกะตัวเมียตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาลบบาป เขาต้องนำแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิมาถวายเป็นสันติบูชา
\v 15 เขาต้องนำขนมปังที่ปราศจากเชื้อมากระจาดหนึ่งด้วย ขนมปังที่ทำจากแป้งเนื้อละเอียดเคล้าด้วยน้ำมัน ขนมปังแผ่นที่ปราศจากเชื้อทาด้วยน้ำมัน พร้อมกับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
\v 16 ปุโรหิตต้องถวายสิ่งเหล่านี้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาต้องถวายเครื่องบูชาลบบาปและเครื่องเผาบูชา
\v 17 เขาต้องถวายแกะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชา พร้อมกับกระจาดขนมปังไร้เชื้อ และสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ ปุโรหิตต้องถวายธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาด้วย
\s5
\p
\v 18 นาศีร์ต้องโกนศีรษะของเขาที่แสดงให้เห็นถึงการแยกตัวออกมาแด่พระเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ เขาต้องเอาเส้นผมจากศีรษะของเขาและใส่ลงบนไฟที่อยู่ภายใต้การถวายเครื่องบูชาของสันติบูชา
\v 19 ปุโรหิตต้องเอาเนื้อไหล่ของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้ว ขนมปังที่ปราศจากเชื้อหนึ่งก้อนมาจากกระจาด และขนมปังแผ่นที่ปราศจากเชื้อหนึ่งแผ่นมา เขาต้องวางสิ่งเหล่านี้ไว้ในมือของนาศีร์คนนั้น หลังจากที่เขาได้โกนศีรษะของเขาเพื่อแสดงการแยกตัวออกมาแล้ว
\s5
\p
\v 20 ปุโรหิตต้องโบกเครื่องบูชาเหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ส่วนที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิต พร้อมกับเนื้ออกที่ได้โบกถวาย และเนื้อโคนขาที่ได้ถวายแล้วสำหรับปุโรหิต หลังจากนั้น นาศีร์คนนั้นก็จะดื่มเหล้าองุ่นก็ได้
\v 21 นี่เป็นกฎสำหรับนาศีร์ผู้ที่ปฏิญาณเครื่องบูชาของเขาแด่พระยาห์เวห์สำหรับการแยกตัวออกมาของเขา สิ่งอื่นใดก็ตามที่เขาถวายได้ เขาต้องถือรักษาภาระผูกพันตามคำปฏิญาณที่เขาได้กล่าวไว้ เพื่อที่จะรักษาสัญญาตามกฎสำหรับนาศีร์ที่ได้บอกไว้'"
\s5
\p
\v 22 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า
\v 23 "จงพูดกับอาโรนและพวกบุตรชายของเขา บอกว่า 'พวกท่านต้องอวยพรคนอิสราเอลอย่างนี้ พวกท่านต้องบอกกับพวกเขาว่า
\v 24 "ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่านและพิทักษ์รักษาท่าน
\s5
\p
\v 25 ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ส่องแสงบนท่าน และทรงพระกรุณาแก่ท่าน
\v 26 ขอพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรพวกท่านด้วยความชอบพระทัย และประทานสันติสุขแก่ท่าน"
\v 27 ในการอวยพรเช่นนี้ พวกเขาต้องเอ่ยนามของเราต่อคนอิสราเอล แล้วเราจะอวยพรพวกเขา"
\s5
\c 7
\p
\v 1 ในวันที่โมเสสได้ตั้งพลับพลาเสร็จนั้น ท่านได้เจิมพลับพลาและแยกพลับพลานั้นไว้แด่พระยาเวห์ พร้อมกับเครื่องใช้ทุกอย่างของพลับพลานั้น ท่านได้ทำการเจิมแท่นบูชา และของใช้ทุกอย่างของแท่นบูชานั้นเช่นเดียวกัน ท่านเจิมสิ่งเหล่านั้นและแยกไว้แด่พระยาเวห์
\v 2 ในวันนั้น บรรดาผู้นำของอิสราเอล พวกหัวหน้าครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา ได้ถวายเครื่องบูชา คนเหล่านี้เป็นผู้นำเผ่าต่าง ๆ พวกเขาได้ดูแลการนับจำนวนคนในการทำสำมะโนครัว
\v 3 พวกเขานำเครื่องถวายบูชาของพวกเขามาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขานำเกวียนประทุนหกเล่มและวัวสิบสองตัวมา พวกเขานำเกวียนมาหนึ่งเล่มมาต่อผู้นำสองคน และผู้นำแต่ละคนได้นำวัวมาคนละหนึ่งตัว พวกเขาได้ถวายสิ่งเหล่านี้ข้างหน้าพลับพลา
\s5
\p
\v 4 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 5 "จงรับบรรดาเครื่องบูชาจากพวกเขา และใช้เครื่องบูชาเหล่านั้นสำหรับงานในเต็นท์นัดพบ จงมอบเครื่องบูชาเหล่านั้นให้กับคนเลวี ให้กับแต่ละคนตามที่ต้องการใช้สิ่งเหล่านั้นในงานของเขา
\v 6 โมเสสจึงรับเกวียนและฝูงวัวมา และท่านได้มอบเครื่องบูชาเหล่านั้นให้กับคนเลวี
\s5
\p
\v 7 ท่านได้มอบเกวียนสองเล่มและวัวสี่ตัวให้กับพงศ์พันธุ์ของเกอร์โชน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการใช้ในการทำงานของพวกเขา
\v 8 ท่านได้มอบเกวียนสี่เล่มและวัวแปดตัวให้กับพงศ์พันธุ์ของเมรารี ให้อยู่ในความดูแลของอิธามาร์บุตรชายของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิต ท่านได้ทำเช่นนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการใช้ในการทำงานของพวกเขา
\v 9 แต่ท่านไม่ได้มอบสิ่งใดจากสิ่งเหล่านั้นให้กับพงศ์พันธุ์ของโคฮาทเลย เพราะงานของพวกเขาเป็นงานเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นของพระยาห์เวห์ ที่พวกเขาจะแบกไว้บนบ่าของพวกเขาเอง
\s5
\p
\v 10 บรรดาผู้นำได้ถวายสิ่งของต่างๆ ของพวกเขาสำหรับการมอบถวายแท่นบูชาในวันที่โมเสสได้เจิมแท่นบูชา พวกผู้นำได้ถวายบรรดาเครื่องบูชาของพวกเขาข้างหน้าแท่นบูชา
\v 11 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "ผู้นำแต่ละคนต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับการมอบถวายแท่นบูชาในวันของเขาเอง"
\s5
\p
\v 12 วันแรก นาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับแห่งเผ่ายูดาห์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 13 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 14 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบที่หนักสิบเชเขล และเต็มด้วยเครื่องหอม
\s5
\p
\v 15 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 16 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 17 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของนาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับ
\s5
\p
\v 18 วันที่สอง เนธันเอลบุตรชายของศุอาร์ผู้นำของเผ่าอิสสาคาร์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 19 เขาได้ถวายเป็นเครื่องบูชาของเขา คือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 20 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 21 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 22 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 23 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเนธันเอลบุตรชายของศุอาร์
\s5
\p
\v 24 วันที่สาม เอลีอับบุตรชายของเฮโลน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเศบูลุน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 25 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 26 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 27 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 28 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 29 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีอับบุตรชายของเฮโลน
\s5
\p
\v 30 วันที่สี่ เอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์ ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของรูเบน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 31 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 32 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 33 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 34 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 35 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์
\s5
\p
\v 36 วันที่ห้า เชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัย ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 37 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 38 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 39 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 40 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 41 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัย
\s5
\p
\v 42 วันที่หก เอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอล ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของกาด ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 43 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 44 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 45 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 46 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 47 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอล
\s5
\p
\v 48 วันที่เจ็ด เอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 49 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 50 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 51 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 52 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 53 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด
\s5
\p
\v 54 วันที่แปด กามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์ ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 55 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 56 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 57 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 58 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 59 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของกามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์
\s5
\p
\v 60 วันที่เก้า อาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 61 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 62 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 63 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 64 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 65 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี
\s5
\p
\v 66 วันที่สิบ อาหิเอเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของดาน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 67 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 68 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 69 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 70 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 71 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาหิเอเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย
\s5
\p
\v 72 วันที่สิบเอ็ด ปากีเอลบุตรชายของโอคราน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 73 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งเนื้อละเอียดเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 74 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 75 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 76 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 77 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของปากีเอลบุตรชายของโอคราน
\s5
\p
\v 78 วันที่สิบสอง อาหิราบุตรชายของเอนัน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา
\v 79 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา
\v 80 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
\s5
\p
\v 81 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา
\v 82 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 83 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาหิราบุตรชายของเอนัน
\s5
\p
\v 84 บรรดาผู้นำของอิสราเอลได้แยกสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ ในวันที่โมเสสเจิมแท่นบูชานั้น พวกเขาแยกจานเงินสิบสองใบ ชามเงินสิบสองใบ และจานทองคำสิบสองใบ
\v 85 จานเงินแต่ละใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินแต่ละใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ภาชนะเงินทั้งหมดมีน้ำหนัก 2,400 เชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ
\v 86 จานทองคำแต่ละใบที่เต็มด้วยเครื่องหอมหนักสิบเชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ จานทองคำทั้งหมดหนัก 120 เชเขล
\s5
\p
\v 87 พวกเขาแยกสัตว์ทั้งหมดไว้เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชา คือวัวสิบสองตัว แกะผู้สิบสองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสองตัว พวกเขาได้ถวายธัญบูชาของพวกเขา พวกเขาได้ถวายแพะผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\v 88 พวกเขาได้ถวายจากฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขา คือ วัวยี่สิบสี่ตัว แกะผู้หกสิบตัว แพะผู้หกสิบตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหกสิบตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นสำหรับการมอบถวายแท่นบูชา หลังจากที่ได้เจิมแท่นบูชานั้นแล้ว
\v 89 เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อทูลพระยาห์เวห์ ท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ตรัสกับท่าน พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านจากเหนือฝาหีบลบล้างบาปที่อยู่บนหีบแห่งคำพยาน จากระหว่างเครูบทั้งสอง พระองค์ได้ตรัสกับท่าน
\s5
\c 8
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงพูดกับอาโรน จงบอกเขาว่า 'ตะเกียงเจ็ดดวงต้องส่องแสงไปทางด้านหน้าของคันประทีป เมื่อเจ้าจุดตะเกียงเหล่านั้น'"
\v 3 อาโรนก็ได้ทำดังนี้ ท่านจุดตะเกียงบนคันประทีปเพื่อให้ส่องแสงไปทางด้านหน้าของคันประทีปนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส
\v 4 คันประทีปได้ทำขึ้นในลักษณะนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงให้โมเสสเห็นแบบสำหรับคันประทีป คันประทีปนั้นทำด้วยทองคำตั้งแต่ฐานจนถึงยอด พร้อมด้วยถ้วยที่มีลวดลายเหมือนดอกไม้
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 6 "จงนำคนเลวีออกจากท่ามกลางคนอิสราเอล และชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์
\v 7 จงทำดังนี้กับพวกเขาในการชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ คือจงประพรมบนพวกเขาด้วยน้ำชำระบาป จงให้พวกเขาโกนทั่วทั้งตัวของพวกเขา และซักเสื้อผ้าของพวกเขา การทำเช่นนี้เป็นการชำระตัวพวกเขาเองให้บริสุทธิิ์
\v 8 แล้วให้พวกเขานำวัวหนุ่มมาตัวหนึ่งและธัญบูชาคู่กันที่เป็นแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมัน ให้พวกเขาเอาวัวหนุ่มอีกตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาลบบาป
\s5
\p
\v 9 เจ้าจงนำคนเลวีมาที่ด้านหน้าเต็นท์นัดพบ และให้เรียกชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน
\v 10 เมื่อเจ้านำคนเลวีมาอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ คนอิสราเอลต้องวางมือของพวกเขาบนคนเลวี
\v 11 อาโรนต้องถวายคนเลวีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นเครื่องบูชาโบกถวายจากคนอิสราเอล เพื่อให้พวกเขาทำงานปรนนิบัติของพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 12 คนเลวีต้องวางมือของพวกเขาบนหัวของวัวทั้งสองตัวนั้น เจ้าต้องถวายวัวตัวหนึ่งเป็นเครื่อบูชาลบบาป และวัวอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาต่อเรา เพื่อลบบาปให้กับคนเลวี
\v 13 จงให้คนเลวีอยู่ต่อหน้าอาโรนและต่อหน้าบรรดาบุตรชายของเขา และยกพวกเขาขึ้นเป็นเครื่องบูชาโบกถวายต่อเรา
\v 14 ในการทำเช่นนี้ เจ้าต้องแยกคนเลวีออกจากท่ามกลางคนอิสราเอล คนเลวีจะเป็นของเรา
\v 15 หลังจากนั้น คนเลวีต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ เจ้าต้องชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ เจ้าต้องถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชาโบกถวาย
\s5
\p
\v 16 จงทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาเป็นของเราอย่างแท้จริงจากท่ามกลางคนอิสราเอล พวกเขาจะมาแทนที่เด็กชายแต่ละคนที่เกิดจากครรภ์เป็นคนแรก คือบุตรหัวปีของพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลทั้งหมด เราได้รับเอาคนเลวีไว้สำหรับเราเอง
\v 17 บุตรหัวปีทั้งหมดท่ามกลางคนอิสราเอลเป็นของเรา ทั้งคนและสัตว์ ในวันที่เราได้เอาชีวิตบุตรหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกพวกเขาไว้สำหรับเราเอง
\v 18 เราได้รับเอาคนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอลมาแทนที่บุตรหัวปีทั้งหมด
\v 19 เราได้มอบพวกคนเลวีเป็นของประทานให้กับอาโรนและบรรดาบุตรของเขา เราได้รับเอาพวกเขาจากท่ามกลางคนอิสราเอลเพื่อที่จะทำงานของคนอิสราเอลในเต็นท์นัดพบ เราได้มอบพวกเขาเพื่อลบบาปให้กับคนอิสราเอล เพื่อที่จะไม่มีภัยพิบัติใด ๆ จะทำร้ายคนเหล่านั้น เมื่อพวกเขามาอยู่ใกล้วิสุทธิสถาน"
\s5
\p
\v 20 โมเสส อาโรน และชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมดก็ได้ทำดังนี้กับคนเลวี พวกเขาได้ทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับคนเลวี คนอิสราเอลก็ได้ทำดังนี้กับพวกเขา
\v 21 คนเลวีก็ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ พวกเขาซักเสื้อผ้าของตน และอาโรนได้ถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ และท่านก็ทำการลบบาปให้กับพวกเขาเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์
\v 22 หลังจากนั้น คนเลวีก็ได้เข้าไปทำการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในเต็นท์นัดพบต่อหน้าอาโรนและต่อหน้าบรรดาบุตรชายของอาโรน นี่เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสสเกี่ยวกับคนเลวี พวกเขาได้ปฏิบัติต่อพวกคนเลวีทุกคนในวิธีการนี้
\s5
\p
\v 23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 24 "กฎทั้งหมดนี้ใช้สำหรับคนเลวีที่มีอายุยี่สิบห้าปีขึ้นไป พวกเขาต้องเข้าร่วมในกลุ่มเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
\v 25 พวกเขาต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะนี้ เมื่อมีอายุห้าสิบปี เมื่อมีอายุถึงที่กำหนดไว้นั้น พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป
\v 26 พวกเขาอาจจะยังช่วยพวกพี่น้องของตนที่ยังทำงานอยู่ในเต็นท์นัดพบก็ได้ แต่พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป เจ้าต้องกำกับดูแลคนเลวีในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด"
\s5
\c 9
\p
\v 1 ในเดือนที่หนึ่งปีที่สอง หลังจากที่พวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงให้คนอิสราเอลถือปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี
\v 3 ในวันที่สิบสี่เวลาเย็นของเดือนนี้ เจ้าต้องถือปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี เจ้าต้องถือปัสกาตามกฎระเบียบทุกอย่าง และทำตามข้อบังคับทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนั้น
\s5
\p
\v 4 ดังนั้น โมเสสจึงได้บอกกับคนอิสราเอลว่า พวกเขาควรจะถือเทศกาลปัสกา
\v 5 ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถือปัสกาในเดือนที่หนึ่ง เวลาเย็นวันที่สิบสี่ของเดือนนั้นในถิ่นทุรกันดารซีนาย คนอิสราเอลก็ได้ทำตามทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้โมเสสทำ
\s5
\p
\v 6 มีบางคนที่เป็นมลทินเนื่องจากศพ พวกเขาไม่สามารถถือปัสกาในวันนั้นได้ พวกเขาจึงไปอยู่ต่อหน้าโมเสสและอาโรนในวันเดียวกันนั้น
\v 7 คนเหล่านั้นกล่าวกับโมเสสว่า "เราได้เป็นมลทินเพราะศพ ทำไมท่านจึงห้ามเราจากการถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ตามเวลาที่กำหนดไว้ของปีท่ามกลางคนอิสราเอล?"
\v 8 โมเสสจึงตอบคนเหล่านั้นว่า "จงคอยข้าพเจ้าเพื่อที่จะฟังว่า พระยาห์เวห์จะตรัสสั่งอะไรเกี่ยวกับพวกท่าน"
\s5
\p
\v 9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 10 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกว่า 'ถ้าคนใดในพวกเจ้า หรือพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นมลทินเพราะศพ หรืออยู่ระหว่างการเดินทางไกล เขาก็ยังถือปัสกาแด่พระยาห์เวห์ได้'
\v 11 พวกเขาต้องถือปัสกาในเดือนที่สอง เวลาเย็นวันที่สิบสี่ พวกเขาต้องกินปัสกาพร้อมกับขนมปังที่ปราศจากเชื้อกับผักรสขม
\v 12 พวกเขาต้องไม่เหลือปัสกานั้นไว้จนรุ่งเช้า หรือหักกระดูกใดๆ ของมัน พวกเขาต้องทำตามกฎระเบียบของปัสกา
\s5
\p
\v 13 แต่คนใดที่ไม่เป็นมลทิน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ผู้นั้นไม่ได้ถือปัสกา คนนั้นต้องถูกตัดขาดจากชุมชนของเขา เพราะเขาไม่ถวายเครื่องบูชาที่พระยาห์เวห์ที่ทรงประสงค์ตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี คนนั้นต้องแบกรับบาปของเขา
\v 14 ถ้าคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าและถือปัสกาเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องถือปัสกาและทำทุกอย่างตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชาไว้ ในการถือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของปัสกาและทำตามกฎของปัสกา เจ้าต้องมีกฎอย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและสำหรับทุกคนที่เกิดในแผ่นดินนี้
\s5
\p
\v 15 ในวันที่จัดตั้งพลับพลา มีเมฆมาปกคลุมพลับพลาที่เป็นเต็นท์แห่งพันธสัญญาพระบัญชา ในตอนเย็นเมฆที่อยู่เหนือพลับพลาก็จะปรากฏเหมือนไฟจนถึงรุ่งเช้า
\v 16 ก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ เมฆจะปกคลุมพลับพลาและปรากฏเหมือนไฟในตอนกลางคืน
\v 17 เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไปจากเต็นท์นั้น คนอิสราเอลก็จะออกเดินทางไป เมฆหยุดลงที่ใดก็ตาม คนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น
\s5
\p
\v 18 คนอิสราเอลจะออกเดินทางตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะตั้งค่ายพักตามพระบัญชาของพระองค์ ในขณะที่เมฆยังคงหยุดอยู่เหนือพลับพลา พวกเขาจะพักในค่ายพักของพวกเขา
\v 19 เมื่อเมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลาหลายวัน แล้วคนอิสราเอลก็จะทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และไม่ออกเดินทาง
\v 20 บางครั้งเมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน ในกรณีนั้น พวกเขาต้องทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะตั้งค่ายพัก และออกเดินทางอีกครั้งตามพระบัญชาของพระองค์
\s5
\p
\v 21 บางครั้งเมฆก็ปรากฏในค่ายพักตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงตอนเช้า เมื่อเมฆลอยขึ้นไปในตอนเช้า พวกเขาก็ออกเดินทาง ถ้าเมฆคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นไป พวกเขาก็จะเดินทางไป
\v 22 ไม่ว่าเมฆจะอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลาสองวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ตราบใดที่เมฆยังอยู่ที่นั่น คนอิสราเอลต้องพักอยู่ในค่ายพักของพวกเขาและไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไป พวกเขาก็จะออกเดินทาง
\v 23 พวกเขาจะตั้งค่ายพักตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเดินทางตามพระบัญชาของพระองค์ พวกเขาจะทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ที่ทรงประทานผ่านทางโมเสส
\s5
\c 10
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 "จงทำแตรเงินสองคัน จงทุบเงินด้วยค้อนเพื่อทำแตรเหล่านั้น เจ้าต้องใช้แตรเพื่อที่จะเรียกชุมชนให้มาชุมนุมกัน และเรียกชุมชนให้เคลื่อนย้ายค่ายพักของพวกเขา
\v 3 พวกปุโรหิตต้องเป่าแตรทั้งสองเพื่อเรียกชุมชนทั้งหมดมาชุมนุมอยู่ข้างหน้าเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\v 4 ถ้าพวกปุโรหิตเป่าแตรเพียงคันเดียว แล้วบรรดาผู้นำที่เป็นหัวหน้าของตระกูลต่างๆ ของอิสราเอลก็ต้องมาชุมนุมกับเจ้า
\s5
\p
\v 5 เมื่อเจ้าเป่าแตรเป็นสัญญาณเสียงดัง บรรดาค่ายพักทางด้านทิศตะวันออกต้องเริ่มออกเดินทาง
\v 6 เมื่อเจ้าเป่าแตรเป็นสัญญาณเสียงดังครั้งที่สอง บรรดาค่ายพักทางด้านทิศใต้ก็ต้องเริ่มออกเดินทาง พวกเขาต้องเป่าเป็นสัญญาณเสียงดังสำหรับการเดินทางของพวกเขา
\v 7 เมื่อชุมชนมาชุมนุมกัน จงเป่าแตรเหล่านั้น แต่ไม่ต้องเสียงดัง
\v 8 พวกบุตรชายของอาโรน บรรดาปุโรหิตต้องเป่าแตร แตรนี้จะเป็นกฎระเบียบสำหรับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 9 เมื่อพวกเจ้าออกไปทำสงครามกับศัตรูที่ข่มเหงเจ้าในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าต้องเป่าเสียงสัญญาณปลุกด้วยแตรเหล่านั้น เรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะระลึกถึงพวกเจ้า และจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากศัตรูของพวกเจ้า
\v 10 ในเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ทั้งเทศกาลงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นประจำ และทุกต้นเดือน เจ้าต้องเป่าแตรเช่นเดียวกันเพื่อให้เกียรติแก่เครื่องเผาบูชาของเจ้า และเป่าแตรเหนือเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชาของเจ้า สิ่งเหล่านี้จะเป็นการทำให้พวกเจ้าระลึกถึงเรา พระเจ้าของพวกเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า"
\s5
\p
\v 11 ในวันที่ยี่สิบของเดือนที่สองปีที่สอง เมฆก็ลอยขึ้นไปจากพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา
\v 12 แล้วคนอิสราเอลก็ออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนาย เมฆนั้นก็หยุดในถิ่นทุรกันดารปาราน
\v 13 พวกเขาได้ออกเดินทางครั้งแรกตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงประทานผ่านทางโมเสส
\s5
\p
\v 14 ค่ายพักภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ออกเดินทางเป็นกองแรกที่เคลื่อนขบวนแต่ละกองของพวกเขาออกไป นาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับได้นำกองของยูดาห์
\v 15 เนธันเอลบุตรชายของศุอาร์ได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์อิสสาคาร์
\v 16 เอลีอับบุตรชายของเฮโลนได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์เศบูลุน
\v 17 พงศ์พันธุ์เกอร์โชนและของเมรารี ผู้ที่ดูแลพลับพลาก็รื้อพลับพลาลง แล้วพวกเขาก็ออกเดินทาง
\s5
\p
\v 18 ต่อมา บรรดากองที่อยู่ภายใต้ธงของค่ายพักรูเบนก็เริ่มออกเดินทาง เอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์ได้นำกองของรูเบน
\v 19 เชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัยได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์สิเมโอน
\v 20 เอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอลได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์กาด
\v 21 คนโคฮาทออกเดินทาง พวกเขาแบกหามเครื่องใช้บริสุทธิ์ของสถานนมัสการ ส่วนกองอื่น ๆ ก็จะจัดตั้งพลับพลาก่อนที่คนโคฮาทจะไปถึงที่ค่ายพักต่อไป
\s5
\p
\v 22 บรรดากองที่อยู่ภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์เอฟราอิมออกเดินทางเป็นลำดับต่อไป เอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูดได้นำกองของเอฟราอิม
\v 23 กามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์ได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์
\v 24 อาบีดันบุตรชายของกิเดโอนีได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์เบนยามิน
\v 25 บรรดากองที่ตั้งค่ายพักภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์ดานออกเดินทางเป็นกองสุดท้าย อาหิเอเซอร์บุตรของอัมมีชัดดัยได้นำกองของดาน
\s5
\p
\v 26 ปากีเอลบุตรชายของโอครานได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์อาเชอร์
\v 27 อาหิราบุตรชายของเอนันได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี
\v 28 นี่เป็นรูปแบบการเดินทางของกองต่างๆ ของคนอิสราเอล
\s5
\p
\v 29 โมเสสได้พูดกับโฮบับบุตรชายของเรอูเอลคนมีเดียน เรอูเอลเป็นบิดาของภรรยาของโมเสส โมเสสได้พูดกับโฮบับว่า "เรากำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกไว้ พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า 'เราจะมอบแผ่นดินนั้นให้กับพวกเจ้า' มากับเราเถิด และเราจะทำดีต่อท่าน พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาว่าจะทรงทำดีต่ออิสราเอล"
\v 30 แต่โฮบับได้บอกโมเสสว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับท่าน ข้าพเจ้าจะไปยังแผ่นดินของข้าพเจ้า และชุมชนของข้าพเจ้า"
\v 31 แล้วโมเสสจึงได้ตอบว่า "อย่าจากเราไปเลย ท่านรู้วิธีการตั้งค่ายพักในถิ่นทุรกันดาร ท่านต้องคอยเฝ้าระวังให้กับเรา
\v 32 ถ้าท่านไปกับเรา เราจะทำดีต่อท่านเช่นเดียวกับที่พระยาห์เวห์ทรงทำดีต่อเรา"
\s5
\p
\v 33 พวกเขาได้เดินทางจากภูเขาแห่งพระยาห์เวห์เป็นเวลาสามวัน หีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ก็ไปข้างหน้าพวกเขาเป็นเวลาสามวัน เพื่อที่จะหาสถานที่พักให้กับพวกเขา
\v 34 เมฆของพระยาห์เวห์อยู่เหนือพวกเขาในตอนกลางวันในขณะที่พวกเขาเดินทาง
\v 35 เมื่อใดก็ตามที่หีบนั้นออกเดินทาง โมเสสจะกล่าวว่า "ขอพระยาห์เวห์ทรงลุกขึ้น ขอทรงทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป ขอให้คนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์ต้องวิ่งหนีไปจากพระองค์"
\v 36 เมื่อใดก็ตามที่หีบนั้นหยุดลง โมเสสก็จะกล่าวว่า "ขอพระยาห์เวห์ทรงกลับมาสู่คนอิสราเอลที่มีจำนวนมากมายหลายหมื่นคนนี้ด้วยเถิด"
\s5
\c 11
\p
\v 1 บัดนี้ ประชาชนได้บ่นเกี่ยวกับความยากลำบากของพวกเขา ขณะที่พระยาห์เวห์ทรงฟังอยู่ พระยาห์เวห์ทรงได้ยินคนเหล่านั้นแล้วก็กริ้ว ไฟจากพระยาห์เวห์ได้เผาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขา และเผาค่ายพักที่อยู่รอบนอกไปบางส่วน
\v 2 แล้วประชาชนก็ร้องขอต่อโมเสส ดังนั้น โมเสสจึงได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ แล้วไฟนั้นก็ดับ
\v 3 พวกเขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่าทาเบราห์ เพราะไฟของพระยาห์เวห์ได้เผาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
\s5
\p
\v 4 พวกคนต่างชาติบางคนก็เข้ามาตั้งค่ายพักอยู่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาต้องการอาหารที่ดีกว่ามากิน แล้วคนอิสราเอลก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญและกล่าวว่า "ใครจะให้เนื้อเรากิน?
\v 5 เราคิดถึงปลาในอียิปต์ที่เราได้กินโดยไม่ต้องเสียอะไร อีกทั้ง แตงกวา แตงโม ต้นกระเทียม หัวหอม และหัวกระเทียม
\v 6 บัดนี้ เราเบื่ออาหารนี้เต็มทนแล้ว เพราะที่เราเห็นทั้งหมดก็มีแต่มานา"
\s5
\p
\v 7 มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูเหมือนยางไม้
\v 8 ประชาชนก็เดินออกไปรอบ ๆ และเก็บมานา พวกเขาบดมานาในโม่หิน ตำในครก ต้มในหม้อและทำเป็นขนม มานามีรสเหมือนกับน้ำมันมะกอกสด
\v 9 เมื่อน้ำค้างตกลงมาเหนือค่ายพักในตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมาด้วย
\s5
\p
\v 10 โมเสสได้ยินว่าประชาชนพากันร้องไห้คร่ำครวญในครอบครัวของพวกเขา และผู้ชายทุกคนก็อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตน พระยาห์เวห์กริ้วมาก และการบ่นของพวกเขาเป็นความผิดในสายตาของโมเสส
\v 11 โมเสสจึงทูลพระยาห์เวห์ว่า "ทำไมพระองค์จึงทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากเช่นนี้? ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงพอพระทัยข้าพระองค์? พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์แบกภาระหนักจนเกินกำลังกับคนทั้งหมดนี้
\v 12 ข้าพระองค์ตั้งท้องคนเหล่านี้มาหรือ? ข้าพระองค์คลอดพวกเขามา เพื่อที่พระองค์จะตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'จงอุ้มพวกเขาไว้แนบอกของเจ้าเหมือนกับบิดาอุ้มลูกน้อยหรือ?' ข้าพระองค์ควรจะอุ้มพวกเขาไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงสาบานกับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะทรงมอบให้กับพวกเขาหรือ?"
\s5
\p
\v 13 ข้าพระองค์จะหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้ได้? พวกเขากำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์ และบอกว่า "ขอเนื้อให้เรากิน"
\v 14 ข้าพระองค์เพียงคนเดียวไม่สามารถแบกรับคนเหล่านี้ทั้งหมดได้ พวกเขามีจำนวนมากเกินไปสำหรับข้าพระองค์
\v 15 ถ้าหากพระองค์จะทรงทำแก่ข้าพระองค์เช่นนี้ ก็ขอให้พระองค์ประหารข้าพระองค์เสียเดี๋ยวนี้เถิด ถ้าพระองค์ทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ก็ขอทรงเอาความทุกข์ยากของข้าพระองค์ออกไปด้วยเถิด"
\s5
\p
\v 16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงพาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลเจ็ดสิบคนมาหาเรา ขอให้แน่ใจว่าพวกเขาเป็นพวกผู้ใหญ่และเป็นพวกเจ้าหน้าที่ของประชาชน จงพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบ และยืนอยู่กับเจ้าที่นั่น
\v 17 เราจะลงมาและสนทนากับเจ้าที่นั่น เราจะเอาพระวิญญาณที่อยู่บนเจ้าบางส่วนมาและใส่ลงไปบนพวกเขา พวกเขาจะแบกภาระของประชาชนร่วมกับเจ้า เจ้าไม่ต้องแบกรับภาระนั้นเพียงคนเดียว
\v 18 จงบอกประชาชนว่า 'จงชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับพรุ่งนี้ และพวกเจ้าจะได้กินเนื้อจริงๆ เพราะพวกเจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญ และพระยาห์เวห์ได้ทรงได้ยินที่พวกเจ้าพูดว่า "ใครจะให้เนื้อเรากิน? เราอยู่ในอียิปต์ก็ดีอยู่แล้ว" เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จะทรงประทานเนื้อให้แก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้กินเนื้อ
\s5
\p
\v 19 พวกเจ้าจะไม่ได้กินเนื้อแค่เพียงวันเดียว สองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน
\v 20 แต่พวกเจ้าจะกินเนื้อตลอดทั้งเดือนจนเนื้อออกมาจากจมูกของเจ้า จนเนื้อทำให้พวกเจ้าเอียน เพราะพวกเจ้าปฏิเสธพระยาห์เวห์ผู้ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เจ้าบอกว่า 'ทำไมเราจึงออกมาจากอียิปต์?'""
\v 21 แล้วโมเสสทูลว่า "ข้าพระองค์อยู่กับคน 600,000 คน และพระองค์ได้ตรัสว่า 'เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดทั้งเดือน'
\v 22 เราควรจะฆ่าฝูงแพะแกะและฝูงโคมาเพื่อให้พวกเขาพอใจหรือ? เราควรจะจับปลาทั้งหมดในทะเลมาเพื่อทำให้พวกเขาพอใจหรือ?"
\s5
\p
\v 23 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "มือของเราสั้นไปหรือ? บัดนี้ เจ้าจะได้เห็นว่าคำของเราจะเป็นจริงหรือไม่"
\v 24 โมเสสออกไปและบอกถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ตรัสต่อประชาชน ท่านได้ประชุมผู้ใหญ่ของประชาชนเจ็ดสิบคน และให้พวกเขายืนอยู่รอบเต็นท์นั้น
\v 25 พระยาห์เวห์ทรงลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพระวิญญาณบนโมเสสบางส่วนไปใส่บนพวกผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณทรงสถิตบนพวกเขา พวกเขาก็เผยพระวจนะ แต่เฉพาะในช่วงเวลานั้น และไม่ได้ทำอีกเลย
\s5
\p
\v 26 ชายสองคนที่ยังอยู่ในค่ายพัก ชื่อเอลดาด และเมดาด พระวิญญาณได้ทรงสถิตบนพวกเขาเช่นกัน ชื่อของพวกเขาก็อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ออกไปที่เต็นท์นั้น อย่างไรก็ดี พวกเขาก็เผยพระวจนะในค่ายพัก
\v 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในค่ายพักนั้นได้วิ่งมาบอกโมเสสว่า "เอลดาด และเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่ายพัก"
\v 28 โยชูวาบุตรชายของนูน ผู้ช่วยของโมเสส ซึ่งเป็นคนหนึ่งของคนที่เขาเลือกมาบอกกับโมเสสว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้พวกเขาหยุดพูดเถิด"
\v 29 โมเสสบอกกับเขาว่า "ท่านอิจฉา เพราะเห็นแก่เราหรือ?" ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนทุกคนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะ และเพื่อที่พระองค์จะทรงใส่พระวิญญาณของพระองค์ลงบนพวกเขาทุกคน"
\v 30 แล้วโมเสสและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กลับไปยังค่ายพัก
\s5
\p
\v 31 แล้วลมก็พัดมาจากพระยาห์เวห์ และหอบเอานกคุ่มมาจากทะเล พวกนกเหล่านั้นก็มาตกอยู่ใกล้ค่ายพัก ซึ่งเดินทางไปถึงประมาณหนึ่งวัน และเดินทางกลับมาประมาณหนึ่งวัน นกคุ่มก็ตกอยู่รอบค่ายพักสูงจากพื้นดินประมาณสองศอก
\v 32 ประชาชนก็ง่วนอยู่กับการจับนกคุ่มกันตลอดทั้งวันทั้งคืน และตลอดวันถัดมาด้วย ไม่มีใครที่จับนกคุ่มได้น้อยกว่าสิบโฮเมอร์ พวกเขาแบ่งนกคุ่มให้แก่กันทั่วค่ายพัก
\v 33 ในขณะที่เนื้อนกยังติดฟันพวกเขาอยู่ ในขณะที่กำลังเคี้ยวเนื้อนั้นอยู่ พระยาห์เวห์ก็กริ้วพวกเขา พระองค์ทรงประหารคนเหล่านั้นด้วยโรคภัยร้ายแรง
\s5
\p
\v 34 เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ขิบโรธ หัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่น พวกเขาได้ฝังศพคนเหล่านั้นที่ตะกละกินเนื้อมาก
\v 35 ประชาชนได้เดินทางจากขิบโรธ หัทธาอาวาห์ไปยังฮาเซโรธที่พวกเขาได้พักอยู่ที่นั่น
\s5
\c 12
\p
\v 1 ต่อมา มิเรียมกับอาโรนได้พูดต่อต้านโมเสส เพราะเหตุหญิงชาวคูชที่ท่านแต่งงานด้วย
\v 2 พวกเขาได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสคนเดียวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ตรัสกับเราบ้างหรือ?" พระยาห์เวห์ทรงได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด
\v 3 ในขณะที่โมเสสเป็นคนที่ถ่อมใจยิ่งนัก ถ่อมใจยิ่งกว่าคนอื่นใดบนแผ่นดิน
\s5
\p
\v 4 ในทันใดนั้น พระยาห์เวห์ก็ตรัสกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า "พวกเจ้าทั้งสามคนจงออกไปที่เต็นท์นัดพบ" พวกเขาทั้งสามคนจึงออกไป
\v 5 แล้วพระยาห์เวห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ พระองค์ประทับยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และทรงเรียกอาโรนกับมิเรียม พวกเขาทั้งสองคนก็ออกมาข้างหน้า
\v 6 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "บัดนี้ จงฟังถ้อยคำของเรา เมื่อผู้เผยพระวจนะของเราอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เราจะสำแดงตัวเราเองต่อเขาในนิมิต และพูดกับเขาในความฝัน
\s5
\p
\v 7 แต่โมเสสผู้รับใช้ของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในครัวเรือนทั้งหมดของเรา เขาเป็นคนสัตย์ซื่อ
\v 8 เราพูดกับโมเสสโดยตรง ไม่ได้พูดด้วยนิมิตหรือคำปริศนา เขาได้เห็นสัณฐานของเรา ดังนั้น ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เกรงกลัวที่พูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา?"
\v 9 พระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่อเขาทั้งสองคน แล้วพระองค์ก็ทรงจากพวกเขาไป
\s5
\p
\v 10 เมฆก็ลอยขึ้นไปจากเต็นท์นั้น แล้วทันใดนั้น มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวราวกับหิมะ เมื่ออาโรนหันมาดูมิเรียม ท่านก็เห็นมิเรียมเป็นโรคเรื้อน
\v 11 อาโรนจึงกล่าวกับโมเสสว่า "โอ เจ้านายของข้าพเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษบาปนี้ต่อเราเลย เราได้พูดอย่างโง่เขลา และเราได้ทำบาปแล้ว
\v 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กแรกเกิดที่ตายแล้ว ผู้ที่มีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง ตอนที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดา"
\s5
\p
\v 13 ดังนั้น โมเสสจึงร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณารักษานางให้หายด้วยเถิด"
\v 14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "ถ้าบิดาของนางถ่มน้ำลายใส่หน้าของนาง นางก็จะอับอายไปเจ็ดวัน จงกักตัวนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น จึงพานางเข้ามาอีกครั้ง"
\v 15 ดังนั้น มิเรียมจึงถูกกักตัวไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวัน ประชาชนก็ไม่ออกเดินไป จนกระทั่งนางได้กลับมายังค่ายพัก
\v 16 หลังจากนั้น ประชาชนก็ออกเดินทางไปจากฮาเซโรธ และตั้งค่ายพักในถิ่นทุรกันดารปาราน
\s5
\c 13
\p
\v 1 จากนั้น พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงส่งบางคนไปสอดแนมแผ่นดินคานาอันที่เราได้มอบให้แก่คนอิสราเอล จงส่งคนจากทุกเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขาเผ่าละคน แต่ละคนต้องเป็นผู้นำท่ามกลางพวกเขา"
\v 3 โมเสสจึงส่งพวกเขาไปจากถิ่นทุรกันดารปาราน เพื่อให้พวกเขาทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาทุกคนเป็นผู้นำท่ามกลางคนอิสราเอล
\s5
\p
\v 4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา ชัมมุวาบุตรชายของศักเกอร์จากเผ่ารูเบน
\v 5 ชาฟัทบุตรชายของโฮรีจากเผ่าสิเมโอน
\v 6 คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์
\v 7 อิกาลบุตรชายของโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์
\s5
\p
\v 8 โฮเชยาบุตรชายของนูนจากเผ่าเอฟราอิม
\v 9 ปัลทีบุตรชายของราฟูจากเผ่าเบนยามิน
\v 10 กัดดีเอลบุตรชายของโสดีจากเผ่าเศบูลุน
\v 11 กัดดีบุตรชายของสุสีจากเผ่าโยเซฟ (นั่นเป็นการบอกว่า จากเผ่ามนัสเสห์)
\s5
\p
\v 12 อัมมีเอลบุตรชายของเกมัลลีจากเผ่าดาน
\v 13 เสธูร์บุตรชายของมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์
\v 14 นาห์บีบุตรชายของโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี
\v 15 เกอูเอลบุตรชายของมาคีจากเผ่ากาด
\v 16 เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนที่โมเสสได้ส่งไปสอดแนมแผ่นดินนั้น โมเสสเรียกโฮเชยาบุตรชายของนูนโดยใช้ชื่อว่าโยชูวา
\s5
\p
\v 17 โมเสสส่งพวกเขาไปสอดแนมแผ่นดินคานาอัน ท่านบอกพวกเขาว่า "จงเข้าไปตั้งแต่เนเกฟ และขึ้นไปยังเขตแดนเทือกเขา
\v 18 จงตรวจดูแผ่นดินนั้นเพื่อดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร จงสังเกตดูคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นว่า พวกเขาเข้มแข็งหรืออ่อนแอ และพวกเขามีจำนวนน้อยหรือมาก
\v 19 จงดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี? บรรดาเมืองที่นั่นเป็นอย่างไร? เมืองเหล่านั้นเป็นค่ายพัก หรือเป็นเมืองที่มีกำแพงป้องกัน?
\v 20 จงดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร แผ่นดินนั้นเหมาะสำหรับการงอกงามของพืชผลหรือไม่ และมีต้นไม้อยู่ที่นั่นหรือไม่ จงกล้าหาญเถิด และนำตัวอย่างของผลิตผลของแผ่นดินนั้นมาด้วย" เวลาตอนนี้เป็นฤดูที่ผลองุ่นรุ่นแรกสุก
\s5
\p
\v 21 ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปและสอดแนมแผ่นดินนั้น ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศินจนถึงเรโหบใกล้กับเมืองเลโบฮามัท
\v 22 พวกเขาขึ้นไปจากเนเกฟ และมาถึงเมืองเฮโบรน มีคนอาหิมาน คนเชชัย และคนทัลมัย ซึ่งเป็นเชื้อสายตระกูลจากคนอานาคอยู่ที่นั่น เมืองเฮโบรนได้ถูกสร้างขึ้นก่อนเมืองโศอันในอียิปต์เจ็ดปี
\v 23 เมื่อพวกเขามาถึงหุบเขาเอชโคล พวกเขาก็ตัดกิ่งที่มีพวงองุ่นพวงหนึ่ง พวกเขาต้องใช้สองคนในกลุ่มของพวกเขาหามพวงองุ่นนั้นด้วยไม้คาน พวกเขายังนำผลทับทิมและผลมะเดื่อมาด้วย
\v 24 สถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่าหุบเขาเอชโคล เพราะพวงองุ่นที่คนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
\s5
\p
\v 25 หลังจากสี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาจากการสอดแนมแผ่นดินนั้น
\v 26 พวกเขากลับมาหาโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช คนเหล่านั้นได้กลับมารายงานต่อท่านทั้งสองและชุมชนทั้งหมด และให้พวกเขาดูผลไม้จากแผ่นดินนั้น
\v 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า "เราได้ไปถึงแผ่นดินที่ท่านได้ส่งเราไป แผ่นดินนั้นอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งจริง ๆ นี่เป็นผลไม้จำนวนหนึ่งจากแผ่นดินนั้น
\s5
\p
\v 28 แต่อย่างไรก็ตาม คนที่สร้างบ้านเรือนของพวกเขาที่นั่นเป็นคนแข็งแรงมาก เมืองเหล่านั้นมีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก เราได้เห็นพงศ์พันธุ์ของคนอานาคที่นั่นด้วย
\v 29 คนอามาเลคอาศัยอยู่ในเนเกฟ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์มีบ้านเรือนของพวกเขาในเขตแดนหุบเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ใกล้ทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
\v 30 แล้วคาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสส และกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปและยึดครองแผ่นดินนั้น เพราะเราสามารถชนะเมืองนั้นได้แน่นอน"
\s5
\p
\v 31 แต่คนอื่น ๆ ที่ได้ไปกับเขากล่าวว่า "เราไม่สามารถต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรา"
\v 32 ดังนั้น พวกเขาก็รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสอดแนมมาให้รู้กันทั่วที่ทำให้คนอิสราเอลเกิดความท้อถอย พวกเขากล่าวว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปเห็นมาเป็นแผ่นดินที่กินคน ทุกคนที่เราได้เห็นที่นั่นเป็นคนสูงใหญ่มาก
\v 33 ที่นั่นเราได้เห็นยักษ์ที่เป็นพงศ์พันธุ์คนอานาค คนที่มาจากพวกยักษ์ ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราเป็นในสายตาของพวกเขาด้วย"
\s5
\c 14
\p
\v 1 ในคืนนั้น ชุมชนทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดัง
\v 2 คนอิสราเอลทั้งหมดก็ต่อว่าโมเสสกับอาโรน ชุมชนทั้งหมดกล่าวกับท่านทั้งสองว่า "เราอยากจะตายเสียในแผ่นดินอียิปต์ หรือในถิ่นทุรกันดารที่นี่
\v 3 ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงนำเรามายังแผ่นดินนี้เพื่อที่จะตายด้วยดาบ? ภรรยาและลูกเล็กๆ ของเราก็จะกลายเป็นผู้รับเคราะห์ ให้เรากลับไปที่อียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?"
\v 4 พวกเขาพูดต่อกันและกันว่า "ให้เราเลือกผู้นำอีกคนหนึ่ง และให้เรากลับไปที่อียิปต์"
\s5
\p
\v 5 แล้วโมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงต่อหน้าที่ประชุมของชุมชนคนอิสราเอล
\v 6 โยชูวาบุตรชายของนูนและคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ ทั้งสองคนที่อยู่ในพวกคนเหล่านั้นที่ถูกส่งไปสอดแนมแผ่นดินนั้นก็ได้ฉีกเสื้อผ้าของตน
\v 7 พวกเขาพูดกับชุมชนคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาบอกว่า "แผ่นดินที่เราได้เข้าไปดูจนทั่วนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมาก
\v 8 ถ้าพระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยเรา แล้วพระองค์จะทรงนำเราเข้าสู่แผ่นดินนั้น และประทานแผ่นดินนั้นแก่เรา แผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง
\s5
\p
\v 9 แต่ขออย่ากบฎต่อพระยาห์เวห์ และอย่ากลัวคนในแผ่นดินนั้นเลย เราจะทำลายพวกเขาให้สิ้นได้อย่างง่าย ๆ เหมือนกับอาหาร เกราะกำบังของพวกเขาจะถูกเอาออกไปจากพวกเขา เพราะพระยาเวห์ทรงสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย"
\v 10 แต่ชุมชนทั้งหมดได้ขู่ว่าจะเอาก้อนหินขว้างพวกเขาให้ตาย แล้วพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ได้ปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมด
\v 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "คนเหล่านี้จะสบประมาทเรานานเท่าใด? พวกเขาจะไม่มีความวางใจเรานานเท่าใด ทั้ง ๆ ที่เราได้ทำหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราทั้งหมดท่ามกลางพวกเขา?
\v 12 เราจะประหารพวกเขาด้วยภัยพิบัติ ตัดสิทธิ์พวกเขาจากมรดก และสร้างชนชาติหนึ่งจากตระกูลของเจ้าเองให้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าพวกเขา"
\s5
\p
\v 13 โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า "ถ้าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น แล้วชาวอียิปต์ก็จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงช่วยคนเหล่านี้ให้รอดชีวิตจากพวกเขาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
\v 14 พวกเขาจะบอกเรื่องนี้ต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์ พระยาห์เวห์ได้ทรงสถิตกับคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาได้เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เมฆของพระองค์ตั้งอยู่เหนือคนของเรา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาไปในเสาเมฆในตอนกลางวันและเสาเพลิงในตอนกลางคืน
\v 15 ถ้าพระองค์ทรงประหารคนเหล่านี้เหมือนกับคนเดียว แล้วชนชาติต่าง ๆ ก็จะได้ยินกิตติศัพท์ ก็จะพูดกันและกล่าวว่า
\v 16 'เพราะพระยาห์เวห์ไม่ทรงสามารถพาคนเหล่านั้นไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขาได้ พระองค์จึงทรงประหารพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร'
\s5
\p
\v 17 บัดนี้ ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงใช้ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
\v 18 'พระยาห์เวห์กริ้วช้า และเปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อในพันธสัญญา พระองค์ทรงอภัยความชั่วร้ายและการละเมิด พระองค์จะไม่ทรงละเว้นความผิด เมื่อพระองค์ทรงนำการลงโทษบาปของบรรพบุรุษตกทอดไปถึงลูกหลานของพวกเขาสามและสี่ชั่วอายุคน'
\v 19 ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงอภัยบาปของคนเหล่านี้ เพราะความยิ่งใหญ่แห่งความสัตย์ซื่อในพันธสัญญาของพระองค์ เหมือนดังที่พระองค์ทรงอภัยคนเหล่านี้มาตั้งแต่พวกเขาอยู่ในอียิปต์จนถึงบัดนี้"
\s5
\p
\v 20 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "เรายกโทษให้กับพวกเขาเพื่อเป็นไปตามคำขอร้องของเจ้า
\v 21 แต่แท้จริง เรามีชีวิตอยู่ฉันใด และแผ่นดินโลกทั้งหมดนี้ก็จะเต็มด้วยพระสิริของเราฉันนั้น
\v 22 คนเหล่านั้นที่ได้เห็นพระสิริของเราและหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจที่เราได้กระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่พวกเขาก็ยังทดลองเราเป็นสิบครั้ง และไม่ฟังเสียงของเรา
\v 23 ดังนั้น พวกเขาจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างแน่นอน ไม่มีใครสักคนในพวกเขาที่สบประมาทเราจะได้เห็นแผ่นดินนั้น
\v 24 ยกเว้นคาเลบผู้รับใช้ของเราที่มีวิญญาณต่างกัน เขาได้ติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะนำเขาเข้าสู่แผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมานั้น พงศ์พันธุ์ของเขาจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
\s5
\p
\v 25 (ในเวลานั้น คนอามาเลคและคนคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขานั้น) พรุ่งนี้ จงหันกลับและไปยังถิ่นทุรกันดารตามทางไปทะเลแดง"
\v 26 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า
\v 27 "เราต้องทนต่อชุมชนชั่วร้ายนี้ที่บ่นว่าเรานานเท่าใด? เราได้ยินคนอิสราเอลบ่นว่าเรา
\s5
\p
\v 28 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "จงบอกพวกเขาว่า 'เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะทำต่อพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าได้พูดให้เราได้ยินฉันนั้น
\v 29 ซากศพของพวกเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้บ่นว่าเรา พวกเจ้าที่ได้ถูกนับไว้ในการทำสำมะโนครัว จำนวนคนทั้งหมดตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป
\v 30 พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราสัญญาว่าจะสร้างบ้านของพวกเจ้าอย่างแน่นอน ยกเว้นคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรชายของนูน
\v 31 แต่ลูกเล็กของพวกเจ้าที่พวกเจ้าบอกว่าเป็นผู้รับเคราะห์นั้น เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น พวกเขาจะได้รับแผ่นดินนั้นที่พวกเจ้าได้ปฏิเสธ
\s5
\p
\v 32 แต่สำหรับพวกเจ้า ซากศพของเจ้าจะตกหล่นในถิ่นทุรกันดารนี้
\v 33 ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาต้องรับผลที่ตามมาจากการกบฎของพวกเจ้า จนกว่าซากศพของพวกเจ้าจะครบจำนวนในถิ่นทุรกันดาร
\v 34 ตามจำนวนวันที่พวกเจ้าได้ไปสอดแนมแผ่นดินนั้นเป็นเวลาสี่สิบวัน พวกเจ้าต้องรับผลที่ตามมาของบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปีเช่นเดียวกัน หนึ่งปีคือแต่ละวัน และพวกเจ้าจะต้องรู้ว่าการเป็นศัตรูต่อเรานั้นเป็นอย่างไร
\v 35 เรา คือพระยาห์เวห์ได้กล่าวไว้แล้ว เราจะทำต่อชุมชนที่ชั่วร้ายทั้งหมดนี้ที่รวมตัวกันต่อสู้เราอย่างแน่นอน พวกเขาจะถูกตัดออกอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาจะตายที่นี่'"
\s5
\p
\v 36 ดังนั้น พวกผู้ชายที่โมเสสได้ส่งไปสอดแนมในแผ่นดินนั้น คือผู้ที่กลับมาและทำให้ชุมนุมชนทั้งหมดบ่นไม่พอใจโมเสสโดยการกระจายข่าวร้ายเกี่ยวกับแผ่นดิน
\v 37 คนเหล่านี้ที่ได้นำข่าวร้ายเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นล้วนถูกฆ่าและพวกเขาตายด้วยโรคระบาดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 38 ในบรรดาคนเหล่านั้นที่ได้เข้าไปดูในแผ่นดินนั้น มีเพียงโยชูวาบุตรชายของนูนและคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่
\v 39 เมื่อโมเสสเล่าถ้อยคำเหล่านั้นให้กับคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาก็ร้องไห้โศกเศร้าอย่างหนัก
\s5
\p
\v 40 พวกเขาลุกขึ้นแต่เช้ามืดในตอนเช้า และไปที่ยอดเขา และกล่าวว่า "ดูสิ เราอยู่ที่นี่ และเราจะไปยังที่ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปแล้ว"
\v 41 แต่โมเสสกล่าวว่า "ทำไมพวกท่านจึงขัดขืนพระบัญชาของพระยาห์เวห์? พวกท่านจะไม่ประสบความสำเร็จ
\v 42 อย่าไปเลย เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงสถิตกับพวกท่านเพื่อปกป้องพวกท่านจากการโจมตีของศัตรูของท่าน
\v 43 คนอามาเลคและคนคานาอันอยู่ที่นั่น และพวกท่านจะตายด้วยดาบ เพราะพวกท่านหันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ ดังนั้น พระองค์จะไม่ทรงสถิตกับพวกท่าน"
\s5
\p
\v 44 แต่พวกเขาก็ขึ้นไปยังเขตแดนหุบเขานั้นโดยพลการ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโมเสสหรือหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ก็จะไม่ได้ออกไปจากค่าย
\v 45 แล้วคนอามาเลคก็ลงมา และคนคานาอันที่อาศัยอยู่บนหุบเขาเหล่านั้นก็ลงมาด้วย คนเหล่านั้นได้โจมตีคนอิสราเอลและชนะพวกเขามาตามทางจนไปถึงเมืองโฮรมาห์
\s5
\c 15
\p
\v 1 ต่อมา พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงพูดกับคนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า "เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่พวกเจ้าจะไปอาศัยอยู่ ที่พระยาห์เวห์จะมอบให้แก่พวกเจ้า
\v 3 พวกเจ้าต้องจัดเตรียมเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชาเพื่อแก้บน หรือเครื่องบูชาด้วยความสมัครใจ หรือเครื่องบูชาตอนเทศกาลงานเลี้ยงของพวกเจ้า เพื่อให้มีกลิ่นหอมที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์จากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ
\s5
\p
\v 4 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พร้อมกับธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีหนึ่งในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสี่ฮิน
\v 5 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัวเป็นเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาด้วย
\v 6 ถ้าพวกเจ้าถวายแกะผู้ตัวหนึ่ง พวกเจ้าต้องจัดเตรียมแป้งอย่างดีสองในสิบเอฟาห์ที่เคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบฮินเป็นธัญบูชา
\v 7 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นสามในสิบฮินเป็นเครื่องดื่มบูชา ซึ่งจะทำให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 8 เมื่อพวกเจ้าจัดเตรียมโคผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเป็นเครื่องสัตวบูชาเพื่อแก้บน หรือเป็นสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์
\v 9 แล้วพวกเจ้าก็ต้องถวายธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีสามในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันครึ่งฮินพร้อมกับโคผู้ตัวนั้นด้วย
\v 10 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นครึ่งฮินเป็นเครื่องดื่มบูชาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
\v 11 พวกเจ้าต้องทำเช่นนี้สำหรับโคผู้แต่ละตัว สำหรับแกะผู้แต่ละตัว และสำหรับลูกแกะตัวผู้หรือลูกแพะแต่ละตัว
\v 12 เครื่องสัตวบูชาทุกอย่างที่พวกเจ้าจัดเตรียมและถวายต้องทำตามที่กำหนดไว้ในที่นี้
\s5
\p
\v 13 คนอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องทำสิ่งเหล่านี้ตามวิธีการนี้ เมื่อคนใดนำเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟมา เพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์
\v 14 ถ้าคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้า หรือใครก็ตามที่พักอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า เขาต้องถวายเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟ เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องทำเหมือนกับพวกเจ้าทำ
\v 15 ต้องมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับชุมชนนี้และสำหรับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้าเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า ดังนั้น คนเดินทางที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้าก็ต้องทำเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำด้วย เขาต้องทำเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 16 กฎเกณฑ์และข้อบังคับเดียวกันต้องใช้กับพวกเจ้า และกับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้า'"
\s5
\p
\v 17 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 18 "จงพูดกับคนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในแผ่นดินที่เราได้พาพวกเจ้ามา
\v 19 เมื่อพวกเจ้ากินอาหารที่เป็นผลมาจากแผ่นดินนั้น เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาและถวายสิ่งนั้นให้กับเรา
\v 20 พวกเจ้าต้องถวายขนมก้อนแรกจากก้อนแป้งที่ผสมแล้วของพวกเจ้าและถวายเป็นเครื่องบูชาถวายจากลานนวดแป้ง พวกเจ้าต้องถวายขนมนั้นในวิธีนี้
\s5
\p
\v 21 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาถวายจากขนมก้อนแรกจากแป้งที่ผสมแล้วของพวกเจ้าให้กับเราตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า
\v 22 หากพวกเจ้าจะทำบาปโดยไม่ได้เจตนาที่จะทำเช่นนั้น ตอนที่พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งทุกประการที่เราได้สั่งกับโมเสส
\v 23 ทุกสิ่งที่เราได้สั่งพวกเจ้าผ่านทางโมเสส ตั้งแต่วันที่เราเริ่มให้คำบัญชาแก่พวกเจ้าและต่อไปข้างหน้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 24 ในกรณีของการทำบาปโดยไม่ได้เจตนาที่ชุมชนไม่รู้ตัว ก็ให้ชุมชนทั้งหมดถวายโคหนุ่มเป็นเครื่องเผาบูชา เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับการถวายนี้ ตามที่กฎข้อบังคับได้สั่งไว้ และแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป
\v 25 ปุโรหิตต้องทำการลบล้างบาปให้กับชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาจะได้รับการอภัย เพราะการทำบาปนั้นเป็นความผิดพลาด พวกเขาได้นำเครื่องบูชาของพวกเขามาถวายเราเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟ พวกเขานำเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าเรา สำหรับความผิดพลาดของเขา
\v 26 แล้วชุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็จะได้รับการอภัย และรวมทั้งคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขาด้วย เพราะประชาชนทั้งหมดได้ทำบาปโดยไม่เจตนา
\s5
\p
\v 27 ถ้าหากคนใดทำบาปโดยไม่เจตนา เขาก็ต้องถวายแพะตัวเมียอายุหนึ่งปีเป็นเครื่องบูชาลบล้างความบาป
\v 28 ปุโรหิตต้องทำการลบล้างความบาปให้กับคนที่ทำบาปโดยไม่เจตนาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ คนนั้นจะได้รับการอภัย เมื่อได้มีการลบล้างบาปแล้ว
\v 29 พวกเจ้าต้องมีกฎเกณฑ์เดียวกันสำหรับคนที่ทำสิ่งใดโดยไม่เจตนา กฎเกณฑ์เดียวกันสำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอลโดยกำเนิด และสำหรับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา
\v 30 แต่คนที่ทำสิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืน ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิด หรือคนต่างชาติก็เป็นการหมิ่นประมาทเรา คนนั้นต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางชุมชนของเขา
\v 31 เพราะเขาได้สบประมาทคำของเราและฝ่าฝืนคำบัญชาของเรา คนนั้นต้องถูดตัดออกอย่างสิ้นเชิง บาปของเขาก็จะอยู่ที่ตัวเขา'"
\s5
\p
\v 32 ขณะที่คนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้พบกับคนหนึ่งที่ออกไปเก็บฟืนในวันสะบาโต
\v 33 คนเหล่านั้นที่พบเขาจึงพาเขามาหาโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมด
\v 34 พวกเขากักชายคนนั้นไว้ในที่คุมขัง เพราะไม่เคยมีการประกาศไว้ว่าจะทำอย่างไรกับเขา
\v 35 แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้ตรัสกับโมเสสว่า "ชายคนนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน ชุมชนทั้งหมดต้องเอาก้อนหินขว้างเขาที่นอกค่าย"
\v 36 ดังนั้น ชุมชนทั้งหมดก็นำเขาออกไปนอกค่าย และเอาก้อนหินขว้างเขาจนตาย ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 37 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า
\v 38 "จงพูดกับพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล และสั่งพวกเขาให้ทำพู่ห้อยที่ชายเสื้อของพวกเขา จงห้อยพู่เหล่านั้นจากแต่ละมุมด้วยด้ายสีฟ้า พวกเขาต้องทำเช่นนี้ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา
\v 39 การทำเช่นนี้จะเป็นการเตือนใจพวกเจ้าโดยเฉพาะ เมื่อพวกเจ้ามองดูพู่นั้น พวกเจ้าจะทำตามคำบัญชาของเราทุกประการ เพื่อที่พวกเจ้าจะไม่มองดูตามใจและตาของพวกเจ้าเอง และทำให้พวกเจ้าเองเล่นชู้กับพวกเขา
\v 40 การทำเช่นนี้ เพื่อพวกเจ้าระลึกถึง และเชื่อฟังคำบัญชาของเรา และเพื่อพวกเจ้าจะบริสุทธิ์ ที่ได้สงวนไว้สำหรับเรา พระเจ้าของพวกเจ้า
\v 41 เราคือพระยาห์เวห์ ผู้นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า"
\s5
\c 16
\p
\v 1 ในตอนนั้น โคราห์บุตรชายของอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรชายของโคฮาท ผู้เป็นบุตรชายของเลวี พร้อมกับดาธานและอาบีรัมบุตรชายของเอลีอับ และโอนบุตรชายของเปเลท ผู้เป็นเชื้อสายของรูเบนได้รวบรวมคนจำนวนหนึ่ง
\v 2 พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านโมเสสพร้อมกับคนอื่น ๆ จากคนอิสราเอลที่เป็นผู้นำของชุมชนจำนวนสองร้อยห้าสิบคนที่เป็นคนมีชื่อเสียงในชุมชน
\v 3 พวกเขามาชุมนุมกันเพื่อที่จะพบกับโมเสสและอาโรน พวกเขากล่าวกับท่านทั้งสองว่า "พวกท่านทำเกินไปแล้ว ชุมชนทั้งหมดนี้ได้ถูกแยกไว้ พวกเขาทุกคน และพระยาห์เวห์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา ทำไมพวกท่านจึงยกตัวเองขึ้นเหนือคนที่เหลือของชุมชนของพระยาห์เวห์?"
\s5
\p
\v 4 เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ท่านก็ซบหน้าลง
\v 5 ท่านจึงพูดกับโคราห์และคนเหล่านั้นที่มากับเขาทุกคนว่า "ในตอนเช้า พระยาห์เวห์จะทรงทำให้รู้กันว่า ใครเป็นของพระองค์และใครที่ได้รับการแยกไว้แด่พระองค์ พระองค์จะทรงนำคนนั้นมาใกล้พระองค์ คนที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงนำมาใกล้พระองค์
\v 6 จงทำดังนี้ โคราห์และพวกพ้องของท่าน จงนำกระถางไฟมา
\v 7 ในวันพรุ่งนี้และใส่ไฟและเครื่องหอมลงไปในกระถางไฟเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ใดที่พระยาห์เวห์ทรงเลือก คนนั้นจะถูกแยกไว้แด่พระยาห์เวห์ ท่านทำเกินไปแล้ว ท่านที่เป็นเชื้อสายของเลวี"
\s5
\p
\v 8 โมเสสได้พูดกับโคราห์อีกว่า "บัดนี้ ท่านที่เป็นเชื้อสายคนเลวี จงฟัง
\v 9 การที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงแยกท่านไว้จากชุมชนอิสราเอล เพื่อนำพวกท่านมาใกล้พระองค์ เพื่อให้ทำงานในพลับพลาของพระยาห์เวห์ และยืนอยู่ต่อหน้าชุมชนนี้เพื่อรับใช้พวกเขา นั่นเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับท่านหรือ?
\v 10 พระองค์ทรงนำท่านมาใกล้ และรวมทั้งญาติพี่น้องของท่านทุกคนที่เป็นเชื้อสายของเลวีที่อยู่กับท่าน แต่ท่านกำลังแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตอีกหรือ?
\v 11 นั่นเป็นเหตุให้ท่านและพวกพ้องของท่านได้มาชุมนุมกันต่อต้านพระยาห์เวห์ ดังนั้น ทำไมท่านจึงบ่นว่าเกี่ยวกับอาโรนผู้ที่เชื่อฟังพระยาห์เวห์?"
\s5
\p
\v 12 แล้วโมเสสก็เรียกดาธานกับอาบีรัมบุตรชายของเอลีอับมา แต่พวกเขาบอกว่า "เราจะไม่ขึ้นมา
\v 13 การที่ท่านพาเราออกมาจากแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อที่จะฆ่าเราในถิ่นทุรกันดารเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับท่านหรือ? บัดนี้ ท่านต้องการจะทำให้ตัวท่านเองเป็นผู้ปกครองเหนือเรา
\v 14 ยิ่งกว่านั้น ท่านยังไม่พาเราเข้าไปในแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง หรือไม่ได้มอบทุ่งนาและสวนองุ่นให้แก่เราเป็นมรดก บัดนี้ ท่านจะทำให้เราตาบอดด้วยคำสัญญาที่ว่างเปล่าหรือ? เราจะไม่มาหาท่าน"
\s5
\p
\v 15 โมเสสก็โกรธมาก และได้ทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "ขออย่าทรงรับเครื่องบูชาของพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้เอาลาของพวกเขามาแม้แต่ตัวเดียว และข้าพระองค์ก็ไม่เคยทำร้ายใครในพวกเขาเลย"
\v 16 แล้วโมเสสก็พูดกับโคราห์ว่า "พรุ่งนี้ท่านและพวกพ้องของท่านทั้งหมดต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทั้งท่านและพวกเขาและอาโรน
\v 17 พวกท่านแต่ละคนต้องนำกระถางไฟมาและใส่เครื่องหอมลงไปในนั้น แล้วแต่ละคนก็ต้องนำกระถางไฟของตนมาอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ กระถางไฟสองร้อยห้าสิบใบ ทั้งท่านและอาโรนก็ต้องนำกระถางไฟของท่านมาคนละใบ"
\v 18 ดังนั้น ชายทุกคนก็ได้เอากระถางไฟของตนไป และใส่ไฟลงไปและวางเครื่องหอมในกระถางไฟนั้น และยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบกับโมเสสและอาโรน
\v 19 โคราห์ได้ประชุมชุมชนทั้งหมดให้ต่อต้านโมเสสและอาโรนที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏต่อชุมชนทั้งหมด
\s5
\p
\v 20 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
\v 21 "จงแยกตัวเองออกจากท่ามกลางชุมชนนี้ที่เราจะทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นเสียเดี๋ยวนี้"
\v 22 โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลง และทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งวิญญาณของมวลมนุษย์ ถ้าหากคนหนึ่งทำบาป พระองค์จะทรงพระพิโรธต่อชุมชนทั้งหมดหรือ?"
\v 23 พระยาห์เวห์ทรงตอบโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 24 "จงบอกกับชุมชนนี้ว่า 'จงออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัม'"
\s5
\p
\v 25 แล้วโมเสสก็ลุกขึ้นและไปหาดาธานกับอาบีรัม พวกผู้อาวุโสของอิสราเอลก็ตามท่านไป
\v 26 ท่านบอกกับชุมชนว่า "จงออกไปจากเต็นท์ของคนชั่วร้ายเหล่านี้เดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องสิ่งใดของพวกเขา มิฉะนั้น พวกท่านจะถูกทำลายสิ้นเนื่องจากบาปทั้งหมดของพวกเขา"
\v 27 ดังนั้น ชุมชนที่อยู่ทุกด้านของเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัมก็ออกไปห่างจากพวกเขา ดาธานและอาบีรัมก็ออกมาและยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของพวกเขาพร้อมกับภรรยา บรรดาลูกชายและลูกเล็กๆ ของพวกเขา
\s5
\p
\v 28 แล้วโมเสสจึงกล่าวว่า "โดยการทำเช่นนี้ พวกท่านจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ได้ส่งเรามาเพื่อที่จะทำงานเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ตามอำเภอใจของเรา
\v 29 ถ้าคนเหล่านี้ตายด้วยการตายธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วไป แล้วพระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงใช้เรามา
\v 30 แต่ถ้าพระยาห์เวห์ทรงทำให้พื้นดินอ้าออกและกลืนพวกเขาพร้อมกับครอบครัวของพวกเขาเข้าไปเหมือนกับปากขนาดใหญ่ และถ้าพวกเขาลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น แล้วพวกท่านก็ต้องเข้าใจว่าคนเหล่านั้นได้หมิ่นประมาทพระยาห์เวห์"
\s5
\p
\v 31 ทันทีที่โมเสสพูดถ้อยคำทั้งหมดนี้จบ พื้นดินที่อยู่ใต้คนเหล่านั้นก็อ้าออก
\v 32 แผ่นดินก็อ้าปากออกและกลืนพวกเขา ครอบครัวของพวกเขา และทุกคนที่มีส่วนร่วมกับโคราห์ รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาด้วย
\v 33 พวกเขาและทุกคนในครอบครัวของพวกเขาก็ลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น แผ่นดินก็ปิดกลบพวกเขาไว้ และในเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็พินาศไปจากท่ามกลางชุมชนนี้
\v 34 คนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาก็วิ่งหนีจากเสียงร้องของพวกเขา พวกเขาร้องตะโกนว่า "แผ่นดินนี้จะกลืนเราเข้าไปด้วย"
\v 35 แล้วไฟก็พุ่งออกมาจากพระยาห์เวห์และเผาผลาญคน 250 คนที่ถวายเครื่องหอมนั้น
\s5
\p
\v 36 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกว่า
\v 37 "จงบอกกับเอเลอาซาร์ บุตรชายของอาโรนปุโรหิต และให้เขาเอากระถางไฟออกมาจากกองไฟนั้น เพราะกระถางไฟนั้นได้ถูกแยกไว้เฉพาะเรา แล้วให้เขากระจายถ่านที่ลุกไหม้อยู่นั้นออกไปไกล ๆ
\v 38 จงเอากระถางไฟของคนเหล่านั้นที่เสียชีวิตเพราะบาปของพวกเขามา ให้พวกเขาทำให้เป็นแผ่นที่ทุบด้วยค้อนให้เป็นสิ่งที่คลุมไว้เหนือแท่นบูชา คนเหล่านั้นก็ทำเพื่อถวายกระถางไฟเหล่านั้นต่อหน้าเรา ดังนั้น กระถางไฟเหล่านั้นก็ถูกแยกไว้เฉพาะเรา กระถางไฟเหล่านั้นจะเป็นหมายสำคัญของการทรงสถิตของเราต่อคนอิสราเอล"
\s5
\p
\v 39 เอเลอาซาร์ปุโรหิตก็เอากระถางไฟทองสัมฤทธิ์ที่คนที่ถูกไฟเผาเหล่านั้นใช้ และกระถางเหล่านั้นก็ถูกทุบด้วยค้อนเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา
\v 40 เพื่อเป็นการเตือนใจคนอิสราเอล เพื่อที่จะไม่มีคนภายนอกคนใดที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายจากอาโรนจะเข้ามาเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อที่พวกเขาจะไม่เป็นเหมือนกับโคราห์กับพวกพ้องของเขา ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาผ่านทางโมเสส
\v 41 แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็บ่นว่าโมเสสกับอาโรน พวกเขากล่าวว่า "พวกท่านได้ฆ่าคนของพระยาห์เวห์"
\v 42 แล้วเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อชุมชนได้มาชุมนุมกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน ขณะที่พวกเขามองตรงไปที่เต็นท์นัดพบ ดูเถิด เมฆได้ปกคลุมเต็นท์นั้น พระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏขึ้น
\v 43 และโมเสสกับอาโรนก็มาที่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 44 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 45 "จงออกไปจากข้างหน้าชุมชนนี้ เพื่อที่เราจะทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นเดี๋ยวนี้" แล้วโมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงถึงพื้นดิน
\v 46 โมเสสจึงบอกกับอาโรนว่า "จงไปเอากระถางไฟมาและใส่ไฟที่มาจากแท่นบูชาลงไป และใส่เครื่องหอมลงไปในกระถางไฟนั้น จงถือกระถางไฟนั้นมาที่ชุมชนนี้โดยเร็ว และทำการลบมลทินบาปให้กับพวกเขา เพราพระพิโรธได้ลงมาจากพระยาห์เวห์ ภัยพิบัติได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว"
\s5
\p
\v 47 ดังนั้น อาโรนจึงทำตามที่โมเสสสั่ง เขาจึงวิ่งเข้าไปตรงกลางของชุมชนนั้น ภัยพิบัติก็เริ่มแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางประชาชน ดังนั้น เขาจึงใส่เครื่องหอมและทำการลบมลทินบาปให้กับประชาชน
\v 48 อาโรนก็ยืนอยู่ระหว่างคนตายกับคนที่มีชีวิต ในการทำเช่นนี้ ภัยพิบัติก็ได้หยุดลง
\v 49 คนเหล่านั้นที่ตายจากภัยพิบัติมีจำนวน 14,700 คน นอกเหนือจากคนเหล่านั้นที่ได้ตายไปในเรื่องของโคราห์
\v 50 อาโรนได้กลับมาหาโมเสสที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และภัยพิบัติก็สิ้นสุดลง
\s5
\c 17
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้าจากพวกเขามา ไม้เท้าอันหนึ่งจากแต่ละเผ่าบรรพบุรุษ จำนวนสิบสองอัน จงเขียนชื่อของแต่ละคนบนไม้เท้าของเขา
\v 3 เจ้าต้องเขียนชื่ออาโรนบนไม้เท้าของเผ่าเลวี ต้องมีไม้เท้าอันหนึ่งสำหรับผู้นำแต่ละคนจากเผ่าบรรพบุรุษของเขา
\v 4 เจ้าต้องวางไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าพระบัญชา ซึ่งเป็นที่เราได้พบกับเจ้า
\v 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไม้เท้าของคนที่เราเลือกก็จะแตกหน่อ เราจะทำให้คำบ่นจากคนอิสราเอลที่พวกเขาพูดต่อต้านเจ้าหยุดไป"
\s5
\p
\v 6 ดังนั้น โมเสสจึงบอกกับคนอิสราเอล ผู้นำเผ่าทุกคนก็นำไม้เท้าของเขามาให้ท่าน ไม้เท้าอันหนึ่งจากผู้นำแต่ละคนที่เลือกมาจากแต่ละเผ่าบรรพบุรุษ ไม้เท้าทั้งหมดมีสิบสองอัน ไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ท่ามกลางไม้เท้าเหล่านั้น
\v 7 แล้วโมเสสก็วางไม้เท้าเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ในเต็นท์แห่งพระบัญชา
\v 8 พอวันรุ่งขึ้น โมเสสได้ไปที่เต็นท์แห่งพระบัญชา และ ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนที่เป็นคนเผ่าเลวีก็แตกหน่อ ไม้เท้านั้นแตกหน่อและออกดอกและเกิดผลอัลมอนด์สุก
\v 9 โมเสสจึงเอาไม้เท้าทั้งหมดออกไปจากพระพักตร์พระยาห์เวห์มายังคนอิสราเอลทั้งหมด และแต่ละคนก็เอาไม้เท้าของเขาไป
\s5
\p
\v 10 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "จงวางไม้เท้าของอาโรนไว้ตรงหน้าพระบัญชา จงเก็บไม้เท้านั้นไว้เป็นเครื่องหมายแห่งความผิดต่อคนที่กบฎ เพื่อที่เจ้าจะทำให้คำบ่นว่าเราสิ้นสุดลง มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องตาย"
\v 11 โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่าน
\v 12 คนอิสราเอลก็พูดกับโมเสสว่า "เราจะตายกันที่นี่ เราจะพินาศกันหมด
\v 13 ทุกคนที่ขึ้นมา คนที่เข้ามาใกล้พลับพลาของพระยาห์เวห์จะตาย เราต้องพินาศกันหมดหรือ?"
\s5
\c 18
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "เจ้ากับพวกบุตรชายของเจ้า และตระกูลของบรรพบุรุษของเจ้าจะรับผิดชอบต่อการทำบาปทั้งหมดที่ทำต่อสถานนมัสการ แต่เฉพาะเจ้ากับพวกบุตรชายของเจ้าเท่านั้นที่รับผิดชอบต่อการทำบาปทั้งหมดที่ทำโดยคนที่อยู่ในตำแหน่งปุโรหิต
\v 2 ส่วนพวกพี่น้องของเผ่าเลวีที่เป็นเผ่าบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าจงพาพวกเขามากับเจ้า เพื่อให้พวกเขาร่วมกันกับเจ้าและช่วยเจ้า เมื่อเจ้าและพวกบุตรชายของเจ้าทำงานอยู่ข้างหน้าเต็นท์พระบัญชา
\v 3 พวกเขาต้องทำงานให้กับเจ้าและงานทั้งหมดของเต็นท์นั้น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องไม่เข้ามาใกล้สิ่งใดในวิสุทธิสถาน หรือสิ่งที่ใช้กับแท่นบูชา มิฉะนั้น พวกเขาและรวมทั้งเจ้าด้วยจะตาย
\v 4 พวกเขาต้องร่วมกันกับเจ้าและดูแลเต็นท์นัดพบ เพราะงานทั้งหมดเกี่ยวกับเต็นท์นั้น คนต่างชาติต้องไม่เข้ามาใกล้เจ้า
\s5
\p
\v 5 เจ้าต้องรับผิดชอบวิสุทธิสถานและแท่นบูชา เพื่อที่ความกริ้วของเราจะไม่ลงมาเหนือคนอิสราเอลอีก
\v 6 ดูเถิด เราเองได้เลือกพวกพี่น้องของเจ้าจากเผ่าเลวีท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาเป็นของประทานแก่เจ้า ที่ได้มอบถวายเราให้ทำงานเกี่ยวกับเต็นท์นัดพบ
\v 7 แต่เฉพาะเจ้าและพวกบุตรของเจ้าเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ในตำแหน่งปุโรหิตที่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ใช้กับแท่นบูชา และทุกสิ่งที่อยู่ภายในม่านนั้น เจ้าเองก็ต้องถือปฏิบัติตามความรับผิดชอบเหล่านั้น เราได้มอบตำแหน่งปุโรหิตให้กับเจ้าเป็นของประทาน คนใดที่เป็นคนต่างชาติที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย"
\s5
\p
\v 8 ต่อมา พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "ดูเถิด เราได้มอบหน้าที่ให้พวกเจ้าดูแลเครื่องบูชาที่ถวายต่อเรา และสิ่งบริสุทธิ์ทุกอย่างที่คนอิสราเอลถวายต่อเรา เราได้ให้เครื่องบูชาเหล่านี้แก่เจ้าและพวกบุตรชายของเจ้า เพื่อเป็นส่วนของพวกเจ้าตลอดไป
\v 9 สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด ที่ไม่ได้เผาไฟ จากเครื่องบูชาทุกอย่างของพวกเขา คือ ธัญบูชาทุกอย่าง เครื่องบูชาลบล้างบาปทุกอย่าง และเครื่องบูชาชดใช้บาปทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้แยกไว้สำหรับเจ้าและพวกบุตรชายของเจ้า
\v 10 เครื่องบูชาเหล่านี้บริสุทธิ์มาก ผู้ชายทุกคนจงกินสิ่งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้บริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า
\s5
\p
\v 11 เหล่านี้คือเครื่องบูชาที่จะเป็นของเจ้า คือบรรดาของถวายของพวกเขา เครื่องบูชาโบกถวายทั้งหมดของคนอิสราเอล เราได้มอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่เจ้า พวกบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเพื่อเป็นส่วนของพวกเจ้าตลอดไป ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วจะกินสิ่งใดๆ ของเครื่องบูชาเหล่านี้ได้
\v 12 น้ำมันอย่างดีที่สุดทั้งหมด เหล้าองุ่นใหม่และธัญพืชที่ดีที่สุดทั้งหมด ผลแรกที่ประชาชนได้ถวายต่อเรา สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราได้มอบให้แก่เจ้า
\v 13 ผลไม้สุกรุ่นแรกของทุกต้นที่อยู่ในที่ดินของพวกเขา ที่พวกเขาได้นำมาถวายเราจะเป็นของเจ้า ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่ได้รับการชำระสะอาดแล้วก็จะกินเครื่องบูชาเหล่านี้ได้
\v 14 สิ่งที่ได้มอบถวายทุกสิ่งในอิสราเอลจะเป็นของเจ้า
\s5
\p
\v 15 ทุกสิ่งที่เปิดครรภ์ครั้งแรก ลูกหัวปีทั้งหมดที่ประชาชนได้ถวายแด่พระยาห์เวห์ ทั้งคนและสัตว์จะเป็นของเจ้า นอกจากนั้น ประชาชนจะต้องซื้อบุตรชายหัวปีทุกคนกลับคืนอย่างแน่นอน และพวกเขาต้องซื้อสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีมลทินกลับคืนไป
\v 16 ประชาชนจะนำลููกหัวปีเหล่านั้นกลับไปด้วยการซื้อกลับคืนไป หลังจากที่มีอายุได้หนึ่งเดือน แล้วประชาชนต้องซื้อกลับคืนเป็นเงินห้าเชเขลตามเชเขลของสถานนมัสการที่มีค่าเท่ากับยี่สิบเกราห์
\v 17 แต่ลูกหัวปีของโค หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าต้องไม่ให้ซื้อสัตว์เหล่านี้กลับคืน สัตว์เหล่านี้ได้ถูกแยกไว้ให้เราโดยเฉพาะ เจ้าต้องประพรมเลือดของพวกมันบนแท่นบูชา และเผาไขมันของพวกมันเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่มีกลิ่นหอมที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์
\v 18 เนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับเนื้ออกถวาย และเนื้อโคนขาข้างขวา เนื้อของพวกมันจะเป็นของเจ้า
\s5
\p
\v 19 เครื่องบูชาบริสุทธิ์ทั้งหมดที่คนอิราเอลได้ถวายแด่พระยาห์เวห์ เราได้มอบให้แก่เจ้า และแก่บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าที่อยู่กับเจ้า เพื่อเป็นส่วนแบ่งตลอดไป ซึ่งเป็นพันธสัญญาเกลือตลอดไปเป็นนิตย์ พันธสัญญาที่ผูกพันตลอดไปต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ สำหรับทั้งเจ้าและลูกหลานของเจ้าที่อยู่กับเจ้า"
\v 20 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "พวกเจ้าจะไม่มีมรดกในแผ่นดินของประชาชน หรือพวกเจ้าจะไม่มีส่วนแบ่งในทรัพย์สินท่ามกลางประชาชน เราเป็นส่วนแบ่งและเป็นมรดกของพวกเจ้าท่ามกลางคนอิสราเอล
\v 21 ดูเถิด เราได้มอบทศางค์ทั้งหมดในอิสราเอลเป็นมรดกแก่เชื้อสายของคนเลวี ในการตอบแทนสำหรับการทำงานที่พวกเขาทำในการทำงานที่เต็นท์นัดพบ
\v 22 ตั้งแต่นี้ไป คนอิสราเอลต้องไม่มาใกล้เต็นท์นัดพบ มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อบาปนี้และต้องตาย
\s5
\p
\v 23 คนเลวีต้องทำงานที่เกี่ยวกับเต็นท์นัดพบ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบบาปใดก็ตามที่เกี่ยวกับเต็นท์นั้น นี่จะเป็นกฎถาวรตลอดไปทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า พวกเขาไม่ต้องมีมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล
\v 24 เพราะทศางค์ของคนอิสราเอลที่พวกเขาได้ถวายเป็นส่วนแบ่งต่อเรา ทศางค์เหล่านี้แหละ ที่เรามอบให้กับคนเลวีเป็นมรดกของพวกเขา นี่เป็นเหตุผลที่เราพูดกับพวกเขาว่า 'พวกเขาไม่ต้องมีมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล'"
\s5
\p
\v 25 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า
\v 26 "เจ้าต้องพูดกับคนเลวี และบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าได้รับหนึ่งในสิบจากคนอิสราเอลที่เราได้มอบให้แก่พวกเจ้าเป็นมรดกของพวกเจ้าที่มาจากพวกเขา พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งจากทศางค์นั้นแด่พระยาห์เวห์ หนึ่งในสิบของทศางค์
\v 27 ส่วนแบ่งของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถือว่า ถ้าส่วนแบ่งนั้นเป็นหนึ่งในสิบของธัญพืชจากลานนวดแป้ง หรือผลที่เกิดจากบ่อย่ำองุ่น
\v 28 พวกเจ้าก็จะแบ่งส่วนหนึ่งแด่พระยาห์เวห์จากทศางค์ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับจากคนอิสราเอล พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งของพระองค์จากพวกเขาให้กับอาโรนปุโรหิต
\v 29 จากของถวายทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับ พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งทุกอย่างแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำดังนี้ จากสิ่งที่ดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดที่ได้มอบให้แก่พวกเจ้า'
\s5
\p
\v 30 เพราะฉะนั้น เจ้าต้องพูดกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าถวายสิ่งที่ดีที่สุดของสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นต้องเป็นผลที่คนเลวีได้รับจากลานนวดแป้งและบ่อย่ำองุ่น
\v 31 พวกเจ้าจะกินส่วนที่เหลือของเครื่องถวายของพวกเจ้าที่ใดก็ได้ ทั้งเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้า เพราะสิ่งนั้นเป็นค่าตอบแทนของพวกเจ้าสำหรับการทำงานในเต็นท์นัดพบ
\v 32 พวกเจ้าจะไม่ก่อให้เกิดความผิดบาปใดๆ ด้วยการกินและการดื่มสิ่งนั้น ถ้าพวกเจ้าได้ถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเจ้าได้รับแด่พระยาห์เวห์ แต่พวกเจ้าต้องไม่ดูหมิ่นเครื่องบูชาบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล มิฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องตาย'"
\s5
\c 19
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "นี่เป็นพระบัญญัติซึ่งเป็นกฎที่เราบัญชาเจ้า จงบอกคนอิสราเอลว่า พวกเขาต้องนำโคสาวสีแดงที่ไม่มีความบกพร่องหรือไม่มีตำหนิ และตัวที่ไม่เคยเทียมแอกเลยมา
\v 3 จงให้โคสาวตัวนี้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต เขาต้องนำมันออกไปนอกค่าย และคนหนึ่งต้องฆ่ามันต่อหน้าเขา
\v 4 เอเลอาซาร์ปุโรหิตต้องเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดของมันมาและประพรมเลือดนั้นเจ็ดครั้งตรงข้างหน้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 5 ปุโรหิตอีกคนหนึ่งต้องเผาโคสาวตัวนั้นต่อหน้าเขา เขาต้องเผาหนังของมัน เนื้อและเลือดของมันพร้อมกับมูลของมัน
\v 6 ปุโรหิตคนนั้นต้องเอาไม้สนสีดาห์ ต้นหุสบ และขนแกะสีแดงเข้มมา และโยนทั้งหมดนี้ลงไปตรงกลางของโคสาวที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้น
\v 7 แล้วเขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและชำระตัวในน้ำ จากนั้น เขาก็จะกลับมายังค่ายที่เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
\s5
\p
\v 8 คนที่เผาโคสาวตัวนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนในน้ำและชำระตัวในน้ำ เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
\v 9 คนที่สะอาดต้องเก็บขี้เถ้าของโคสาวตัวนั้น และเอาขี้เถ้านั้นออกไปในที่สะอาดนอกค่าย ขี้เถ้าเหล่านี้ต้องเก็บไว้สำหรับชุมชนของคนอิสราเอล พวกเขาจะผสมขี้เถ้านี้กับน้ำเพื่อชำระให้บริสุทธิ์จากบาป เนื่องจากขี้เถ้านั้นมาจากเครื่องบูชาลบล้างบาป
\v 10 คนที่เก็บขี้เถ้าของโคสาวตัวนั้นต้องซักเสื้อผ้าของเขา เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น นี่จะเป็นกฎถาวรสำหรับคนอิสราเอลและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขา
\s5
\p
\v 11 ใครก็ตามที่แตะต้องศพของคนใดคนหนึ่งก็จะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
\v 12 คนนั้นต้องชำระตนเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด แล้วเขาจึงจะสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สาม แล้วเขาก็จะไม่สะอาดในวันที่เจ็ด
\v 13 ใครก็ตามที่แตะต้องศพของคนที่ตาย และไม่ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ คนนั้นก็ทำให้พลับพลาของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน คนนั้นต้องถูกตัดออกจากอิสราเอล เพราะน้ำชำระมลทินไม่ได้ประพรมบนตัวเขา เขาจะยังคงเป็นมลทินอยู่ มลทินของเขาจะยังคงอยู่บนตัวเขา
\s5
\p
\v 14 นี่เป็นกฎสำหรับคนที่ตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้าไปในเต็นท์นั้น และทุกคนที่อยู่ในเต็นท์นั้นอยู่แล้วจะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
\v 15 ภาชนะทุกใบที่เปิดอยู่ไม่มีฝาปิดก็จะเป็นมลทิน
\v 16 เช่นเดียวกับคนที่อยู่ภายนอกเต็นท์ที่ได้แตะต้องคนที่ถูกฆ่าตายด้วยดาบ ศพใด ๆ กระดูกมนุษย์ หรือหลุมฝังศพ คนนั้นก็จะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
\s5
\p
\v 17 จงทำดังนี้สำหรับคนที่เป็นมลทิน จงเอาขี้เถ้าจากเครื่องเผาบูชาลบล้างบาปและผสมขี้เถ้านั้นลงไปกับน้ำไหลในเหยือก
\v 18 จากนั้น คนที่สะอาดต้องเอากิ่งหุสบจุ่มลงในน้ำนั้น และประพรมบนเต็นท์นั้น บนภาชนะทุกใบภายในเต็นท์ บนคนเหล่านั้นที่อยู่ที่นั่น และบนคนที่แตะต้องกระดูก คนที่ถูกฆ่าตาย ศพ หรือหลุมฝังศพ
\v 19 ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด คนที่สะอาดต้องประพรมคนที่เป็นมลทิน ในวันที่เจ็ดคนที่เป็นมลทินต้องชำระตนเองให้บริสุทธิ์ เขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและชำระตัวในน้ำ พอถึงตอนเย็นเขาก็จะสะอาด
\s5
\p
\v 20 แต่คนที่ยังเป็นมลทินอยู่ คนที่ไม่ยอมชำระตนเองให้บริสุทธิ์ คนนั้นก็จะถูกตัดออกจากชุมชน เพราะเขาได้ทำให้สถานนมัสการของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน น้ำชำระมลทินไม่ได้ประพรมบนตัวเขา เขาจึงยังคงเป็นมลทิน
\v 21 นี่เป็นกฎตลอดไปเป็นนิตย์เกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ คนที่ประพรมน้ำชำระมลทินต้องซักเสื้อผ้าของเขา คนที่แตะต้องน้ำชำระมลทินก็จะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
\v 22 คนที่แตะต้องอะไรก็ตามที่เป็นมลทินก็จะเป็นมลทิน คนที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น"
\s5
\c 20
\p
\v 1 ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็เข้าไปในถิ่นทุรกันดารศินในเดือนที่หนึ่ง พวกเขาพักอยู่ที่คาเดช มิเรียมได้เสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น
\v 2 ที่นั่นไม่มีน้ำให้กับชุมชน ดังนั้น พวกเขาจึงชุมนุมกันต่อต้านโมเสสและอาโรน
\s5
\p
\v 3 ประชาชนได้บ่นว่าโมเสส พวกเขากล่าวว่า "ตอนที่พี่น้องอิสราเอลของเราได้ตายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ถ้าหากเราได้ตายด้วยก็จะดีกว่า
\v 4 ทำไมท่านจึงพาชุมชนของพระยาห์เวห์เข้ามาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้เราและฝูงสัตว์ของเราตายกันที่นี่?
\v 5 ทำไมท่านจึงให้เราขึ้นมาจากอียิปต์เพื่อพาเรามายังสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้? ที่นี่ไม่มีเมล็ดพืช มะเดื่อ องุ่น หรือทับทิม และไม่มีน้ำให้ดื่มเลย"
\s5
\p
\v 6 ดังนั้น โมเสสกับอาโรนจึงออกไปจากข้างหน้าที่ประชุมนั้น พวกเขาไปที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบและซบหน้าลง พระสิริอันงดงามของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏต่อพวกเขา
\v 7 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 8 "จงเอาไม้เท้าไป และเรียกประชุมชุมชน ทั้งตัวเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า จงพูดกับหินที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา และสั่งหินนั้นให้หลั่งน้ำออกมา เจ้าจะทำให้น้ำออกมาจากหินให้กับพวกเขา และเจ้าต้องให้น้ำนั้นแก่ชุมชนและฝูงสัตว์ของพวกเขาดื่ม"
\s5
\p
\v 9 โมเสสก็เอาไม้เท้านั้นออกไปจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เขาทำ
\v 10 แล้วโมเสสกับอาโรนก็เรียกชุมชนมารวมกันที่ข้างหน้าหินนั้น โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "บัดนี้ เจ้าพวกกบฎ จงฟัง เราต้องเอาน้ำจากหินนี้มาให้กับพวกเจ้าหรือ?"
\v 11 แล้วโมเสสก็ยกมือของเขาขึ้นและตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้าของเขา และน้ำก็ไหลออกมามากมาย ชุมชนก็ได้ดื่ม และฝูงสัตว์ของพวกเขาก็ได้ดื่ม
\s5
\p
\v 12 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "เพราะว่าเจ้าทั้งสองไม่ได้วางใจเราหรือถวายเกียรติแด่เราเป็นองค์บริสุทธิ์ในสายตาของคนอิสราเอล เจ้าทั้งสองจะไม่ได้นำชุมชนนี้ไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้กับพวกเขา"
\v 13 สถานที่นั้นจึงมีชื่อเรียกว่า น้ำแห่งเมรีบาห์ เพราะคนอิสราเอลได้โต้เถียงกับพระยาห์เวห์ที่นั่น และพระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองเป็นองค์บริสุทธิ์ต่อพวกเขา
\s5
\p
\v 14 โมเสสได้ส่งผู้ส่งสารจากคาเดชไปยังกษัตริย์แห่งเอโดมว่า อิสราเอลพี่น้องของท่านได้กล่าวดังนี้ "ท่านได้ทราบถึงความทุกข์ยากทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว
\v 15 ท่านทราบว่าบรรพบุรุษของเราได้ลงไปที่อียิปต์และอาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลายาวนาน ชาวอียิปต์ได้ข่มเหงเราอย่างหนัก และรวมทั้งบรรพชนของเราด้วย
\v 16 เมื่อเราร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงได้ยินเสียงของเรา และส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาและนำเราออกจากอียิปต์ ดูสิ เราอยู่ในคาเดชเมืองที่ติดกับพรมแดนของแผ่นดินของท่าน
\v 17 ข้าพเจ้าขอให้ท่านอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านไป เราจะไม่ผ่านเข้าไปในทุ่งนา หรือสวนองุ่น และเราจะไม่ดื่มน้ำในบ่อของท่าน เราจะไปตามทางหลวง เราจะไม่เลี้ยวไปทางขวามือหรือทางซ้าย จนกว่าเราได้ผ่านพรมแดนของท่านไป"
\s5
\p
\v 18 แต่กษัตริย์แห่งเอโดมตอบเขาว่า "พวกเจ้าจะผ่านเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ถ้าพวกเจ้าเข้ามา เราจะมาพร้อมกับดาบที่จะโจมตีพวกเจ้า"
\v 19 แล้วคนอิสราเอลก็บอกท่านว่า "เราจะไปตามทางหลวง ถ้าเราหรือฝูงสัตว์ของเราดื่มน้ำของท่าน เราจะจ่ายค่าตอบแทนให้ ขอเพียงให้เราเดินเท้าผ่านไป โดยไม่ทำสิ่งอื่นใดเลย"
\s5
\p
\v 20 แต่กษัตริย์แห่งเอโดมตอบว่า "พวกเจ้าจะผ่านเข้ามาไม่ได้" ดังนั้น กษัตริย์แห่งเอโดมจึงออกมาต่อสู้กับอิสราเอลด้วยมือที่เข้มแข็งพร้อมกับทหารมากมาย
\v 21 กษัตริย์แห่งเอโดมปฏิเสธที่จะอนุญาตให้อิสราเอลข้ามผ่านเขตแดนของพวกเขา เพราะเหตุนี้ อิสราเอลจึงหันออกไปจากแผ่นดินเอโดม
\v 22 ดังนั้น คนอิสราเอลจึงออกจากคาเดช ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็มายังภูเขาโฮร์
\s5
\p
\v 23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ ที่อยู่ติดเขตแดนของเอโดม พระองค์ตรัสว่า
\v 24 "อาโรนต้องถูกรวบไปอยู่กับคนของเขา เพราะเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้มอบให้กับคนอิสราเอล นี่เป็นเพราะเจ้าทั้งสองคนได้กบฎต่อเราที่น้ำแห่งเมรีบาห์
\v 25 จงพาอาโรนกับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขามา และพาพวกเขาขึ้นมาบนภูเขาโฮร์
\v 26 จงถอดชุดเสื้อปุโรหิตของอาโรนออก และสวมใส่ชุดนั้นให้กับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขา อาโรนต้องตายและถูกรวบไปอยู่กับคนของเขาที่นั่น"
\s5
\p
\v 27 โมเสสก็ได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา พวกเขาขึ้นไปยังภูเขาโฮร์ต่อหน้าต่อตาชุมชนทั้งหมด
\v 28 โมเสสได้ถอดชุดเสื้อปุโรหิตของอาโรนออกและสวมชุดนั้นให้กับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขา อาโรนก็สิ้นชีวิตที่นั่น บนยอดภูเขานั้น แล้วโมเสสกับเอเลอาซาร์ก็ลงมา
\v 29 เมื่อชุมชนทั้งหมดเห็นว่าอาโรนสิ้นชีวิตแล้ว ชนชาติทั้งหมดก็ร้องไห้ไว้ทุกข์ให้อาโรนเป็นเวลาสามสิบวัน
\s5
\c 21
\p
\v 1 เมื่อกษัตริย์แห่งเมืองอาราด ชาวคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินว่าคนอิสราเอลกำลังเดินทางมาตามทางไปอาธาริม ท่านจึงออกมาต่อสู้กับคนอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย
\v 2 คนอิสราเอลปฏิญาณกับพระยาห์เวห์ว่า "ถ้าพระองค์ทรงให้เรามีชัยชนะเหนือชาวเมืองนี้ แล้วเราก็จะทำลายบ้านเมืองของพวกเขาให้สิ้นซาก
\v 3 พระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงของคนอิสราเอล และพระองค์ทรงให้พวกเขามีชัยชนะเหนือคนคานาอัน พวกเขาจึงทำลายชาวเมืองนั้น และบ้านเมืองของพวกเขาจนสิ้นซาก เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่าโฮรมาห์
\s5
\p
\v 4 พวกเขาเดินทางออกจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่ไปยังทะเลแดงเพื่ออ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนก็เกิดความท้อแท้มากระหว่างทาง
\v 5 ประชาชนจึงต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า "ทำไมท่านจึงพาเราขึ้นมาจากอียิปต์เพื่อมาตายในถิ่นทุรกันดารนี้? ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ และเราเกลียดอาหารเลวนี้"
\v 6 แล้วพระยาห์เวห์ทรงส่งงูพิษมาท่ามกลางประชาชน งูพิษก็กัดประชาชน คนเป็นจำนวนมากก็ตาย
\v 7 ประชาชนจึงมาหาโมเสสและกล่าวว่า "เราได้ทำบาปไปแล้ว เพราะเราได้ต่อว่าพระยาห์เวห์และท่าน ขอให้ท่านอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อที่พระองค์จะทรงเอางูออกไปจากเรา" ดังนั้น โมเสสจึงอธิษฐานขอเพื่อประชาชน
\s5
\p
\v 8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงทำงูตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสา ซึ่งจะทำให้คนใดก็ตามที่ถูกงูกัดจะรอดชีวิตได้ ถ้าหากเขามองดูงูนั้น"
\v 9 ดังนั้น โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสา เมื่องูกัดคนใด ถ้าหากเขามองดูที่งูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็รอดชีวิต
\v 10 แล้วคนอิสราเอลก็ออกเดินทางไปและตั้งค่ายที่โอโบท
\v 11 พวกเขาเดินทางออกจากโอโบทและตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมในถิ่นทุรกันดารที่หันหน้าไปทางโมอับตรงทางทิศตะวันออก
\s5
\p
\v 12 จากที่นั่นพวกเขาก็เดินทางต่อไปและตั้งค่ายในหุบเขาเศเรด
\v 13 จากที่นั่นพวกเขาเดินทางต่อไปและตั้งค่ายที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอารโนน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจากเขตแดนของคนอาโมไรต์ แม่น้ำอารโนนเป็นเขตแดนของโมอับ ที่กั้นระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์
\v 14 นั่นเป็นเหตุที่เมืองนี้ได้กล่าวไว้ในหนังสือม้วนของสงครามของพระยาห์เวห์ว่า "วาเฮบในสุฟาห์ และหุบเขาทั้งหลายของแม่น้ำอารโนน
\v 15 ที่ลาดของหุบเขาเหล่านั้นที่ยาวไปถึงเมืองอาร์ และลงไปตามเขตแดนของโมอับ"
\s5
\p
\v 16 จากที่นั่น พวกเขาเดินทางไปยังเมืองเบเออร์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "จงเรียกประชาชนให้มารวมกัน เพื่อเราจะให้น้ำแก่พวกเขา"
\v 17 แล้วคนอิสราเอลก็ร้องเพลงนี้ว่า "จงพลุ่งขึ้นมา บ่อน้ำเอ๋ย จงร้องเพลงถึงบ่อน้ำนี้
\v 18 บ่อน้ำที่ผู้นำของเราได้ขุดไว้ บ่อน้ำที่บรรดาเจ้านายของประชาชนได้ขุดด้วยคฑาและไม้เท้าของพวกเขา" แล้วจากถิ่นทุรกันดารนั้น พวกเขาก็เดินทางไปยังมัททานาห์
\s5
\p
\v 19 จากมัททานาห์ พวกเขาก็เดินทางไปยังนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลไปยังบาโมท
\v 20 และจากบาโมทไปยังหุบเขาในแผ่นดินของโมอับ นั่นคือที่ซึ่งมองจากยอดเขาปิสกาห์ลงมาเห็นถิ่นทุรกันดารนี้
\v 21 แล้วคนอิสราเอลจึงส่งผู้ส่งสารไปยังสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ว่า
\v 22 "ขอให้เราผ่านแผ่นดินของท่านไป เราจะไม่เลี้ยวเข้าไปในทุ่งนาหรือสวนองุ่นใด ๆ เลย เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน เราจะเดินทางไปตามทางหลวง จนกว่าเราจะข้ามผ่านเขตแดนของท่านไป"
\s5
\p
\v 23 แต่กษัตริย์สิโหนไม่ยอมให้คนอิสราเอลผ่านเข้าเขตแดนของพวกเขา แต่สิโหนกลับรวบรวมกองทัพทั้งหมดของท่านและโจมตีคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร เขามาที่ยาฮาสที่ซึ่งเขาได้สู้รบกับคนอิสราเอล
\v 24 คนอิสราเอลก็โจมตีกองทัพของสิโหนด้วยคมดาบ และยึดแผ่นดินของพวกเขาตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงแม่น้ำยับบอก ไกลออกไปจนถึงดินแดนของคนอัมโมน ในตอนนั้น เขตแดนของอัมโมนได้มีการป้องกันแน่นหนา
\v 25 คนอิสราเอลจึงยึดเมืองของคนอาโมไรต์ทั้งหมด และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้งเมืองเฮชโบนและหมู่บ้านทั้งหมดของเมืองนั้น
\s5
\p
\v 26 เฮชโบนเป็นเมืองของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่สู้รบกับกษัตริย์คนก่อนของโมอับ สิโหนได้ยึดดินแดนของเขาทั้งหมด ตั้งแต่เขตแดนของเขาไปจนถึงแม่น้ำอารโนน
\v 27 นั่นคือเหตุผลที่คนเหล่านั้นพูดเป็นคำภาษิตว่า "จงมาที่เฮชโบน ขอให้สร้างเมืองสิโหนขึ้นมาใหม่ และสถาปนาขึ้นอีกครั้ง
\v 28 ไฟได้พลุ่งออกจากเฮชโบน เปลวไฟจากเมืองของสิโหนได้เผาผลาญเมืองอาร์แห่งโมอับและบรรดาเจ้าของที่สูงของแม่น้ำอารโนน
\s5
\p
\v 29 วิบัติจงมีแก่เจ้า โมอับเอ๋ย คนของพระเคโมช เจ้าได้พินาศแล้ว เขาได้ทำให้บรรดาบุตรชายของเขาเป็นผู้ลี้ภัย และบรรดาบุตรหญิงของเขาเป็นนักโทษของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์
\v 30 แต่เราได้ชนะเหนือสิโหน เฮชโบนได้ถูกทำลายล้างไปตลอดทางจนถึงดีโบน เราได้ชนะพวกเขาตลอดทางจนไปถึงโนฟาห์ ที่ไปจนถึงเมเดบา"
\v 31 ดังนั้น คนอิสราเอลก็เริ่มอาศัยอยู่ในดินแดนของคนอาโมไรต์
\s5
\p
\v 32 แล้วโมเสสจึงส่งคนออกไปดูที่เมืองยาเซอร์ พวกเขาก็ยึดหมู่บ้านของเมืองนั้น และขับไล่คนอาโมไรต์ที่อยู่ที่นั่นออกไป
\v 33 แล้วพวกเขาก็หันไปและขึ้นไปตามทางไปเมืองบาชาน โอกกษัตริย์ของบาชานก็ออกมาสู้รบกับพวกเขา ทั้งเขาและกองทัพของเขามาเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอลที่เอเดรอี
\v 34 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้ให้เจ้ามีชัยชนะเหนือเขา กองทัพทั้งหมดของเขา และดินแดนของเขา จงทำกับเขาเหมือนอย่างที่เจ้าทำกับสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองเฮชโบน"
\v 35 ดังนั้น พวกเขาก็ได้ประหารโอก บุตรชายของเขา กองทัพของเขา จนกระทั่งไม่มีประชาชนของเขาเหลือรอดชีวิตอยู่เลย แล้วพวกเขาก็ยึดดินแดนของเขา
\s5
\c 22
\p
\v 1 คนอิสราเอลได้ออกเดินทางต่อไป จนกระทั่งพวกเขาได้ตั้งค่ายในที่ราบโมอับใกล้กับเมืองเยรีโค ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน
\v 2 บาลาคบุตรชายของศิปโปร์ได้เห็นทุกสิ่งที่อิสราเอลได้ทำกับคนอาโมไรต์
\v 3 คนโมอับจึงกลัวคนเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขามีจำนวนมากมาย และคนโมอับก็อยู่ในความหวาดกลัวต่อคนอิสราเอล
\v 4 กษัตริย์แห่งโมอับได้กล่าวกับพวกผู้อาวุโสของคนมีเดียนว่า "คนมากมายเหล่านี้จะกินทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ เราเหมือนกับโคกินหญ้าในทุ่งนา" บาลาคบุตรชายของศิปโปร์เป็นกษัตริย์แห่งโมอับในเวลานั้น
\s5
\p
\v 5 เขาได้ส่งพวกผู้ส่งสารไปยังบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ที่เมืองเปโธร์ ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำยูเฟรติส ในดินแดนของชนชาติของเขาและประชาชนของเขา เขาได้เรียกคนนั้นมาและกล่าวว่า "ดูสิ ชนชาติหนึ่งที่มาจากอียิปต์อยู่ที่นี่ พวกเขาได้แผ่คลุมทั่วแผ่นดิน และพวกเขาอยู่ติดกับเราในตอนนี้
\v 6 ดังนั้น ขอโปรดมาเดี๋ยวนี้เถิด และสาปแช่งชนชาตินี้ให้กับเรา เพราะพวกเขามีกำลังมากเกินไปสำหรับเรา แล้วบางทีเราอาจจะจัดการเพื่อโจมตีพวกเขาได้ และไล่พวกเขาออกไปจากแผ่นดินนี้ เรารู้ว่าท่านอวยพรผู้ใดก็ตาม ก็จะได้รับพร และท่านสาปแช่งผู้ใดก็ตาม ก็จะถูกสาปแช่ง"
\v 7 ดังนั้น พวกผู้อาวุโสของคนโมอับและพวกผู้อาวุโสของคนมีเดียนก็ออกไป และเอาค่าตอบแทนสำหรับคำทำนายไปด้วย พวกเขาก็มาหาบาลาอัมและได้พูดถ้อยคำของบาลาคกับเขา
\s5
\p
\v 8 บาลาอัมได้กล่าวกับพวกเขาว่า "จงอยู่ที่นี่คืนนี้เถิด ข้าพเจ้าจะนำคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าในคืนนี้มาแจ้งกับพวกท่าน" ดังนั้น พวกผู้นำโมอับจึงพักอยู่กับเขาในคืนนั้น
\v 9 พระเจ้าได้ทรงมาหาบาลาอัมและตรัสว่า "คนเหล่านี้ที่มาหาเจ้าเป็นใคร?"
\v 10 บาลาอัมทูลตอบพระเจ้าว่า "บาลาคบุตรชายของศิปโปร์ กษัตริย์แห่งโมอับได้ส่งพวกเขามาหาข้าพระองค์ เขาบอกว่า
\v 11 'ดูสิ คนเหล่านั้นที่มาจากอียิปต์ได้แผ่คลุมพื้นแผ่นดินของเรา ขอให้มาสาปแช่งพวกเขาให้กับเราเดี๋ยวนี้ บางทีเราจะจัดการเพื่อสู้รบกับพวกเขาได้และขับไล่พวกเขาออกไป'"
\s5
\p
\v 12 พระเจ้าทรงตอบบาลาอัมว่า "เจ้าต้องไม่ไปกับคนเหล่านั้น เจ้าต้องไม่สาปแช่งคนอิสราเอล เพราะพวกเขาเป็นคนที่ได้รับพร"
\v 13 บาลาอัมลุกขึ้นในตอนเช้า และบอกกับพวกผู้นำของบาลาคว่า "จงกลับไปยังดินแดนของพวกท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงปฏิเสธที่จะให้ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน"
\v 14 ดังนั้น พวกผู้นำของคนโมอับจึงจากไปและกลับไปหาบาลาค พวกเขาบอกว่า "บาลาอัมปฏิเสธที่จะมากับเรา"
\s5
\p
\v 15 บาลาคได้ส่งพวกผู้นำไปอีกครั้งซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีเกียรติมากกว่ากลุ่มแรก
\v 16 พวกเขามาหาบาลาอัมและบอกเขาว่า "บาลาคบุตรชายของศิปโปร์กล่าวดังนี้ว่า 'โปรดอย่าให้อะไรมาหยุดยั้งท่านจากการมาหาเรา
\v 17 เพราะเราจะจ่ายให้ท่านอย่างงาม และให้เกียรติแก่ท่านอย่างสูง และเราจะทำตามสิ่งที่ท่านบอกให้เราทำ ดังนั้น ขอโปรดมาเถิด และสาปแช่งชนชาตินี้ให้กับเรา'"
\s5
\p
\v 18 บาลาอัมได้ตอบและกล่าวกับคนของบาลาคว่า "ถึงแม้ว่าบาลาคจะมอบวังของเขาที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำเกินเลยมากไปกว่าถ้อยคำของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และไม่สามารถทำน้อยหรือมากกว่าที่พระองค์ทรงบอกข้าพเจ้าได้"
\v 19 แล้วตอนนี้ ขอให้รอที่นี่ในคืนนี้ด้วย เพื่อที่ข้าพเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงบอกอะไรเพิ่มเติมแก่ข้าพเจ้าอีก"
\v 20 พระเจ้าได้ทรงมาหาบาลาอัมในตอนกลางคืน และตรัสกับเขาว่า "เนื่องจากคนเหล่านี้มาเรียกท่านไป จงตื่นขึ้นแล้วไปกับพวกเขา แต่จงทำแต่สิ่งที่เราได้บอกเจ้าให้ทำเท่านั้น"
\s5
\p
\v 21 บาลาอัมตื่นขึ้นในตอนเช้า ผูกลาของเขา และไปกับพวกผู้นำของคนโมอับ
\v 22 แต่เพราะเหตุที่เขาไป ความกริ้วของพระเจ้าได้พลุ่งขึ้น ทูตของพระยาห์เวห์ก็ยืนขวางอยู่ในถนนนั้นเป็นเหมือนกับคนที่เป็นศัตรูต่อบาลาอัมที่กำลังขี่ลาของเขา คนรับใช้สองคนของบาลาอัมก็อยู่กับเขาด้วย
\v 23 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ที่ชักดาบออกมาอยู่ในมือของเขากำลังยืนอยู่ในถนนนั้น ลาตัวนั้นจึงเลี้ยวออกนอกถนนและเข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมก็ตีลาตัวนั้นให้มันหันกลับมาที่ถนน
\s5
\p
\v 24 แล้วทูตของพระยาห์เวห์ก็ยืนอยู่ในทางแคบของถนนระหว่างสวนองุ่น ที่มีกำแพงอยู่ด้านขวาของเขา และกำแพงอีกด้านหนึ่งอยู่ทางซ้ายของเขา
\v 25 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์อีก มันจึงไปชนกำแพง และทำให้เท้าของบาลาอัมเบียดกับกำแพง บาลาอัมจึงตีมันอีก
\v 26 ทูตของพระยาห์เวห์เดินหน้าไปและยืนอยู่ในทางแคบอีกแห่งหนึ่งที่แต่ละด้านไม่มีทางเลี้ยวออกไป
\v 27 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ และมันก็หมอบลงอยู่ข้างใต้บาลาอัม บาลาอัมก็โกรธขึ้นมา และเขาก็ตีลาตัวนั้นด้วยไม้เท้าของเขา
\s5
\p
\v 28 แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงเปิดปากลาตัวนั้น มันก็พูดได้ มันกล่าวกับบาลาอัมว่า "ข้าพเจ้าได้ทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง?"
\v 29 บาลาอัมตอบลาว่า "เป็นเพราะเจ้าได้ทำโง่เขลาต่อข้า ข้าอยากจะมีดาบอยู่ในมือของข้า ถ้าหากมี ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้" ลาจึงกล่าวกับบาลาอัมว่า
\v 30 "ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นลาของท่านที่ขี่มายาวนานตลอดชีวิตจนถึงวันนี้หรือ? ข้าพเจ้าเคยมีนิสัยทำอย่างนั้นกับท่านมาก่อนหรือ?" บาลาอัมตอบว่า "ไม่เคย"
\s5
\p
\v 31 แล้วพระยาห์เวห์จึงเปิดตาบาลาอัม แล้วเขาก็ได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ที่ชักดาบอยู่ในมือของเขายืนขวางในถนนอยู่ บาลาอัมจึงก้มศีรษะของเขาและซบหน้าลง
\v 32 ทูตของพระยาห์เวห์ได้กล่าวกับเขาว่า "ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง? ดูสิ เราได้มาเป็นคนหนึ่งที่เป็นศัตรูต่อเจ้า เพราะการกระทำของเจ้าชั่วร้ายต่อหน้าเรา
\v 33 ลาตัวนั้นได้เห็นเราและหันออกไปถึงสามครั้ง ถ้ามันไม่หันไปจากเรา เราคงจะได้ฆ่าเจ้าอย่างแน่นอนและไว้ชีวิตของมัน"
\s5
\p
\v 34 บาลาอัมจึงกล่าวกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า "ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านยืนขวางกั้นข้าพเจ้าในถนนนั้น ดังนั้น ถ้าเป็นการที่ทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าพเจ้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้"
\v 35 แต่ทูตของพระยาห์เวห์บอกบาลาอัมว่า "จงไปกับคนเหล่านั้นต่อไป แต่เจ้าต้องพูดเฉพาะคำที่เราบอกกับเจ้าเท่านั้น" ดังนั้น บาลาอัมจึงไปกับพวกผู้นำของบาลาค
\s5
\p
\v 36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมได้มาแล้ว บาลาคก็ออกไปพบเขาที่เมืองในโมอับท่ี่แม่น้ำอารโนนที่กั้นเขตแดน
\v 37 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า "เราไม่ได้ส่งคนไปหาท่านเพื่อเรียกให้ท่านมาหรือ?" ทำไมท่านจึงไม่มาหาเรา? เราไม่สามารถให้เกียรติท่านได้หรือ?"
\v 38 แล้วบาลาอัมจึงตอบบาลาคว่า "ดูสิ ข้าพเจ้าได้มาหาท่านแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้ามีอำนาจอะไรที่จะพูดสิ่งใดได้หรือ? ข้าพเจ้าพูดได้เฉพาะถ้อยคำที่พระเจ้าได้ทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าเท่านั้น"
\s5
\p
\v 39 บาลาอัมจึงไปกับบาลาค และพวกเขาก็มาถึงคิริยาทหุโซท
\v 40 แล้วบาลาคก็ได้ถวายบรรดาโคและแกะเป็นเครื่องบูชา และให้เนื้อบางส่วนแก่บาลาอัมและพวกผู้นำที่อยู่กับเขา
\v 41 ในตอนเช้า บาลาคก็พาบาลาอัมขึ้นไปบนที่สูงบาอัล จากที่นั่นบาลาอัมก็สามารถมองเห็นคนอิสราเอลที่อยู่ในค่ายของพวกเขาได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
\s5
\c 23
\p
\v 1 บาลาอัมได้พูดกับบาลาคว่า "ขอจงสร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้าที่นี่ และจัดเตรียมโคผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว"
\v 2 ดังนั้น บาลาคจึงทำตามที่บาลาอัมได้ขอมา แล้วบาลาคกับบาลาอัมก็ถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาบนแท่นบูชาทุกแท่น
\v 3 แล้วบาลาอัมได้พูดบาลาคว่า "ขอให้ยืนอยู่ที่เครื่องเผาบูชาของท่าน และข้าพเจ้าจะไป บางทีพระยาห์เวห์จะทรงมาพบข้าพเจ้า อะไรก็ตามที่พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่าน" ดังนั้น เขาจึงออกไปที่ยอดเขาที่ไม่มีต้นไม้เลย
\s5
\p
\v 4 ขณะที่เขาอยู่บนยอดเขานั้น พระเจ้าได้ทรงมาพบเขา และบาลาอัมได้ทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ได้สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่น และข้าพระองค์ได้ถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นแล้ว"
\v 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัม และตรัสกับเขาว่า "จงกลับไปหาบาลาคและพูดกับเขา"
\v 6 ดังนั้น บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค ที่กำลังยืนอยู่ใกล้กับเครื่องเผาบูชาของเขา และพวกผู้นำของคนโมอับทุกคนที่อยู่กับเขา
\s5
\p
\v 7 แล้วบาลาอัมได้เริ่มพูดคำเผยพระวจนะของเขา และกล่าวว่า "บาลาคได้พาข้าพเจ้ามาจากเมืองอารัม กษัตริย์แห่งโมอับจากเทือกเขาทางตะวันออก 'มาเถิด จงสาปแช่งยาโคบเพื่อเรา' เขากล่าวว่า 'มาเถิด มาต่อสู้กับอิสราเอล'
\v 8 ข้าพเจ้าจะสาปแช่งคนเหล่านั้นที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสาปแช่งได้อย่างไร? ข้าพเจ้าจะสู้รบกับคนเหล่านั้นที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสู้รบได้อย่างไร?
\v 9 เพราะจากยอดโขดหินนั้น ข้าพเจ้าเห็นเขา จากเนินเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้ามองดูเขา ดูสิ มีชนชาติหนึ่งที่อาศัยอยู่ลำพัง และไม่ถือว่าพวกเขาเองเป็นเพียงแค่ชนชาติธรรมดา
\v 10 ใครจะนับจำนวนของยาโคบที่มากดังผงคลีนี้ได้ หรือนับจำนวนแค่หนึ่งในสี่ของอิสราเอลได้? ขอให้ข้าพเจ้าตายอย่างความตายของคนชอบธรรม และขอให้บั้นปลายชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเหมือนกับของเขา"
\s5
\p
\v 11 บาลาคจึงพูดกับบาลาอัมว่า "ท่านได้ทำอะไรเพื่อเรา? เราพาท่านมาสาปแช่งศัตรูของเรา แต่ดูสิ ท่านได้อวยพรพวกเขา"
\v 12 บาลาอัมจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ระวังที่จะพูดคำที่พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าได้หรือ?
\v 13 ดังนั้น บาลาคจึงบอกเขาว่า "โปรดมากับเรายังอีกที่หนึ่งเถิด ที่ซึ่งท่านสามารถมองเห็นส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดของพวกเขา ไม่ใช่ทั้งหมดของพวกเขา ที่นั่น ท่านจะสาปแแช่งพวกเขาเพื่อเรา"
\s5
\p
\v 14 ดังนั้น บาลาคจึงพาบาลาอัมเข้าไปในทุ่งนาของโศฟิม ที่ยอดเขาปิสกาห์ และสร้างแท่นบูชาอีกเจ็ดแท่น เขาถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นบูชา
\v 15 แล้วบาลาอัมจึงพูดกับบาลาคว่า "ขอจงยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของท่านที่นี่เถิด ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบกับพระยาห์เวห์ตรงโน้น"
\v 16 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงทรงมาพบกับบาลาอัม และทรงใส่ถ้อยคำในปากของเขา พระองค์ตรัสว่า "จงกลับไปหาบาลาค และบอกถ้อยคำของเราแก่เขา"
\s5
\p
\v 17 บาลาอัมได้กลับมาหาบาลาค และมองดู เขากำลังยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของเขา และพวกผู้นำของคนโมอับก็อยู่กับเขา แล้วบาลาคก็พูดกับเขาว่า "พระยาห์เวห์ได้ตรัสอะไร?"
\v 18 บาลาอัมจึงเริ่มเผยพระวจนะของเขา เขากล่าวว่า "บาลาค จงลุกขึ้น และฟัง จงฟังข้าพเจ้า ท่านผู้เป็นบุตรชายของศิปโปร์
\v 19 พระเจ้าไม่ใช่คน ที่พระองค์จะทรงมุสาได้ หรือไม่ได้เป็นมนุษย์ที่จะเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้ พระองค์ได้ทรงสัญญาสิ่งใดไว้แล้ว จะไม่ทรงกระทำสิ่งนั้นหรือ? พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วพระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งนั้นให้สำเร็จหรือ?"
\s5
\p
\v 20 ดูสิ ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้อวยพร พระเจ้าได้ทรงประทานพระพรและข้าพเจ้าจะกลับคำไม่ได้
\v 21 พระองค์ไม่ทรงเห็นความยากลำบากใดๆ ในยาโคบ หรือความทุกข์ยากใดๆ ในอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาทรงสถิตกับพวกเขา และโห่ร้องต่อกษัตริย์ของพวกเขา ทรงสถิตท่ามกลางพวกเขา
\v 22 พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยพระกำลังเหมือนกับกำลังของโคป่า
\v 23 ไม่มีเวทมนตร์ใดที่ต่อต้านยาโคบได้ และไม่มีคำทำนายอนาคตใดที่จะทำร้ายอิสราเอลได้ แต่ยาโคบและอิสราเอลจะต้องได้รับคำกล่าวว่า 'จงดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ'
\s5
\p
\v 24 ดูสิ ชนชาติที่ลุกขึ้นมาเหมือนกับนางสิงห์ เป็นเหมือนกับสิงโตที่ปรากฏตัวและเข้าโจมตี มันจะไม่นอนลงจนกว่ามันจะได้กินเหยื่อของมันแล้ว และดื่มเลือดจากตัวที่มันได้ฆ่า"
\v 25 บาลาคจึงพูดกับบาลาอัมว่า "อย่าแช่งสาปพวกเขาหรืออวยพรพวกเขาเลย"
\v 26 แต่บาลาอัมตอบบาลาคว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้บอกท่านหรือว่า ข้าพเจ้าต้องพูดทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบอกให้ข้าพเจ้าพูด?"
\s5
\p
\v 27 ดังนั้น บาลาคจึงตอบบาลาอัมว่า "จงมาเดี๋ยวนี้เถิด เราจะพาท่านไปยังอีกที่หนึ่ง บางทีอาจจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ท่านสาปแช่งพวกเขาเพื่อเรา"
\v 28 ดังนั้น บาลาคจึงพาบาลาอัมไปที่ยอดเขาเปโอร์ที่มองลงมาเห็นถิ่นทุรกันดารนั้น
\v 29 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "ขอให้สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้าที่นี่ และจัดเตรียมโคผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว"
\v 30 ดังนั้น บาลาคจึงทำตามที่บาลาลัมได้บอก เขาถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นบูชา
\s5
\c 24
\p
\v 1 เมื่อบาลาอัมได้เห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยที่จะอวยพรอิสราเอล เขาจึงไม่ไปเพื่อใช้เวทมนตร์เหมือนครั้งอื่นๆ แต่เขามองตรงไปที่ถิ่นทุรกันดารนั้น
\v 2 เขาได้เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าอิสราเอลได้ตั้งค่าย แต่ละค่ายในเผ่าของตนเอง และพระวิญญาณของพระเจ้าก็ลงมาสถิตกับเขา
\v 3 เขาได้รับคำเผยพระวจนะและกล่าวว่า "บาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ต้องกล่าว ชายที่ตากระจ่างแจ้ง
\v 4 เขาพูดและได้ยินพระวจนะของพระเจ้า เขาเห็นนิมิตจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อพระพักตร์ผู้ที่เขาก้มกราบลงด้วยตาที่กระจ่างแจ้ง
\s5
\p
\v 5 ยาโคบเอ๋ย บรรดาเต็นท์ของท่านช่างงามจริงหนอ อิสราเอลเอ๋ย สถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่ก็ช่างงามจริงๆ
\v 6 เหมือนกับหุบเขาเหล่านั้นที่แผ่ขยายออกไป เหมือนสวนทั้งหลายที่อยู่ริมแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาที่พระยาห์เวห์ได้ทรงปลูกไว้ เหมือนกับต้นสนสีดาห์ที่อยู่ริมธารน้ำ
\v 7 น้ำไหลมาจากถังน้ำของพวกเขา และพงศ์พันธุ์ของพวกเขาอุดมด้วยน้ำ กษัตริย์ของพวกเขาสูงกว่าอากัก และราชอาณาจักรของเขาจะได้รับการยกย่อง
\v 8 พระเจ้าทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยพระกำลังดุจโคป่า เขาจะกินบรรดาประชาชาติที่ต่อสู้กับเขา เขาจะหักกระดูกของพวกเขาเป็นท่อน ๆ เขาจะยิงพวกเขาด้วยธนูของเขา
\v 9 เขาหมอบลงเหมือนสิงโต ดุจนางสิงห์ ใครจะกล้ารบกวนเขา? ขอให้ทุกคนที่อวยพรเขาได้รับพร ขอให้ทุกคนที่สาปแช่งเขาได้รับการสาปแช่ง"
\s5
\p
\v 10 ความโกรธของบาลาคก็ได้พลุ่งขึ้นต่อบาลาอัม และเขาก็ตบมือของเขาด้วยความโกรธ บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราได้เรียกท่านมาให้สาปแช่งศัตรูของเรา แต่ดูสิ ท่านได้อวยพรพวกเขาสามครั้งแล้ว
\v 11 ดังนั้น จงไปจากเราและกลับไปบ้านของท่านเดี๋ยวนี้ เราได้บอกว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่ท่าน แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงกีดกันท่านไม่ให้ได้รับรางวัลใดๆ"
\v 12 แล้วบาลาอัมได้ตอบบาลาคว่า ''ข้าพเจ้าได้บอกกับผู้ส่งสารที่ท่านส่งไปหาข้าพเจ้าแล้วว่า
\v 13 'ถึงแม้ว่าบาลาคจะมอบวังของเขาที่เต็มด้วยเงินและทองให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรนอกเหนือจากถ้อยคำของพระยาห์เวห์ และสิ่งที่เลวหรือดี หรือสิ่งใดที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าพูดได้เฉพาะคำที่พระยาห์เวห์ทรงบอกให้ข้าพเจ้าพูดเท่านั้น' ข้าพเจ้าไม่ได้พูดดังนี้กับพวกเขาหรือ?
\v 14 ดังนั้น ตอนนี้ ดูสิ ข้าพเจ้าจะกลับไปยังชนชาติของข้าพเจ้า แต่ขอเตือนท่านก่อนว่า ชนชาตินี้จะทำอะไรต่อประชาชนของท่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"
\s5
\p
\v 15 บาลาอัมได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะนี้ เขากล่าวว่า "บาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ได้กล่าว ชายที่มีตากระจ่างแจ้ง
\v 16 นี่เป็นคำเผยพระวจนะของคนที่ได้ยินถ้อยคำจากพระเจ้า ผู้ที่มีความรู้จากองค์สูงสุด ผู้ที่มีนิมิตจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อพระพักตร์ผู้ที่เขาก้มกราบลงด้วยดวงตากระจ่างแจ้ง
\v 17 ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ามองดูเขา แต่เขาไม่ได้อยู่ใกล้ ดาวดวงหนึ่งจะมาจากยาโคบ คฑาจะขึ้นมาจากอิสราเอล เขาจะทำให้พวกผู้นำของโมอับกระจัดกระจายไป และทำลายเชื้อสายของเสททั้งหมด
\s5
\p
\v 18 แล้วเอโดมจะเป็นกรรมสิทธิ์ของอิสราเอล และเสอีร์ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาด้วย ศัตรูของอิสราเอลผู้ที่อิสราเอลจะมีชัยชนะด้วยกำลัง
\v 19 กษัตริย์องค์หนึ่งจะออกมาจากยาโคบ ผู้ที่จะทรงครอบครอง และเขาจะทำลายผู้ที่รอดชีวิตจากเมืองของพวกเขา"
\v 20 แล้วบาลาอัมได้มองที่อามาเลข และได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะของเขา เขากล่าวว่า "ครั้งหนึ่งคนอามาเลขเคยเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่บั้นปลายของเขาจะถูกทำลาย"
\s5
\p
\v 21 แล้วบาลาอัมก็มองตรงไปที่คนเคไนต์ และเริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะของเขา เขาได้กล่าวว่า "สถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่เข้มแข็งมาก และรังของท่านก็อยู่ในหิน
\v 22 อย่างไรก็ตาม คนเคไนต์ก็จะถูกทำลาย เมื่ออัสซีเรียนำท่านไปเป็นเชลย"
\v 23 แล้วบาลาอัมได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะสุดท้ายของเขา เขากล่าวว่า "วิบัติแก่พวกเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ ใครจะที่มีชีวิตรอดได้?
\v 24 เรือทั้งหลายจะมาจากริมฝั่งของคิททิม เรือเหล่านั้นจะโจมตีอัสซีเรียและจะชนะเอเบอร์ แต่พวกเขาจะมีจุดจบในการถูกทำลายเช่นกัน"
\v 25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นและจากไป เขาได้กลับไปยังบ้านของเขา และบาลาคก็จากไปเช่นกัน
\s5
\c 25
\p
\v 1 อิสราเอลพักอยู่ในชิทธีม และพวกผู้ชายก็เริ่มเล่นชู้กับพวกผู้หญิงชาวโมอับ
\v 2 เพราะชาวโมอับได้เชิญชวนประชาชนไปถวายเครื่องบูชาให้กับพระของพวกนาง ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านั้นจึงได้กินและก้มกราบพระของคนโมอับ
\v 3 คนอิสราเอลเข้าร่วมในการนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์ และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล
\s5
\p
\v 4 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงฆ่าพวกผู้นำของประชาชนทุกคนต่อหน้าเรา และแขวนพวกเขาไว้กลางแดด เพื่อที่ความกริ้วรุนแรงของเราจะหันไปจากอิสราเอล"
\v 5 ดังนั้น โมเสสจึงพูดกับพวกผู้นำคนอิสราเอลว่า "ท่านแต่ละคนจงออกไปและประหารคนของเขาที่ร่วมในการนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์"
\v 6 แล้วชายคนหนึ่งของอิสราเอลเข้ามาและนำหญิงมีเดียนมาอยู่ท่ามกลางครอบครัวของเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาโมเสสและชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอล ขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 7 เมื่อฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรชายของอาโรนปุโรหิต เห็นดังนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปจากท่ามกลางชุมชนนั้น และถือหอกอยู่ในมือของเขา
\v 8 เขาตามชายอิสราเอลคนนั้นเข้าไปในเต็นท์ของเขา และแทงหอกนั้นทะลุร่างทั้งสองคน ทั้งชายอิสราเอลและหญิงคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติที่พระยาห์เวห์ทรงส่งลงมาเหนือคนอิสราเอลก็สงบลง
\v 9 คนเหล่านั้นที่ตายด้วยภัยพิบัตินับจำนวนได้สองหมื่นสี่พันคน
\s5
\p
\v 10 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 11 "ฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรชายของอาโรนปุโรหิตได้หันความกริ้วของเราออกไปจากคนอิสราเอล เพราะเขาร้อนใจด้วยความหวงแหนของเราท่ามกลางพวกเขา ดังนั้น เราจึงไม่ผลาญคนอิสราเอลด้วยความรุนแรงของเรา
\v 12 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ "ดูสิ เราจะมอบพันธสัญญาแห่งสันติสุขให้แก่ฟีเนหัส
\s5
\p
\v 13 สำหรับเขาและลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลังเขา ซึ่งเป็นพันธสัญญาชั่วนิรันดร์ของตำแหน่งปุโรหิต เพราะเขาได้หวงแหนเพื่อเรา พระเจ้าของเขา เขาได้ลบล้างบาปให้กับคนอิสราเอล"'"
\v 14 ตอนนี้ ชื่อของชายอิสราเอลคนนั้นที่ถูกฆ่าตายพร้อมกับหญิงชาวมีเดียนคนนั้น คือศิมรีบุตรชายของสาลู ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวของบรรพบุรุษท่ามกลางคนสิเมโอน
\v 15 ชื่อของหญิงชาวมีเดียนคนนั้นที่ถูกฆ่า คือคอสบี บุตรหญิงของศูร์ ผู้เป็นหัวหน้าของเผ่าและครอบครัวในมีเดียน
\s5
\p
\v 16 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า
\v 17 "จงปฏิบัติต่อคนมีเดียนเป็นเหมือนศัตรูและโจมตีพวกเขา
\v 18 เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นเหมือนศัตรูด้วยการหลอกลวงของพวกเขา พวกเขานำพวกเจ้าเข้าไปในความชั่วร้ายในเรื่องของเปโอร์ และในเรื่องของคอสบีน้องสาวของพวกเขา ที่เป็นบุตรหญิงของผู้นำในมีเดียนที่ถูกฆ่าในวันที่เกิดภัยพิบัติในเรื่องของเปโอร์"
\s5
\c 26
\p
\v 1 หลังจากที่เกิดภัยพิบัตินั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต พระองค์ตรัสว่า
\v 2 "จงนับชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอล ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปตามครอบครัวบรรพบุรุษของพวกเขา ทุกคนที่สามารถออกรบเพื่ออิสราเอลได้"
\v 3 ดังนั้น โมเสสและเอเลอาร์ซาร์ปุโรหิตจึงพูดกับพวกเขาในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และกล่าวว่า
\v 4 "จงนับจำนวนประชาชน ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสและคนอิสราเอลที่ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์"
\s5
\p
\v 5 รูเบนเป็นบุตรหัวปีของอิสราเอล ตระกูลของคนฮาโนคมาจากบุตรชายของเขาคือฮาโนค ตระกูลของคนปัลลูมาจากปัลลู
\v 6 ตระกูลของคนเฮสโรนมาจากเฮสโรน ตระกูลของคนคารมีมาจากคารมี
\v 7 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของรูเบน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 43,730 คน
\s5
\p
\v 8 เอลีอับเป็นบุตรชายของปัลลู
\v 9 บุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธานและอาบีรัม คนเหล่านี้เป็นคนเดียวกันกับดาธานและอาบีรัมที่ติดตามโคราห์ ตอนที่พวกเขาท้าทายโมเสสและอาโรน และกบฎต่อพระยาห์เวห์
\v 10 แผ่นดินได้อ้าปากและกลืนพวกเขาไปพร้อมกับโคราห์ เมื่อคนที่ติดตามเขาทั้งหมดตายไป ในเวลานั้น ไฟได้เผาผลาญคน 250 คน ที่กลายเป็นเครื่องหมายเตือนใจ
\v 11 แต่เชื้อสายของโคราห์ไม่ได้ตายทั้งหมด
\s5
\p
\v 12 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน คือ ตระกูลของคนเนมูเอลมาจากเนมูเอล ตระกูลของคนยามีนมาจากยามีน ตระกูลของคนยาคีนมาจากยาคีน
\v 13 ตระกูลของคนเศ-ราห์มาจากเศ-ราห์ ตระกูลของคนชาอูลมาจากชาอูล
\v 14 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 22,200 คน
\s5
\p
\v 15 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของกาด คือตระกูลของคนเศโฟนมาจากเศโฟน ตระกูลของคนฮักกีมาจากฮักกี ตระกูลของคนชูนีมาจากชูนี
\v 16 ตระกูลของคนโอสนีมาจากโอสนี ตระกูลของคนเอรีมาจากเอรี
\v 17 ตระกูลของคนอาโรดมาจากอาโรด ตระกูลของคนอาเรลีมาจากอาเรลี
\v 18 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของกาด ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 40,500 คน
\s5
\p
\v 19 บุตรชายของยูดาห์คือ เอร์และโอนัน แต่คนเหล่านี้ได้ตายในแผ่นดินคานาอัน
\v 20 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ คือตระกูลของคนเชลาห์มาจากเชลาห์ ตระกูลของคนเปเรศมาจากเปเรศ ตระกูลของคนเศ-ราห์มาจากเศ-ราห์
\v 21 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์เปเรศ คือตระกูลของคนเฮสโรนมาจากเฮสโรน ตระกูลของคนฮามูลมาจากฮามูล
\v 22 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 76,500 คน
\s5
\p
\v 23 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอิสสาคาร์ คือตระกูลของคนโทลามาจากโทลา ตระกูลของคนปูวาห์มาจากปูวาห์
\v 24 ตระกูลของคนยาชูบมาจากยาชูบ ตระกูลของคนชิมโรนมาจากชิมโรน
\v 25 เหล่านี้คือตระกูลของอิสสาคาร์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 64,300 คน
\s5
\p
\v 26 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเศบูลุน คือตระกูลของคนเสเรดมาจากเสเรด ตระกูลของคนเอโลนมาจากเอโลน ตระกูลของคนยาห์เลเอลมาจากยาห์เลเอล
\v 27 เหล่านี้คือตระกูลของคนเศบูลุน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 60,500 คน
\v 28 ตระกูลของพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ คือมนัสเสห์และเอฟราอิม
\v 29 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์ คือ ตระกูลของคนมาคีร์มาจากมาคีร์ (มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด) ตระกูลของคนกิเลอาดมาจากกิเลอาด
\s5
\p
\v 30 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของกิเลอาด ตระกูลของคนอีเยเซอร์มาจากอีเยเซอร์ ตระกูลของคนเฮเลคมาจากเฮเลค
\v 31 ตระกูลของคนอัสรีเอลมาจากอัสรีเอล ตระกูลของคนเชเคมมาจากเชเคม
\v 32 ตระกูลของคนเชมิดามาจากเชมิดา ตระกูลของคนเฮเฟอร์มาจากเฮเฟอร์
\v 33 เศโลเฟหัสบุตรชายของเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิงเท่านั้น ชื่อของบรรดาบุตรหญิงเหล่านั้น คือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
\v 34 เหล่านี้เป็นตระกูลของมนัสเสห์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 52,700 คน
\s5
\p
\v 35 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม คือตระกูลของคนชูเธลาห์มาจากชูเธลาห์ ตระกูลของคนเบเคอร์มาจากเบเคอร์ ตระกูลของคนทาหานมาจากทาหาน
\v 36 พงศ์พันธุ์ของชูเธลาห์ คือตระกูลของคนเอรานมาจากเอราน
\v 37 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 32,500 คน เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ ที่ได้นับจำนวนในแต่ละตระกูลของพวกเขา
\s5
\p
\v 38 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน คือตระกูลของคนเบ-ลามาจากเบ-ลา ตระกูลของคนอัชเบลมาจากอัชเบล ตระกูลของคนอาหิรัมมาจากอาหิรัม
\v 39 ตระกูลของคนเชฟูฟามมาจากเชฟูฟาม ตระกูลของคนหุฟามมาจากหุฟาม
\v 40 บุตรชายของเบ-ลาคืออาร์ดและนาอามาน ตระกูลของคนอาร์ดมาจากอาร์ด และตระกูลของคนนาอามานมาจากนาอามาน
\v 41 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน พวกเขานับผู้ชายได้ 45,600 คน
\s5
\p
\v 42 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของดาน คือตระกูลของคนชูฮัมมาจากชูฮัม เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของดาน
\v 43 ตระกูลของคนชูฮัมทั้งหมด นับผู้ชายได้ 64,400 คน
\v 44 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ คือ ตระกูลของคนอิมนาห์มาจากอิมนาห์ ตระกูลของคนอิชวีมาจากอิชวี ตระกูลของคนเบรียาห์มาจากเบรียาห์
\v 45 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเบรียาห์ คือ ตระกูลของคนเฮเบอร์มาจากเฮเบอร์ ตระกูลของคนมัลคีเอลมาจากมัลคีเอล
\s5
\p
\v 46 ชื่อบุตรหญิงของอาเชอร์ คือ เสราห์
\v 47 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ ที่นับผู้ชายได้ 53,400 คน
\v 48 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี คือ ตระกูลของคนยาห์เซเอลมาจากยาห์เซเอล ตระกูลของคนกูนีมาจากกูนี
\v 49 ตระกูลของคนเยเซอร์มาจากเยเซอร์ ตระกูลของคนชิลเลมมาจากชิลเลม
\v 50 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 45,400 คน
\s5
\p
\v 51 นี่เป็นจำนวนผู้ชายของคนอิสราเอลที่นับได้ทั้งหมด 601,730 คน
\v 52 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า
\v 53 "แผ่นดินนั้นต้องแบ่งเป็นมรดกท่ามกลางคนเหล่านี้ที่นับตามจำนวนชื่อของพวกเขา
\s5
\p
\v 54 เจ้าต้องมอบมรดกที่ใหญ่กว่าให้กับตระกูลที่ใหญ่กว่า และมอบมรดกที่เล็กกว่าให้กับตระกูลที่เล็กกว่า เจ้าต้องมอบมรดกให้แก่ทุกครอบครัวตามจำนวนคนที่ถูกนับไว้
\v 55 แต่อย่างไรก็ตาม แผ่นดินนั้นต้องแบ่งกันโดยการจับฉลาก พวกเขาต้องได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเหมือนกับแผ่นดินที่แบ่งกันท่ามกลางเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา
\v 56 มรดกของพวกเขาต้องแบ่งท่ามกลางตระกูลที่ใหญ่กว่า และตระกูลที่เล็กกว่า ซึ่งเป็นการแบ่งให้พวกเขาโดยการจับฉลาก"
\s5
\p
\v 57 เหล่านี้เป็นตระกูลคนเลวี ที่นับตระกูลต่อตระกูล คือตระกูลของคนเกอร์โชนมาจากเกอร์โชน ตระกูลของคนโคฮาทมาจากโคฮาท ตระกูลของคนเมรารีมาจากเมรารี
\v 58 เหล่านี้เป็นตระกูลของเลวี คือตระกูลของคนลิบนี ตระกูลของคนเฮโบรน ตระกูลของคนมาห์ลี ตระกูลของคนมูชี และตระกูลของคนโคราห์ โคฮาทเป็นบรรพบุรุษของอัมราม
\v 59 ภรรยาของอัมรามชื่อโยเคเบด ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของเลวีที่เกิดในตระกูลคนเลวีในอียิปต์ นางคลอดบุตรหลายคนให้แก่อัมราม คืออาโรน โมเสส และมิเรียมพี่สาวของพวกเขา
\s5
\p
\v 60 อาโรนให้กำเนิดนาดับและอาบีฮู เอเลอาซาร์และอิธามาร์
\v 61 นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตตอนที่พวกเขาถวายไฟที่ต้องห้ามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 62 พวกผู้ชายที่นับได้ท่ามกลางพวกเขา จำนวนสองหมื่นสามพันคน ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป แต่พวกเขาไม่ได้ถูกนับรวมกับพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกมอบให้กับพวกเขาท่ามกลางคนอิสราเอล
\s5
\p
\v 63 เหล่านี้คือคนที่โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ พวกเขานับจำนวนคนอิสราเอลในที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค
\v 64 แต่ท่ามกลางคนเหล่านี้ ไม่มีคนใดเลยที่โมเสสและอาโรนเคยนับไว้ ตอนที่มีการนับจำนวนพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารซีนาย
\v 65 เพราะพระยาห์เวห์ตร้สว่า คนเหล่านั้นทั้งหมดจะตายในถิ่นทุรกันดารนั้นอย่างแน่นอน จะไม่มีเหลืออยู่สักคนเดียวท่ามกลางพวกเขา นอกจากคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรชายของนูน
\s5
\c 27
\p
\v 1 แล้วบุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัด ผู้เป็นบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากตระกูลของมนัสเสห์ ผู้เป็นบุตรชายของโยเซฟ ที่ได้มาหาโมเสส เหล่านี้คือชื่อของบุตรหญิงทั้งหลายของเขา คือมาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
\v 2 พวกนางยืนอยู่ต่อหน้าโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต พวกผู้นำ และต่อหน้าชุมชนทั้งหมดที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ พวกนางกล่าวว่า
\v 3 "บิดาของเราตายในถิ่นทุรกันดาร เขาไม่ได้อยู่ในพวกคนเหล่านั้นที่สมรู้ร่วมคิดกันต่อต้านพระยาห์เวห์ในพรรคพวกของโคราห์ เขาตายเพราะบาปของเขาเอง และเขาไม่มีบุตรชายเลย
\v 4 ทำไมจึงเอาชื่อบิดาของเราออกไปจากท่ามกลางคนในตระกูลของเขา เพราะเขาไม่มีบุตรชาย? ขอมอบแผ่นดินท่ามกลางญาติของบิดาของเราให้แก่พวกเราเถิด"
\s5
\p
\v 5 ดังนั้น โมเสสจึงนำเรื่องของพวกนางมาทูลต่อพระพักตร์พระยาเวห์
\v 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 7 "บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดพูดถูกต้อง เจ้าต้องมอบแผ่นดินให้เป็นมรดกแก่พวกนางท่ามกลางญาติพี่น้องของบิดาของพวกนาง เจ้าต้องทำให้มั่นใจว่ามรดกของบิดาของพวกนางจะตกทอดไปถึงพวกนาง
\v 8 เจ้าต้องพูดกับคนอิสราเอลว่า 'ถ้าชายคนใดตายและไม่มีบุตรชาย แล้วพวกท่านต้องทำให้มรดกของเขาตกทอดไปสู่บุตรหญิงของเขา
\s5
\p
\v 9 ถ้าเขาไม่มีบุตรหญิง แล้วพวกท่านต้องมอบมรดกของเขาให้แก่พี่น้องของเขา
\v 10 ถ้าเขาไม่มีพี่น้อง แล้วพวกท่านต้องมอบมรดกของเขาให้กับพี่น้องของบิดาของเขา
\v 11 ถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง แล้วพวกท่านก็ต้องมอบมรดกให้กับญาติที่สนิทที่สุดของเขาในตระกูลของเขา และเขาต้องรับมรดกนั้นสำหรับตัวของเขาเอง นี่เป็นกฎหมายที่ตั้งขึ้นจากพระบัญชาสำหรับคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาข้าพเจ้า"'
\s5
\p
\v 12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมและมองดูแผ่นดินที่เรามอบให้แก่คนอิสราเอล
\v 13 หลังจากที่เจ้าได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว เจ้าก็จะต้องถูกรวมไปอยู่กับคนของเจ้าด้วยเช่นเดียวกับอาโรนพี่ชายของเจ้า
\v 14 เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพราะเจ้าทั้งสองได้กบฎต่อคำสั่งของเราในถิ่นทุรกันดารศิน ที่นั่น ตอนที่น้ำไหลออกมาจากหิน ในความโกรธของเจ้า เจ้าไม่ได้ให้เกียรติเราเป็นองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าสายตาของชุมชนทั้งหมด" เหล่านี้เป็นน้ำแห่งเมรีบาห์ของคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน
\s5
\p
\v 15 แล้วโมเสสจึงทูลพระยาห์เวห์ว่า
\v 16 "ขอพระองค์ พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ทรงแต่งตั้งชายคนหนึ่งไว้เหนือชุมชนนี้
\v 17 คนที่จะออกไปและเข้ามาต่อหน้าพวกเขา และนำพวกเขาออกไปและนำพวกเขาเข้ามา เพื่อที่ชุมชนของพระองค์จะไม่เป็นเหมือนกับฝูงแกะที่ขาดผู้เลี้ยง"
\s5
\p
\v 18 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงนำโยชูวาบุตรชายของนูนมา ชายที่มีวิญญาณของเราอยู่ในเขา จงวางมือของเจ้าบนเขา
\v 19 จงแต่งตั้งเขาต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิต และต่อหน้าชุมชนทั้งหมด และบัญชาเขาให้นำพวกเขาต่อหน้าต่อตาพวกเขา
\v 20 เจ้าต้องมอบอำนาจหน้าที่ของเจ้าบางส่วนให้กับเขา เพื่อให้ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลเชื่อฟังเขา
\s5
\p
\v 21 เขาจะไปอยู่ต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของเราสำหรับเขาจากการเลือกของอูริม ซึ่งจะเป็นคำสั่งของเขาที่จะให้ประชาชนออกไปและเข้ามา ทั้งเขาและคนอิสราเอลทุกคนที่อยู่กับเขา คือชุมชนทั้งหมด"
\v 22 ดังนั้น โมเสสจึงทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา เขานำโยชูวามาและแต่งตั้งเขาต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตและชุมชนทั้งหมด
\v 23 โมเสสได้วางมือของเขาบนโยชูวาและบัญชาเขาให้เป็นผู้นำ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เขาทำ
\s5
\c 28
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 "จงสั่งคนอิสราเอล และจงพูดกับพวกเขาว่า 'พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาแด่เราตามเวลาที่กำหนดไว้ อาหารของเครื่องบูชาของเราที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่เรา'
\v 3 เจ้าต้องพูดกับพวกเขาด้วยว่า 'นี่เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่พวกเจ้าต้องถวายแด่พระยาห์เวห์ คือลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิ วันละสองตัวเป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน
\v 4 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะหนึ่งตัวในตอนเช้า และพวกเจ้าต้องถวายลูกแกะอีกหนึ่งตัวในตอนเย็น
\s5
\p
\v 5 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีหนึ่งในสิบเอฟาห์เคล้าน้ำมันสกัดหนึ่งในสี่ฮินเป็นเครื่องธัญบูชา
\v 6 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวันที่ทรงบัญชาไว้ที่ภูเขาซีนาย ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
\v 7 เครื่องดื่มบูชาหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัวที่ต้องถวายพร้อมกัน พวกเจ้าต้องเทเครื่องดื่มบูชาที่เป็นเหล้าถวายแด่พระยาห์เวห์ในวิสุทธิสถาน
\v 8 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะอีกตัวหนึ่งในตอนเย็นพร้อมกับเครื่องธัญบูชาอีกเช่นเดียวกันกับเครื่องบูชาที่ถวายในตอนเช้า พวกเจ้าต้องถวายเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันอีกด้วย ให้เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 9 ในวันสะบาโต พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะตัวผู้สองตัว แต่ละตัวมีอายุหนึ่งปีและไม่มีตำหนิ และแป้งอย่างดีสองในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันเป็นเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกัน
\v 10 นี่จะเป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาประจำวัน
\v 11 ในตอนต้นเดือนของแต่ละเดือน พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิเจ็ดตัว
\v 12 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีสามในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันเป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับโคแต่ละตัว และแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันสองในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับแกะผู้หนึ่งตัว
\s5
\p
\v 13 พวกเจ้าก็ต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับลูกแกะแต่ละตัวด้วย นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่เป็นกลิ่นหอม ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์
\v 14 เครื่องดื่มบูชาของประชาชนต้องเป็นเหล้าองุ่นครึ่งฮินต่อโคผู้หนึ่งตัว และหนึ่งในสามฮินต่อแกะผู้หนึ่งตัว และหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัว นี่เป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกเดือนตลอดปี
\v 15 จงถวายแพะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปแด่พระยาห์เวห์ นี่จะเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันที่ถวายประจำวัน
\s5
\p
\v 16 ในระหว่างเดือนที่หนึ่ง ในวันที่สิบสี่ของเดือนเป็นปัสกาของพระยาห์เวห์
\v 17 ในวันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นการจัดเทศกาลงานเลี้ยง ซึ่งต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน
\v 18 ในวันแรกต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น
\v 19 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะอายุหนึ่งปีเจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ
\s5
\p
\v 20 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาพร้อมกับโคผู้ตัวนั้น และถวายสองในสิบเอฟาห์พร้อมกับแกะผู้ตัวนั้น
\v 21 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับแกะแต่ละตัวในเจ็ดตัวนั้น
\v 22 และแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับพวกเจ้าเอง
\v 23 พวกเจ้าต้องถวายสิ่งเหล่านี้นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวันที่กำหนดไว้ในตอนเช้าของแต่ละวัน
\s5
\p
\v 24 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาประจำวันเหล่านี้ตามที่กำหนดไว้ในที่นี้เป็นเวลาเจ็ดวันของเทศกาลปัสกา อาหารของเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งต้องถวายนอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันประจำวัน
\v 25 ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น
\v 26 ในวันแห่งการถวายผลแรกก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องธัญบูชาใหม่แด่พระยาห์เวห์ในเทศกาลสัปดาห์ของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น
\s5
\p
\v 27 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว
\v 28 จงถวายเครื่องธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันที่ต้องถวายไปด้วยกัน แป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคผู้แต่ละตัว และสองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะผู้หนึ่งตัว
\v 29 จงถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวในเจ็ดตัวนั้น
\v 30 และแพะผู้หนึ่งตัวเพื่อทำการลบล้างบาปสำหรับพวกเจ้าเอง
\v 31 เมื่อพวกเจ้าถวายสัตว์เหล่านั้นที่ปราศจากตำหนิ พร้อมกับเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา ซึ่งต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกันประจำวัน'"
\s5
\c 29
\p
\v 1 "ในเดือนที่เจ็ด ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น วันนี้จะเป็นวันที่พวกเจ้าเป่าแตรเหล่านั้น
\v 2 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มหนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 3 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกันเป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ตัวนั้น และสองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้ตัวนั้น
\v 4 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวของลูกแกะทั้งเจ็ดตัวนั้น
\v 5 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เพื่อทำการลบมลทินบาปให้กับตัวพวกเจ้าเอง
\s5
\p
\v 6 จงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ในเดือนที่เจ็ด นอกเหนือจากเครื่องบูชาทั้งหมดที่พวกเจ้าจะถวายในวันแรกของแต่ละเดือน เครื่องเผาบูชาพิเศษ และเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เหล่านี้ต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชานั้นด้วย เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ พวกเจ้าจะทำตามกฎเกณฑ์ที่ได้ทรงบัญชาไว้ ให้เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
\v 7 ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถ่อมตัวเองลง และไม่ทำงาน
\s5
\p
\v 8 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มหนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัวและลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว ลูกแกะเหล่านั้นแต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 9 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ตัวนั้น สองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้ตัวนั้น
\v 10 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวทั้งเจ็ดตัวนั้น
\v 11 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นี่จะเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 12 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น และพวกเจ้าต้องถือเทศกาลเลี้ยงฉลองเพื่อพระองค์เจ็ดวัน
\v 13 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชา ที่เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสิบสามตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 14 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เป็นแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ทุกตัวทั้งสิบสามตัวนั้น สองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้แต่ละตัวทั้งสองตัวนั้น
\v 15 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวทั้งสิบสี่ตัวนั้น
\v 16 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเครื่องเผาบูชานั้น
\s5
\p
\v 17 ในวันที่สองของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสิบสองตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 18 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้น ที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 19 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 20 ในวันที่สามของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้สิบเอ็ดตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 21 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้น ที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 22 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 23 ในวันที่สี่ของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้สิบตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 24 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 25 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 26 ในวันที่ห้าของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้เก้าตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 27 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 28 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 29 ในวันที่หกของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้แปดตัว แกะตัวผู้สองตัวและลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 30 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 31 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 32 ในวันที่เจ็ดของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้เจ็ดตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 33 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\v 34 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\s5
\p
\v 35 ในวันที่แปด พวกเจ้าต้องมีการประชุมตามพิธีการอีกวันหนึ่ง พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น
\v 36 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชา เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้หนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ
\v 37 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้นสำหรับโคผู้ตัวนั้น สำหรับแกะผู้ตัวนั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
\s5
\p
\v 38 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
\v 39 เหล่านี้เป็นเครื่องบูชาที่พวกเจ้าต้องถวายแด่พระยาห์เวห์ ในเทศกาลเลี้ยงฉลองของพวกเจ้าที่ได้กำหนดไว้ เครื่องบูชาเหล่านี้ต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องบูชาที่สาบานไว้และเครื่องบูชาตามสมัครใจทั้งหลายของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาเหล่านี้เป็นบรรดาเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญบูชา เครื่องดื่มบูชา และเครื่องสันติบูชาของพวกเจ้า"
\v 40 โมเสสได้บอกกับคนอิสราเอลทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาเขาให้พูด
\s5
\c 30
\p
\v 1 โมเสสพูดกับบรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ของคนอิสราเอล เขากล่าวว่า "นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้
\v 2 เมื่อคนใดทำการสาบานต่อพระยาห์เวห์ หรือสาบานคำปฏิญาณที่ผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญานั้น เขาต้องไม่เสียคำพูดของเขา เขาต้องรักษาคำสัญญาของเขาที่จะทำทุกสิ่งที่ออกมาจากปากของเขา
\s5
\p
\v 3 เมื่อหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านของบิดาของนางทำการสาบานต่อพระยาห์เวห์ และผูกมัดตัวเองกับคำสัญญานั้น
\v 4 ถ้าบิดาของนางได้ยินคำสาบานและคำสัญญาที่ผูกมัดตัวนางเอง และถ้าเขาไม่ได้พูดอะไรให้นางกลับคำ แล้วคำสาบานทั้งหมดของนางก็จะยังคงมีผลบังคับ ทุกคำสัญญาที่นางได้ผูกมัดตัวนางเองจะยังคงมีผลบังคับ
\v 5 แต่ถ้าบิดาของนางได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานของนางและคำสัญญาของนาง และเขาไม่ได้พูดอะไรกับนาง แล้วคำสาบานและคำสัญญาทั้งหมดที่นางได้ทำกับตัวนางเองก็จะยังคงมีผลบังคับ
\v 6 แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าบิดาของนางได้ยินคำสาบานทั้งหมดของนางที่นางทำและคำสัญญาอย่างหนักแน่นที่นางได้ผูกมัดตัวนางเอง และถ้าเขาได้คัดค้านนางในวันเดียวกันนั้น แล้วคำเหล่านั้นก็จะไม่มีผลบังคับ พระยาห์เวห์จะทรงอภัยให้กับนาง เพราะบิดาของนางได้คัดค้านนาง
\s5
\p
\v 7 ถ้านางแต่งงานกับชายคนหนึ่ง ขณะที่ยังอยู่ภายใต้คำสาบานเหล่านั้น หรือถ้านางทำสัญญาต่าง ๆ ที่ไม่ยั้งคิดด้วยคำที่เป็นภาระผูกพันตัวนางเอง ภาระผูกพันเหล่านั้นจะยังคงมีผลบังคับ
\v 8 แต่ถ้าสามีของนางห้ามนางในวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเขาทำให้คำสาบานที่นางได้ทำเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่ยั้งคิดที่ออกมาจากปากของนางที่ได้ผูกมัดตัวนางเอง พระยาห์เวห์จะทรงปล่อยนางเป็นอิสระ
\v 9 แต่ส่วนแม่ม่ายหรือผู้หญิงที่หย่าร้าง ทุกสิ่งที่นางได้ผูกมัดตัวเองจะยังมีผลบังคับกับนาง
\s5
\p
\v 10 ถ้าผู้หญิงคนใดได้ทำการสาบานในบ้านของสามีของนาง หรือทำให้ตัวเองมีภาระผูกพันด้วยการให้คำปฏิญาณ
\v 11 และสามีของนางได้ยินเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรกับนาง และเขาไม่คัดค้านนาง แล้วคำสาบานของนางทั้งหมดก็จะยังคงอยู่ และภาระผูกพันที่นางทำไว้ก็ต้องมีผลบังคับ
\v 12 แต่ถ้าสามีของนางทำให้คำสาบานเหล่านั้นเป็นโมฆะในวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานนั้น แล้วคำใดก็ตามที่ออกมาจากปากของนางเกี่ยวกับคำสาบานหรือคำสัญญาเหล่านั้นของนางก็จะไม่มีผลบังคับ สามีของนางได้ทำให้คำสาบานเหล่านั้นเป็นโมฆะแล้ว พระยาห์เวห์จะทรงปล่อยนางให้เป็นอิสระ
\v 13 ทุกคำสาบานหรือคำปฏิญาณที่ผู้หญิงได้ทำที่เป็นการผูกมัดนางที่เป็นการบังคับตัวเอง สามีของนางอาจจะยืนยันหรือทำให้บางอย่างเป็นโมฆะได้
\s5
\p
\v 14 แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรกับนางเลยวันแล้ววันเล่า แล้วเขาก็ยืนยันคำสาบานของนางและคำสัญญาที่ผูกมัดนางทั้งหมดที่นางได้ทำ เขาได้ยืนยันคำสาบานเหล่านั้นแล้ว เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรกับนางในเวลาที่เขาได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานเหล่านั้น
\v 15 ถ้าสามีของนางพยายามที่จะทำให้คำสาบานของนางเป็นโมฆะหลังจากที่ได้ยินคำสาบานนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว แล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อความบาปของนาง"
\v 16 เหล่านี้เป็นข้อกำหนดที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสให้ประกาศข้อกำหนดเหล่านี้ที่เป็นเรื่องระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และระหว่างบิดากับบุตรหญิงของเขา ขณะที่นางอยู่ในวัยสาวอยู่ในครอบครัวของบิดาของนาง
\s5
\c 31
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 "จงทำการแก้แค้นต่อคนมีเดียน เพราะสิ่งที่พวกเขาทำต่อคนอิสราเอล หลังจากทำอย่างนั้นแล้ว เจ้าจะตายและถูกรวมไปอยู่กับบรรดาคนของเจ้า"
\v 3 ดังนั้น โมเสสจึงพูดกับประชาชน เขากล่าวว่า "จงเตรียมบางคนของพวกท่านให้พร้อมด้วยอาวุธเพื่อทำสงคราม เพื่อพวกเขาจะไปสู้รบกับคนมีเดียน และทำการแก้แค้นของพระยาห์เวห์ให้สำเร็จ
\v 4 อิสราเอลทั่วทุกเผ่าต้องส่งทหารหนึ่งพันคนไปทำสงคราม"
\v 5 ดังนั้น คนอิสราเอลนับพันๆ คนได้ถูกส่งออกไป ซึ่งได้จัดหนึ่งพันคนจากทุกๆ เผ่าเพื่อทำสงคราม รวมทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันคน
\s5
\p
\v 6 แล้วโมเสสได้ส่งพวกเขาไปทำสงคราม หนึ่งพันคนจากทุกๆ เผ่า พร้อมกับฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ปุโรหิต และพร้อมด้วยเครื่องใช้บางอย่างจากวิสุทธิสถานและแตรทั้งหลายที่อยู่ในการครอบครองของเขาเพื่อเป่าสัญญาณ
\v 7 พวกเขาได้สู้รบกับคนมีเดียน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสส
\v 8 พวกเขาได้ฆ่าผู้ชายทุกคน พวกเขาได้ฆ่าบรรดากษัตริย์ของคนมีเดียนพร้อมกับคนอื่นๆ ในพวกคนของพวกเขาที่ตาย คือเอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา ซึ่งเป็นกษัตริย์ทั้งห้าของคนมีเดียน พวกเขายังได้ฆ่าบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ด้วยดาบ
\s5
\p
\v 9 กองทัพของอิสราเอลได้นำพวกเชลยที่เป็นพวกผู้หญิงชาวมีเดียน เด็กๆ ของพวกเขา ฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาทั้งหมด ฝูงแพะแกะของพวกเขาทั้งหมด และสิ่งของของพวกเขาทั้งหมด พวกเขานำของพวกนี้มาเป็นของที่ริบได้
\v 10 พวกเขาเผาเมืองทั้งสิ้นของคนเหล่านั้นที่พวกเขาอาศัยอยู่ และบรรดาค่ายของคนเหล่านั้นทั้งหมด
\v 11 พวกเขานำของที่ริบได้และพวกเชลยทั้งหมดมา ทั้งคนและสัตว์
\v 12 พวกเขานำพวกเชลย ของที่ริบได้ และสิ่งของที่ยึดมาได้ให้แก่โมเสส แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต และแก่ชุมชนของคนอิสราเอล พวกเขานำสิ่งเหล่านี้มายังค่ายในที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดน ใกล้กับเมืองเยรีโค
\s5
\p
\v 13 โมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิตและบรรดาผู้นำของชุมชนทั้งหมดได้ไปหาพวกเขาที่นอกค่าย
\v 14 แต่โมเสสก็โกรธพวกนายทหารของกองทัพมาก คือพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อยที่มาจากการสู้รบ
\v 15 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านปล่อยให้ผู้หญิงทั้งหมดมีชีวิตอยู่หรือ?
\v 16 ดูสิ ผู้หญิงเหล่านี้ที่ทำให้คนอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ตามคำแนะนำของบาลาอัมในเรื่องของเปโอร์ ตอนที่ภัยพิบัติได้แพร่กระจายไปท่ามกลางชุมชนของพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 17 บัดนี้ จงฆ่าผู้ชายทุกคนที่เป็นพวกเด็กเล็กๆ และฆ่าผู้หญิงทุกคนที่เคยหลับนอนกับผู้ชาย
\v 18 แต่จงรับหญิงสาวที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายไว้สำหรับพวกท่านเอง
\v 19 พวกท่านต้องตั้งค่ายข้างนอกค่ายของอิสราเอลเป็นเวลาเจ็ดวัน พวกท่านทุกคนที่ได้ฆ่าคนและได้แตะต้องศพ พวกท่านต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและวันที่เจ็ด ทั้งท่านและพวกเชลยของท่าน
\v 20 พวกท่านต้องชำระเสื้อผ้าทุกชิ้นให้บริสุทธิ์และทุกสิ่งที่ทำมาจากหนังสัตว์และขนแพะ และทุกสิ่งที่ทำด้วยไม้"
\s5
\p
\v 21 เอเลอาซาร์ปุโรหิตได้พูดกับพวกทหารที่ได้ไปทำสงครามว่า "นี่เป็นกฎบัญญัติที่พระยาห์เวห์ทรงให้แก่โมเสส
\v 22 คือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ ดีบุกและตะกั่ว
\v 23 และทุกสิ่งที่ทนไฟได้ พวกท่านต้องนำไปผ่านไฟและมันก็จะสะอาด แล้วพวกท่านก็ต้องชำระสิ่งเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ด้วยน้ำแห่งการชำระนั้น อะไรก็ตามที่ไม่สามารถทนไฟได้ พวกท่านต้องล้างชำระในน้ำ
\v 24 พวกท่านต้องซักเสื้อผ้าในวันที่เจ็ด แล้วพวกท่านก็จะสะอาด หลังจากนั้น พวกท่านก็จะเข้ามาในค่ายของอิสราเอลได้"
\s5
\p
\v 25 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 26 "จงนับสิ่งที่เป็นของที่ริบได้ทั้งหมดที่เอามา ทั้งคนและสัตว์ เจ้า เอเลอาซาร์ปุโรหิต และพวกผู้นำตระกูลของบรรพบุรุษของชุมชน
\v 27 ต้องแบ่งของที่ริบมาได้เป็นสองส่วน จงแบ่งระหว่างพวกทหารที่ออกไปสู้รบกับพวกคนที่เหลือของชุมชนนั้น
\v 28 แล้วจงเรียกเก็บส่วนหนึ่งถวายให้กับเราจากพวกทหารที่ออกไปสู้รบ ส่วนที่เรียกเก็บนี้ต้องเป็นหนึ่งส่วนในห้าร้อยส่วน ไม่ว่าจะเป็นพวกคน ฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงลา ฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
\s5
\p
\v 29 จงนำส่วนที่เรียกเก็บนี้จากส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของพวกเขา และมอบให้กับเอเลอาซาร์ปุโรหิตเพื่อเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อเรา
\v 30 และส่วนอีกครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล พวกเจ้าต้องเอาหนึ่งส่วนออกจากห้าสิบส่วน จากพวกคน ฝูงลา ฝูงแกะ และฝูงแพะ จงให้สิ่งเหล่านี้กับพวกเลวีที่ดูแลพลับพลาของเรา"
\v 31 ดังนั้น โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็ได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
\s5
\p
\v 32 ในขณะนี้ ของที่ริบได้ที่ยังคงเหลืออยู่ที่พวกทหารได้เอามา คือฝูงแกะ 675,000 ตัว
\v 33 ฝูงโคเจ็ดหมื่นสองพันตัว
\v 34 ฝูงลาหกหมื่นหนึ่งพันตัว
\v 35 และพวกผู้หญิงที่ไม่เคยหลับนอนกับชายใดสามหมื่นสองพันคน
\v 36 ส่วนครึ่งหนึ่งที่เก็บไว้ให้กับพวกทหารนับจำนวนได้เป็นฝูงแกะจำนวน 337,000 ตัว
\s5
\p
\v 37 ฝูงแกะที่เป็นส่วนของพระยาห์เวห์ 675 ตัว
\v 38 ฝูงโคสามหมื่นหกพันตัว ส่วนที่เรียกเก็บที่เป็นของพระยาห์เวห์เจ็ดสิบสองตัว
\v 39 ฝูงลา 30,500 ตัว ส่วนที่เรียกเก็บของพระยาห์เวห์หกสิบเอ็ดตัว
\v 40 คนจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันคนที่เป็นพวกผู้หญิงที่เป็นส่วนที่เรียกเก็บของพระยาห์เวห์สามสิบสองคน
\v 41 โมเสสได้เอาส่วนที่เรียกเก็บเหล่านี้เป็นเครื่องบูชามอบถวายแด่พระยาห์เวห์ เขาได้มอบให้กับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 42 ส่วนครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล ที่โมเสสได้รับจากพวกทหารที่ออกไปสู้รบ
\v 43 คือส่วนครึ่งหนึ่งของชุมชนคือ ฝูงแกะ 337,500 ตัว
\v 44 ฝูงโคสามหมื่นหกพันตัว
\v 45 ฝูงลา 30,500 ตัว
\v 46 และพวกผู้หญิงจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันคน
\s5
\p
\v 47 โมเสสได้รับหนึ่งส่วนจากทุกห้าสิบส่วน จากส่วนครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล ทั้งคนและสัตว์ เขาได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเลวีที่ดูแลพลับพลาของพระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขาให้ทำ
\v 48 แล้วพวกนายทหารของกองทัพ คือพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อยก็ได้มาหาโมเสส
\v 49 คนเหล่านั้นได้พูดกับเขาว่า "ผู้รับใช้ทั้งหลายของท่านได้นับจำนวนทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเราแล้ว ไม่มีใครหายไปสักคนเดียว
\v 50 เราได้นำเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์ที่แต่ละคนได้พบมา ของใช้ที่เป็นทองคำ คือกำไลแขน และกำไลมือ แหวนตรา ต่างหูและสร้อยคอเพื่อทำการลบมลทินบาปสำหรับพวกเราต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์"
\s5
\p
\v 51 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็รับทองคำและของใช้ทั้งหมดที่เป็นงานฝีมือจากพวกเขา
\v 52 ทองคำทั้งหมดที่เป็นเครื่องบูชาที่พวกเขานำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ เป็นเครื่องบูชาจากพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อย มีน้ำหนักรวม 16,750 เชเขล
\v 53 ทหารแต่ละคนก็เอาของที่ริบมาได้ของแต่ละคนไว้สำหรับตัวเอง
\v 54 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้รับทองคำจากพวกผู้บัญชาการกองพัน และพวกผู้บังคับการกองร้อย พวกเขาเอาของเหล่านั้นเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจของคนอิสราเอลแด่พระยาห์เวห์
\s5
\c 32
\p
\v 1 ในขณะนั้น พงศ์พันธุ์รูเบนและกาดมีฝูงปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก เมื่อพวกเขาเห็นแผ่นดินยาเซอร์และกิเลอาดที่เป็นแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมสำหรับฝูงปศุสัตว์
\v 2 ด้วยเหตุนี้ พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนจึงมาหาและพูดกับโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาผู้นำชุมชน พวกเขาได้กล่าวว่า
\v 3 "นี่เป็นรายชื่อสถานที่ต่างๆ ที่พวกเราสำรวจมา คือ อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน
\v 4 เหล่านี้คือแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ทรงตีได้ต่อหน้าชุมชนอิสราเอล และแผ่นดินเหล่านี้เป็นสถานที่ดีสำหรับฝูงปศุสัตว์ พวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่านมีฝูงปศุสัตว์จำนวนมาก"
\v 5 พวกเขากล่าวว่า "ถ้าหากพวกเราเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้ให้กับพวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่านเป็นกรรมสิทธิ์เถิด อย่าให้พวกเราต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย"
\s5
\p
\v 6 โมเสสได้ตอบพงศ์พันธุ์กาดและรูเบนว่า "ควรจะให้พี่น้องของพวกท่านไปทำสงคราม ในขณะที่พวกท่านตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่หรือ?
\v 7 ทำไมจึงทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อถอยจากการข้ามไปยังแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบให้กับพวกเขา?
\v 8 บรรพบุรุษของพวกท่านก็ได้ทำสิ่งเดียวกันนี้ ตอนที่ข้าพเจ้าส่งพวกเขาไปจากคาเดชบารเนียเพื่อตรวจดูแผ่นดินนั้น
\s5
\p
\v 9 พวกเขาไปที่หุบเขาเอชโคล พวกเขาได้เห็นแผ่นดินนั้น แล้วก็ทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อถอย ดังนั้น พวกเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะเข้าไปยังแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้กับพวกเขา
\v 10 ความกริ้วของพระยาห์เวห์ก็ได้พลุ่งขึ้นในวันนั้น พระองค์ทรงปฏิญาณว่า
\v 11 'แน่ทีเดียวว่าจะไม่มีใครสักคนที่ออกมาจากอียิปต์ ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปจะเห็นแผ่นดินที่เราได้สาบานกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะพวกเขาไม่ได้ติดตามเราอย่างสุดใจ ยกเว้น
\v 12 คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์คนเคไนซ์ และโยชูวาบุตรชายของนูน คาเลบกับโยชูวาเท่านั้นที่ได้ติดตามเราอย่างสุดใจ'
\s5
\p
\v 13 เพราะเหตุนี้ ความกริ้วของพระยาห์เวห์จึงได้พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขารอนแรมไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี จนกระทั่งบรรดาชนรุ่นที่ทำชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์ได้ถูกทำลายไปหมดสิ้น
\v 14 ดูสิ พวกท่านได้เติบโตมาแทนที่บรรพบุรุษของพวกท่าน ซึ่งเหมือนกับคนที่ทำบาปมากขึ้น ที่เพิ่มความกริ้วของพระยาห์เวห์ให้ลุกโชนมากขึ้นต่อคนอิสราเอล
\v 15 ถ้าพวกท่านหันกลับจากการติดตามพระองค์ พระองค์ก็จะทรงทอดทิ้งคนอิสราเอลไว้ในถิ่นทุรกันดารอีก และพวกท่านก็จะทำลายชนชาตินี้จนหมดสิ้น"
\s5
\p
\v 16 ดังนั้น พวกเขาจึงเข้ามาใกล้โมเสส และกล่าวว่า "ขออนุญาตให้เราได้สร้างคอกสำหรับฝูงปศุสัตว์ของเราที่นี่ และสร้างเมืองต่างๆ สำหรับบรรดาครอบครัวของพวกเรา
\v 17 แต่อย่างไรก็ตาม ตัวพวกเราเองจะพร้อมและถืออาวุธไปกับกองทัพของอิสราเอล จนกว่าพวกเราจะนำพวกเขาไปยังที่ของพวกเขา แต่ครอบครัวของพวกเราจะอาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ เพราะยังมีชนชาติอื่นที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้
\v 18 พวกเราจะไม่กลับมาที่บ้านของพวกเรา จนกว่าคนอิสราเอลทุกคนจะได้รับมอบมรดกของเขาแล้ว
\v 19 พวกเราจะไม่รับมรดกในแผ่นดินนั้นร่วมกับพวกเขาที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เพราะมรดกของเราอยู่ที่นี่บนฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน"
\s5
\p
\v 20 ดังนั้น โมเสสจึงตอบพวกเขาว่า "ถ้าพวกท่านทำอย่างที่พวกท่านพูด ถ้าพวกท่านเองถืออาวุธที่จะไปทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 21 แล้วพวกท่านทุกคนที่ถืออาวุธต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูของพระองค์ออกไปจากพระพักตร์พระองค์
\v 22 และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วภายหลังพวกท่านก็จะกลับมาได้ พวกท่านจะไม่รู้สึกผิดต่อพระยาห์เวห์และต่อคนอิสราเอล แผ่นดินนี้ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่านต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 23 แต่ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น ดูเถิด พวกท่านก็จะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ จงแน่ใจเถิดว่าบาปของพวกท่านจะตามทันพวกท่าน
\v 24 จงสร้างเมืองต่าง ๆ สำหรับครอบครัวของท่านและทำคอกต่าง ๆ ให้ฝูงแกะของพวกท่าน แล้วทำสิ่งที่พวกท่านได้พูดไว้"
\s5
\p
\v 25 พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนได้พูดกับโมเสสว่า "บรรดาผู้รับใช้ของท่านจะทำตามคำสั่งท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเรา
\v 26 ลูกเล็ก ๆ ของพวกเรา บรรดาภรรยาของพวกเรา ฝูงแพะแกะของพวกเรา และฝูงปศุสัตว์ของพวกเราจะอยู่ที่นั่นในเมืองต่าง ๆ ของกิเลอาด
\v 27 แต่เราทั้งหลายที่เป็นเหล่าผู้รับใช้ของท่าน ทุกคนที่ถืออาวุธเพื่อทำสงครามจะข้ามไปเพื่อทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่ท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเราพูด"
\s5
\p
\v 28 ดังนั้น โมเสสจึงให้คำสั่งเกี่ยวกับพวกเขาแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน และต่อพวกผู้นำตระกูลของบรรพบุรุษในเผ่าต่าง ๆ ของอิสราเอล
\v 29 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "ถ้าพงศ์พันธุ์กาดและรูเบนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับพวกท่าน ผู้ชายทุกคนที่ถืออาวุธไปทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และถ้าแผ่นดินนั้นพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะมอบแผ่นดินกิเลอาดให้แก่พวกเขาเป็นกรรมสิทธิ์
\v 30 แต่ถ้าพวกเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปกับพวกท่าน แล้วพวกเขาก็จะได้รับกรรมสิทธิ์ของพวกเขาท่ามกลางพวกท่านในแผ่นดินคานาอัน"
\s5
\p
\v 31 ดังนั้น พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนจึงได้ตอบว่า "ตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่าน นี่คือสิ่งที่พวกเราจะทำ
\v 32 พวกเราจะถืออาวุธข้ามไปในแผ่นดินคานาอันต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่มรดกที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราจะยังคงอยู่กับเราที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้"
\v 33 ดังนั้น โมเสสจึงได้มอบอาณาจักรของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชานให้กับพงศ์พันธุ์กาดและรูเบน และมนัสเสห์อีกครึ่งเผ่า เขาได้มอบแผ่นดินนั้นให้กับพวกเขาและได้แบ่งเมืองทั้งหมดให้กับพวกเขาพร้อมกับบริเวณรอบนอกของเมืองเหล่านั้นด้วย คือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่รอบแผ่นดินนั้น
\s5
\p
\v 34 พงศ์พันธุ์กาดได้สร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นใหม่ คือดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์
\v 35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์
\v 36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมด้วยคอกสำหรับฝูงแกะ
\v 37 พงศ์พันธุ์รูเบนได้สร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นใหม่ คือ เฮชโบน เอเลอาเลห์ คิริยาธาอิม
\v 38 เนโบ บาอัลเมโอน ภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเหล่านี้ และสิบมาห์ พวกเขาได้ตั้งชื่ออื่น ๆ ให้กับบรรดาเมืองที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่
\s5
\p
\v 39 พงศ์พันธุ์มาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์ได้ไปที่กิเลอาดและยึดเมืองนั้นจากคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
\v 40 แล้วโมเสสก็ได้มอบเมืองกิเลอาดให้กับมาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์และประชาชนของเขาก็ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น
\v 41 ยาอีร์บุตรชายของมนัสเสห์ไปและยึดหัวเมืองต่างๆ ของเมืองนั้นและเรียกหัวเมืองเหล่านั้นว่าฮาวโวทยาอีร์
\v 42 โนบาห์ไปและยึดเมืองเคนาทและหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และเขาได้เรียกเมืองนั้นว่าโนบาห์ตามชื่อของเขาเอง
\s5
\c 33
\p
\v 1 ต่อไปนี้เป็นการเคลื่อนพลของคนอิสราเอล หลังจากที่พวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยกลุ่มคนถืออาวุธของพวกเขาที่อยู่ภายใต้การนำของโมเสสและอาโรน
\v 2 โมเสสบันทึกชื่อสถานที่ต่างๆ ไว้ จากที่ซึ่งพวกเขาจากไปถึงที่ซึ่งพวกเขาไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา ต่อไปนี้เป็นการเคลื่อนพลของพวกเขาที่ออกเดินทางเป็นระยะๆ
\v 3 พวกเขาเดินทางออกจากราเมเสสในระหว่างเดือนที่หนึ่ง ออกไปในวันที่สิบห้าของเดือนที่หนึ่ง ในตอนเช้าหลังจากวันปัสกา คนอิสราเอลก็ออกไปอย่างเปิดเผยในสายตาของชาวอียิปต์ทุกคน
\v 4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ชาวอียิปต์กำลังฝังบุตรหัวปีทั้งหมดของพวกเขา คนเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์ทรงประหารท่ามกลางพวกเขา เพราะพระองค์ทรงลงโทษบรรดาพระของพวกเขาด้วย
\s5
\p
\v 5 คนอิสราเอลออกเดินทางจากราเมเสสและตั้งค่ายที่สุคคท
\v 6 พวกเขาออกเดินทางจากสุคคทและตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ชายแดนถิ่นทุรกันดาร
\v 7 พวกเขาออกเดินทางจากเอธามและหันกลับไปยังปิหะหิโรท ที่อยู่ตรงข้ามบาอัลเซโฟน ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามมิกดล
\v 8 แล้วพวกเขาออกเดินทางจากที่อยู่ตรงข้ามปิหะหิโรท และฝ่าเข้าไปกลางทะเลนั้นเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเดินทางเป็นเวลาสามวันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเอธามและตั้งค่ายที่มาราห์
\s5
\p
\v 9 พวกเขาออกเดินทางจากมาราห์และมาถึงที่เอลิม ที่เอลิมมีน้ำพุสิบสองแห่ง และมีต้นปาล์มเจ็ดสิบต้น นั่นเป็นที่พวกเขาตั้งค่าย
\v 10 พวกเขาออกเดินทางจากเอลิม และตั้งค่ายใกล้ทะเลแดง
\v 11 พวกเขาออกเดินทางจากทะเลแดงและตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารศิน
\v 12 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารศินและตั้งค่ายที่โดฟคาห์
\v 13 พวกเขาออกเดินทางจากโดฟคาห์และตั้งค่ายที่อาลูช
\s5
\p
\v 14 พวกเขาออกเดินทางจากอาลูชและตั้งค่ายที่เรฟีดิม ซึ่งเป็นที่ไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม
\v 15 พวกเขาออกเดินทางจากเรฟีดิมและตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย
\v 16 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนายและตั้งค่ายที่ขิบโรทหัททาอาวาห์
\v 17 พวกเขาออกเดินทางจากขิบโรทหัททาอาวาห์และตั้งค่ายที่ฮาเซโรท
\v 18 พวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรทและตั้งค่ายที่ริทมาห์
\s5
\p
\v 19 พวกเขาออกเดินทางจากริทมาห์และตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ
\v 20 พวกเขาออกเดินทางจากริมโมนเปเรศและตั้งค่ายที่ลิบนาห์
\v 21 พวกเขาออกเดินทางจากลิบนาห์และตั้งค่ายที่ริสสาห์
\v 22 พวกเขาออกเดินทางจากริสสาห์และตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์
\v 23 พวกเขาออกเดินทางจากเคเฮลาธาห์และตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์
\s5
\p
\v 24 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาเชเฟอร์และตั้งค่ายที่ฮาราดาห์
\v 25 พวกเขาออกเดินทางจากฮาราดาห์และตั้งค่ายที่มักเฮโลท
\v 26 พวกเขาออกเดินทางจากมักเฮโลทและตั้งค่ายที่ทาหัท
\v 27 พวกเขาออกเดินทางจากทาหัทและตั้งค่ายที่เทราห์
\v 28 พวกเขาออกเดินทางจากเทราห์และตั้งค่ายที่มิทคาห์
\s5
\p
\v 29 พวกเขาออกเดินทางจากมิทคาห์และตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์
\v 30 พวกเขาออกเดินทางจากฮัชโมนาห์และตั้งค่ายที่โมเสโรท
\v 31 พวกเขาออกเดินทางจากโมเสโรทและตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน
\v 32 พวกเขาออกเดินทางจากเบเนยาอะคันและตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกิดกาด
\v 33 พวกเขาออกเดินทางจากโฮร์ฮักกิดกาดและตั้งค่ายที่โยทบาธาห์
\s5
\p
\v 34 พวกเขาออกเดินทางจากโยทบาธาห์และตั้งค่ายที่อับโรนาห์
\v 35 พวกเขาออกเดินทางจากอับโรนาห์และตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์
\v 36 พวกเขาออกเดินทางจากเอซีโอนเกเบอร์ และตั้งค่ายที่ถิ่นทุรกันดารศินที่คาเดช
\v 37 พวกเขาออกเดินทางจากคาเดชและตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ที่ชายแดนแผ่นดินเอโดม
\s5
\p
\v 38 อาโรนปุโรหิตขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และสิ้นชีวิตที่นั่น ในปีที่สี่สิบหลังจากที่คนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ในเดือนที่ห้า ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น
\v 39 อาโรนมีอายุได้ 123 ปี เมื่อเขาสิ้นชีวิตบนภูเขาโฮร์
\v 40 กษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอัน ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของถิ่นทุรกันดารในแผ่นดินคานาอัน ได้ยินข่าวถึงการมาของคนอิสราเอล
\s5
\p
\v 41 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาโฮร์และตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์
\v 42 พวกเขาออกเดินทางจากศัลโมนาห์และตั้งค่ายที่ปูโนน
\v 43 พวกเขาออกเดินทางจากปูโนนและตั้งค่ายที่โอโบท
\v 44 พวกเขาออกเดินทางจากโอโบทและตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมซึ่งอยู่ที่เขตแดนของโมอับ
\v 45 พวกเขาออกเดินทางจากอิเยอาบาริมและตั้งค่ายที่ดีโบนกาด
\s5
\p
\v 46 พวกเขาออกเดินทางจากดีโบนกาดและตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม
\v 47 พวกเขาออกเดินทางจากอัลโมนดิบลาธาอิมและตั้งค่ายในภูเขาอาบาริม ที่อยู่ตรงข้ามกับเนโบ
\v 48 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาอาบาริมและตั้งค่ายในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค
\v 49 พวกเขาตั้งค่ายใกล้แม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทไปถึงอาเบลชิททิมในที่ราบโมอับ
\s5
\p
\v 50 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และตรัสว่า
\v 51 "จงพูดกับคนอิสราเอล และจงบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอันแล้ว
\v 52 แล้วพวกเจ้าต้องขับไล่คนที่อาศัยอยู่ทั้งหมดออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าต้องทำลายรูปแกะสลักของพวกเขาทั้งหมด พวกเจ้าต้องทำลายรูปหล่อของพวกเขาทั้งหมด และทำลายสถานสูงของพวกเขาทั้งหมด
\v 53 พวกเจ้าต้องยึดแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินนั้น เพราะเราได้มอบแผ่นดินนั้นให้พวกเจ้าครอบครองแล้ว
\s5
\p
\v 54 พวกเจ้าต้องมอบแผ่นดินนั้นเป็นมรดกโดยการจับฉลาก ตามแต่ละตระกูล พวกเจ้าต้องมอบส่วนแบ่งที่ดินที่ใหญ่กว่าให้กับตระกูลที่ใหญ่กว่า และมอบส่วนของที่ดินที่เล็กกว่าให้กับตระกูลที่เล็กกว่า ที่ดินไหนก็ตามที่ฉลากตกแต่ละตระกูล ที่ดินนั้นจะเป็นของตระกูลนั้น พวกเจ้าต้องมอบแผ่นดินนั้นให้เป็นมรดกตามเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเจ้า
\v 55 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า แล้วชนชาติที่พวกเจ้าปล่อยให้อาศัยอยู่ ก็จะกลายเป็นเหมือนผงที่อยู่ในตาของพวกเจ้า และเป็นเหมือนหนามในสีข้างของเจ้า พวกเขาจะทำให้ชีวิตของพวกเจ้ายากลำบากในแผ่นดินที่พวกเจ้าตั้งถิ่นฐานอยู่
\v 56 แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือเมื่อเราตั้งใจว่าจะทำอะไรกับชนชาติเหล่านั้น เราก็จะทำกับพวกเจ้าด้วย'"
\s5
\c 34
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 "จงสั่งคนอิสราเอลและจงกล่าวกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่จะเป็นของพวกเจ้า แผ่นดินคานาอันและเขตแดนของแผ่นดินนั้น
\v 3 เขตแดนทางทิศใต้ของพวกเจ้าจะขยายออกไปจากถิ่นทุรกันดารศินไปตามเขตแดนของเอโดม สุดปลายทางทิศตะวันออกของเขตแดนด้านทิศใต้ที่จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่ไปสิ้นสุดที่สุดปลายทางทิศใต้ของทะเลเกลือ
\v 4 เขตแดนของพวกเจ้าจะเลี้ยวไปทางทิศใต้จากภูเขาอัครับบิมและข้ามผ่านเข้าไปในถิ่นทุรกันดารศิน จากที่นั่น ก็จะต่อเนื่องไปทางทิศใต้ของคาเดชบารเนีย และต่อเนื่องไปถึงฮาซาร์อัดดาร์และไกลไปถึงอัสโมน
\s5
\p
\v 5 จากที่นั่น เขตแดนนั้นจะเลี้ยวจากอัสโมนตรงไปยังลำธารของอียิปต์และตามลำธารนั้นไปถึงทะเล
\v 6 เขตแดนทางด้านทิศตะวันตกจะไปถึงชายฝั่งของทะเลใหญ่ นี่จะเป็นเขตแดนทางทิศตะวันตกของพวกเจ้า
\v 7 เขตแดนทางทิศเหนือของพวกเจ้าจะขยายออกไปตามเส้นแบ่งเขตแดนที่พวกเจ้าต้องทำเครื่องหมายจากทะเลใหญ่ไปถึงภูเขาโฮร์
\v 8 แล้วจากภูเขาโฮร์ไปถึงเลโบฮามัท แล้วเรื่อยไปถึงเศดัด
\v 9 แล้วเขตแดนนั้นจะต่อเนื่องไปถึงศิโฟรน และไปสิ้นสุดที่ฮาซาร์เอนัน นี่จะเป็นเขตแดนทางทิศเหนือของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 10 แล้วพวกเจ้าต้องทำเครื่องหมายเขตแดนทางทิศตะวันออกของพวกเจ้าจากฮาซาร์เอนันไปทางทิศใต้ถึงเชฟาม
\v 11 แล้วเขตแดนทางทิศตะวันออกจะลงไปจากเชฟามไปถึงริบลาห์ทางทิศตะวันออกของอายิน เขตแดนนั้นจะยาวต่อเนื่องไปตามทางทิศตะวันออกของทะเลคินเนเรท
\v 12 แล้วเขตแดนก็จะยาวต่อเนื่องไปทางทิศใต้ไปตามแม่น้ำจอร์แดนไปถึงทะเลเกลือ และต่อเนื่องลงไปทางเขตแดนด้านทิศตะวันออกของทะเลเกลือ นี่จะเป็นแผ่นดินของพวกเจ้าตามเขตแดนโดยรอบทั้งหมด'"
\s5
\p
\v 13 แล้วโมเสสสั่งคนอิสราเอลว่า "นี่เป็นแผ่นดินที่พวกท่านจะได้รับโดยการจับฉลาก ที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาที่จะมอบให้แก่เก้าเผ่าและอีกครึ่งเผ่า
\v 14 เผ่าของพงศ์พันธุ์รูเบน ตามที่ได้มอบที่ดินให้แก่เผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา และเผ่าของพงศ์พันธุ์กาด ตามที่ได้มอบที่ดินให้แก่เผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ได้รับที่ดินของพวกเขาทั้งหมดแล้ว
\v 15 ส่วนสองเผ่าครึ่งได้มอบส่วนแบ่งที่ดินของพวกเขาที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค ตรงทางดวงอาทิตย์ขึ้น"
\s5
\p
\v 16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 17 "เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนทั้งหลายที่จะแบ่งที่ดินให้เป็นมรดกของพวกเจ้า คือเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน
\v 18 พวกเจ้าต้องเลือกผู้นำหนึ่งคนจากทุกๆ เผ่าเพื่อแบ่งที่ดินสำหรับตระกูลของพวกเขา
\v 19 เหล่านี้คือรายชื่อของคนเหล่านั้น คือคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ จากเผ่ายูดาห์
\s5
\p
\v 20 เชมูเอลบุตรชายของอัมมีฮูด จากเผ่าของพงศ์พันธุ์สิเมโอน
\v 21 เอลีดาดบุตรชายของคิสโลน จากเผ่าเบนยามิน
\v 22 บุคคีบุตรชายของโยกลี ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์ดาน
\v 23 จากเผ่าของพงศ์พันธุ์โยเซฟ ฮันนีเอลบุตรชายของเอโฟด ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์
\v 24 เคมูเอลบุตรชายของชิฟทาน ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม
\s5
\p
\v 25 เอลีซาฟานบุตรชายของปารนาค ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์เศบูลุน
\v 26 ปัลทีเอลบุตรชายของอัสซาน ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์อิสสาคาร์
\v 27 อาหิฮูดบุตรชายของเชโลมี ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์อาเชอร์
\v 28 เปดาเฮลบุตรชายของอัมมีฮูด ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี"
\v 29 พระยาห์เวห์ทรงบัญชาคนเหล่านี้ให้แบ่งแผ่นดินของคานาอันและมอบส่วนแบ่งของพวกเขาให้แก่แต่ละเผ่าของอิสราเอล
\s5
\c 35
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับ ใกล้กับแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และตรัสว่า
\v 2 "จงสั่งให้คนอิสราเอลมอบส่วนแบ่งที่ดินของพวกเขาให้กับคนเลวีบ้าง พวกเขาต้องมอบเมืองต่างๆ ให้กับคนเลวีเพื่ออาศัยอยู่และทุ่งหญ้ารอบๆ เมืองเหล่านั้นด้วย
\v 3 คนเลวีจะมีเมืองเหล่านี้เพื่ออาศัยอยู่ ทุ่งหญ้าก็จะเป็นที่สำหรับฝูงโค ฝูงสัตว์ และสัตว์ทั้งหมดของพวกเขา
\s5
\p
\v 4 ทุ่งหญ้าที่อยู่รอบเมืองเหล่านั้นที่พวกเจ้าจะมอบให้กับคนเลวีต้องเป็นส่วนที่ต่อออกไปจากกำแพงเมืองนั้นหนึ่งพันศอกในทุกทิศทาง
\v 5 พวกเจ้าต้องวัดจากนอกเมืองนั้นไปทางด้านทิศตะวันออกสองพันศอก และด้านทิศใต้สองพันศอก และด้านทิศตะวันตกสองพันศอก และด้านทิศเหนือสองพันศอก นี่จะเป็นบรรดาทุ่งหญ้าสำหรับเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เมืองเหล่านั้นจะอยู่ตรงกลาง
\s5
\p
\v 6 เมืองต่าง ๆ ที่พวกเจ้าจะมอบให้กับคนเลวีต้องทำให้เป็นเมืองลี้ภัยหกเมือง พวกเจ้าต้องจัดให้เมืองเหล่านี้เป็นสถานที่สำหรับให้คนที่ได้ฆ่าคนหลบหนีไปที่นั่นได้ ยิ่งกว่านั้น ต้องจัดให้มีเมืองอื่น ๆ อีกสี่สิบสองเมืองด้วย
\v 7 เมืองต่าง ๆ ที่พวกเจ้ามอบให้กับคนเลวีจะรวมทั้งหมดเป็นสี่สิบแปดเมือง พวกเจ้าต้องมอบทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านั้นพร้อมกับเมืองเหล่านั้น
\v 8 บรรดาเผ่าของคนอิสราเอลที่ใหญ่กว่า บรรดาเผ่าที่มีที่ดินมากกว่าต้องให้เมืองจำนวนมากกว่า บรรดาเผ่าที่เล็กกว่าก็ให้เมืองจำนวนน้อยกว่า แต่ละเผ่าจะให้เมืองสำหรับคนเลวีตามส่วนแบ่งที่เผ่านั้นได้รับ"
\s5
\p
\v 9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ทรง ตรัสว่า
\v 10 "จงพูดกับคนอิสราเอล และจงบอกกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
\v 11 จากนั้น พวกเจ้าต้องเลือกเมืองต่าง ๆ ให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับพวกเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้หลบหนี
\v 12 เมืองเหล่านี้ต้องเป็นที่ลี้ภัยของพวกเจ้าจากผู้แก้แค้น เพื่อที่คนที่ถูกกล่าวหาจะไม่ถูกฆ่าโดยไม่ได้ยืนต่อหน้าชุมชนเพื่อพิจารณาคดีก่อน
\s5
\p
\v 13 พวกเจ้าต้องเลือกเมืองหกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัย
\v 14 พวกเจ้าต้องจัดให้มีสามเมืองที่ฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน เมืองเหล่านี้จะเป็นเมืองลี้ภัย
\v 15 สำหรับคนอิสราเอล สำหรับคนต่างชาติ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เมืองหกเมืองนี้จะเป็นที่ลี้ภัยสำหรับให้คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้หลบหนีไปที่นั่น
\s5
\p
\v 16 แต่ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยเครื่องมือเหล็ก และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน
\v 17 ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ทุบผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยก้อนหินที่อยู่ในมือของเขา ซึ่งสามารถฆ่าผู้ถูกทำร้ายได้ และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน
\v 18 ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยอาวุธที่เป็นไม้ ที่สามารถฆ่าคนถูกทำร้ายได้ และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน
\s5
\p
\v 19 ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารฆาตกรคนนั้นได้ เมื่อเขาพบคนนั้น ผู้แก้แค้นแทนโลหิตต้องประหารชีวิตคนนั้น
\v 20 ถ้าเขาได้ตีคนอื่นด้วยความเกลียดชัง หรือขว้างสิ่งใดไปที่เขา ขณะที่ซ่อนตัวเพื่อซุ่มรอเขาอยู่ เพื่อทำให้ผู้ที่ถูกทำร้ายตาย
\v 21 หรือถ้าเขาชกคนนั้นล้มลงด้วยความเกลียดชังด้วยมือของเขาเพื่อให้ผู้ที่ถูกทำร้ายตาย แล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาผู้ที่ได้ชกเขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน เขาเป็นฆาตกร ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารชีวิตเขาได้ เมื่อเขาพบคนนั้น
\s5
\p
\v 22 แต่ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีคนที่ถูกทำร้ายโดยบังเอิญโดยไม่ได้มีการไตร่ตรองด้วยความเกลียดชังมาก่อน หรือขว้างสิ่งใดไปโดนผู้ที่ถูกทำร้ายโดยที่ไม่ได้ดักซุ่มรออยู่
\v 23 หรือถ้าเขาขว้างก้อนหินที่สามารถฆ่าคนที่ถูกทำร้ายได้โดยมองไม่เห็นคนที่ถูกทำร้ายคนนั้น แล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของคนที่ถูกทำร้าย เขาไม่ได้พยายามที่จะทำร้ายคนที่ถูกทำร้ายคนนั้น แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาทำ ถ้าคนที่ถูกทำร้ายตายโดยวิธีใดก็ตาม
\v 24 ในกรณีนั้น ชุมชนต้องพิจารณาระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับผู้แก้แค้นแทนโลหิตตามหลักของกฎหมายเหล่านี้
\s5
\p
\v 25 ชุมชนต้องช่วยชีวิตผู้ที่ถูกกล่าวหาให้พ้นจากอำนาจของผู้แก้แค้นแทนโลหิต ชุมชนต้องให้ผู้กล่าวหากลับไปที่เมืองลี้ภัยที่เขาได้หลบหนีไปแต่แรก เขาต้องอาศัยอยู่ที่นั่น จนกว่ามหาปุโรหิตที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ในสมัยนั้นได้สิ้นชีวิต
\v 26 แต่ถ้าเมื่อใดที่คนที่ถูกกล่าวหาได้ออกไปจากเมืองลี้ภัยที่เขาได้หลบหนีไปอยู่
\v 27 และถ้าผู้แก้แค้นแทนโลหิตพบเขานอกเขตแดนเมืองลี้ภัยของเขา และถ้าเขาฆ่าคนที่ถูกกล่าวหานั้น ผู้แก้แค้นแทนโลหิตคนนั้นจะไม่มีความผิดฐานเป็นฆาตกร
\s5
\p
\v 28 นี่เป็นเพราะคนที่ถูกกล่าวหาควรจะยังคงอยู่ในเมืองลี้ภัยของเขา จนกว่ามหาปุโรหิตจะสิ้นชีวิต หลังจากที่มหาปุโรหิตสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจะกลับมายังดินแดนที่เขามีที่ดินของเขาเองได้
\v 29 กฎหมายเหล่านี้ต้องเป็นกฎข้อบังคับสำหรับพวกเจ้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า ในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่
\v 30 ใครก็ตามที่ฆ่าคน ฆาตกรคนนั้นต้องถูกฆ่า จากถ้อยคำของเหล่าพยานที่ได้เป็นพยาน แต่ถ้อยคำของพยานเพียงคนเดียวจะไม่ทำให้คนใดถูกประหารชีวิตได้
\s5
\p
\v 31 ยิ่งกว่านั้น พวกเจ้าต้องไม่รับค่าไถ่ชีวิตของฆาตกรที่มีความผิดในการฆาตกรรม เขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน
\v 32 พวกเจ้าต้องไม่รับค่าไถ่ตัวของคนที่หนีไปยังเมืองลี้ภัย ในการทำเช่นนี้ พวกเจ้าต้องไม่อนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ในที่ดินของเขาเองจนกว่ามหาปุโรหิตจะสิ้นชีวิต
\v 33 อย่าทำให้แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่เป็นมลทินด้วยการทำเช่นนี้ เพราะโลหิตจากการฆาตกรรมทำให้แผ่นดินนี้เป็นมลทิน ซึ่งไม่สามารถทำการลบล้างมลทินบาปสำหรับโลหิตที่ได้หลั่งออกบนแผ่นดินนี้ได้ ยกเว้นโลหิตของคนที่ทำให้โลหิตหลั่งออก
\v 34 ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าต้องไม่ทำให้แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่เป็นมลทิน เพราะเราอยู่ในแผ่นดินนี้ เรา พระยาห์เวห์อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล'"
\s5
\c 36
\p
\v 1 หลังจากนั้น พวกผู้นำของบรรดาครอบครัวของบรรพบุรุษของตระกูลกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ (ผู้ที่เป็นบุตรชายของมนัสเสห์) ผู้ที่มาจากพงศ์พันธุ์โยเซฟมาและพูดต่อหน้าโมเสสและต่อหน้าบรรดาผู้นำที่เป็นพวกหัวหน้าของบรรดาครอบครัวของบรรพบุรุษของคนอิสราเอล
\v 2 พวกเขากล่าวว่า "พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเรา ให้มอบส่วนแบ่งที่ดินแก่คนอิสราเอลโดยการจับฉลาก พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกท่านให้มอบส่วนแบ่งที่ดินของเศโลเฟหัดพี่น้องของเราให้แก่บรรดาบุตรหญิงของเขา
\v 3 แต่ถ้าบรรดาบุตรหญิงของเขาแต่งงานกับพวกผู้ชายในเผ่าอื่นของคนอิสราเอล แล้วส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะถูกโยกย้ายไปจากส่วนแบ่งที่ดินของบรรพบุรุษของเรา แล้วจะเพิ่มส่วนแบ่งนั้นให้กับบรรดาเผ่าที่พวกนางไปอยู่ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการโยกย้ายจากส่วนแบ่งมรดกของพวกเราที่ได้จัดแบ่งไว้
\s5
\p
\v 4 ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อปีอิสรภาพของคนอิสราเอลมาถึง แล้วส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะไปรวมกับส่วนแบ่งที่ดินที่พวกนางไปอยู่ด้วย ในวิธีการเช่นนี้ ส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะถูกเอาออกไปจากส่วนแบ่งที่ดินของเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเรา"
\v 5 เพราะฉะนั้น โมเสสจึงให้คำสั่งต่อคนอิสราเอล ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ เขากล่าวว่า "สิ่งที่เผ่าของพงศ์พันธุ์โยเซฟพูดเป็นการถูกต้องแล้ว
\v 6 นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเกี่ยวกับบรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัด พระองค์ตรัสว่า 'ให้พวกนางแต่งงานกับคนที่พวกนางคิดว่าดีที่สุด แต่พวกนางต้องแต่งงานได้เฉพาะคนภายในเผ่าของบรรพบุรุษของนางเท่านั้น'
\s5
\p
\v 7 ไม่มีส่วนแบ่งที่ดินใด ๆ ของคนอิสราเอลต้องเปลี่ยนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง คนอิสราเอลแต่ละคนต้องสืบทอดส่วนแบ่งที่ดินของเผ่าของบรรพบุรุษของเขาต่อไป
\v 8 ผู้หญิงทุกคนของคนอิสราเอลที่เป็นเจ้าของส่วนแบ่งที่ดินในเผ่าของนางต้องแต่งงานกับคนที่มาจากตระกูลของเผ่าของบรรพบุรุษของนาง ที่เป็นดังนี้เพื่อให้ทุกคนของคนอิสราเอลจะได้มรดกของตนเองจากบรรพบุรุษของเขา
\v 9 ไม่มีส่วนแบ่งที่ดินใดๆ ที่จะเปลี่ยนมือจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง ทุกคนของบรรดาเผ่าของอิสราเอลต้องรักษามรดกของเขาเอง"
\s5
\p
\v 10 ดังนั้น บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดจึงได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสส
\v 11 บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัด คือมาห์ลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ ต่างก็ได้แต่งงานกับคนในพงศ์พันธุ์มนัสเสห์
\v 12 พวกนางได้แต่งงานกับคนในตระกูลของพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟ ในวิธีการนี้ มรดกของพวกนางก็ยังคงอยู่ในเผ่าที่เป็นของตระกูลของบรรพบุรุษของพวกนาง
\v 13 เหล่านี้เป็นพระบัญญัติและกฎข้อบังคับที่พระยาห์เวห์ได้ประทานแก่คนอิสราเอลทางโมเสส ในที่ราบโมอับใกล้กับแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค