th_ulb/02-EXO.usfm

2203 lines
427 KiB
Plaintext
Raw Permalink Blame History

This file contains ambiguous Unicode characters

This file contains Unicode characters that might be confused with other characters. If you think that this is intentional, you can safely ignore this warning. Use the Escape button to reveal them.

\id EXO Unlocked Literal Bible
\ide UTF-8
\h EXODUS
\toc1 Exodus
\toc2 Exodus
\toc3 exo
\mt1 EXODUS
\s5
\c 1
\p
\v 1 เหล่านี้เป็นบัญชีรายชื่อบุตรชายของอิสราเอลที่เข้ามาอยู่ในอียิปต์กับยาโคบและครอบครัวของตน
\v 2 คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และยูดาห์
\v 3 อิสสาคาร์ เศบูลุน และเบนยามิน
\v 4 ดาน นัฟทาลี กาดและอาเชอร์
\v 5 คนทั้งหมดต่างเป็นเชื้อสายของยาโคบรวมเจ็ดสิบคนด้วยกัน เว้นโยเซฟนั้นอยู่ในอียิปต์แล้ว
\s5
\p
\v 6 หลังจากนั้นโยเซฟกับพี่ชายและน้องชาย ทั้งคนยุคทั้งหมดนั้นได้ถึงแก่ความตาย
\v 7 ฝ่ายชาวอิสราเอลก็ได้มีลูกดก เพิ่มจำนวนขึ้น และมีกำลังมากขึ้นจนทั่วดินแดนนั้น
\s5
\p
\v 8 บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เหนือประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงไม่รู้จักโยเซฟ
\v 9 พระองค์ตรัสกับประชาชนของพระองค์ว่า “ดูสิ คนอิสราเอลมีจำนวนมากและมีแข็งแรงกว่าพวกเราอีก
\v 10 มาเถิด ให้พวกเราหาอุบายอย่างชาญฉลาดจัดการพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเมื่อใดเกิดสงครามขึ้น พวกเขาจะสมทบกับพวกข้าศึกสู้รบกับพวกเรา และจะออกไปจากดินแดนนี้”
\s5
\p
\v 11 ดังนั้นคนอียิปต์จึงตั้งนายงานบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานหนัก ชาวอิสราเอลสร้างบรรดาเมืองท้องพระคลังสำหรับฟาโรห์คือ เมืองปิธมและเมืองราเมเสส
\v 12 แต่ยิ่งชาวอียิปต์บังคับพวกเขามากเท่าไร ชาวอิสราเอลก็ยิ่งเพิ่มจำนวน และยิ่งขยายออกไปอีกเท่านั้น เพราะฉะนั้นชาวอียิปต์จึงเริ่มหวั่นกลัวต่อชาวอิสราเอล
\s5
\p
\v 13 ชาวอียิปต์จึงบังคับพวกอิสราเอลให้ทำงานอย่างหนัก
\v 14 พวกเขาทำให้ชีวิตของคนอิสราเอลขมขื่นด้วยงานยากลำบากด้วยการทำปูนสอและอิฐ และทำงานทั้งหมดในนา งานที่พวกเขาถูกบังคับให้ทำล้วนหนักทั้งสิ้น
\s5
\p
\v 15 แล้วกษัตริย์อียิปต์ก็ทรงมีรับสั่งแก่พวกหมอตำแยชาวฮีบรูคนหนึ่งชื่อชิฟราห์ และอีกคนชื่อปูอาห์
\v 16 พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเจ้าไปทำคลอดให้หญิงฮีบรูและคอยสังเกตดูเมื่อเห็นพวกเขาคลอด ถ้าเป็นบุตรชายก็ให้ฆ่า แต่ถ้าเป็นบุตรสาวก็ให้เว้นชีวิตไว้”
\v 17 แต่พวกหมอตำแยเกรงกลัวพระเจ้า จึงไม่ได้ทำตามพระบัญชากษัตริย์อียิปต์ที่สั่งพวกนาง แต่พวกนางได้ปล่อยให้พวกเด็กทารกชายมีชีวิตรอด
\s5
\p
\v 18 กษัตริย์อียิปต์จึงมีรับสั่งให้พวกหมอตำแยเข้าเฝ้าและตรัสว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงปล่อยให้พวกเด็กทารกชายรอดชีวิตเช่นนั้น?”
\v 19 พวกหมอตำแยจึงทูลฟาโรห์ว่า “เพราะพวกหญิงฮีบรูไม่เหมือนพวกหญิงอียิปต์ พวกนางแข็งแรง จึงคลอดเสร็จก่อนที่หมอตำแยจะไปถึงพวกเขา”
\s5
\p
\v 20 พระเจ้าจึงได้ทรงปกป้องพวกหมอตำแยนั้น ประชาชนจึงยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นและมีกำลังเข้มแข็งมาก
\v 21 เพราะพวกหมอตำแยนั้นยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงประทานครอบครัวให้พวกนาง
\v 22 ฟาโรห์มีรับสั่งแก่ประชาชนของพระองค์ว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา พวกเจ้าจงเอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำ แต่บุตรสาวทุกคนให้มีชีวิตได้”
\s5
\c 2
\p
\v 1 บัดนี้ชายเผ่าเลวีคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงสาวเผ่าเลวีคนหนึ่ง
\v 2 หญิงนั้นตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าเขาเป็นเด็กสมบูรณ์ดี นางจึงซ่อนเขาไว้เป็นเวลาสามเดือน
\s5
\p
\v 3 แต่เมื่อนางไม่สามารถซ่อนเขาต่อไปอีกได้ นางจึงนำเอาตะกร้าที่สานด้วยต้นกกมาและฉาบด้วยน้ำมันดินและชัน แล้วนางได้นำเด็กนั้นใส่ลงในตะกร้า และนำไปวางไว้ที่กอต้นกกในน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำ
\v 4 พี่สาวของเด็กนั้นยืนอยู่ห่างๆ เพื่อคอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเขา
\s5
\p
\v 5 เมื่อพระธิดาของฟาโรห์ได้เสด็จลงสรงที่แม่น้ำ ในขณะที่พวกสาวใช้เดินเลาะตามริมฝั่งแม่น้ำ พระนางทรงเห็นตะกร้านั้นอยู่กลางกอต้นกก จึงส่งสาวใช้ให้ไปนำมา
\v 6 เมื่อพระนางทรงเปิดตะกร้าก็ทรงเห็นเด็กนั้น ดูสิ ทารกกำลังร้องไห้อยู่ พระนางทรงเวทนาเด็ก และตรัสว่า “นี่เป็นลูกคนฮีบรูคนหนึ่งแน่ทีเดียว”
\s5
\p
\v 7 แล้วพี่สาวของทารกนั้นจึงทูลพระธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหาหญิงชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กนี้แก่พระนางไหม?”
\v 8 พระธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปสิ” เด็กผู้หญิงจึงไปและนำมารดาของเด็กมา
\s5
\p
\v 9 พระธิดาของฟาโรห์ตรัสสั่งกับมารดาของทารกว่า “จงรับเด็กคนนี้ไปและเลี้ยงเขาไว้ให้เรา และเราจะให้ค่าจ้างแก่เจ้า” ดังนั้นหญิงนั้นจึงรับเด็กและเลี้ยงเขาไว้
\v 10 เมื่อเด็กนั้นได้เจริญวัย เธอก็นำเขามาถวายให้พระธิดาของฟาโรห์ และเขาจึงกลายเป็นบุตรของพระนาง พระนางประทานนามให้เขาว่า โมเสส แล้วตรัสว่า “เพราะเราได้ดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ”
\s5
\p
\v 11 เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น เขาได้ออกไปหาพวกพี่น้อง และเห็นพวกเขาทำงานอย่างตรากตรำ เขาเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีชาวฮีบรูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับเขา
\v 12 เขามองไปรอบๆ และเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น เขาจึงได้ฆ่าชาวอียิปต์นั้นเสียแล้วจึงได้ซ่อนศพไว้ในทราย
\s5
\p
\v 13 เขาได้ออกไปข้างนอกในวันต่อมา และ ดูสิ ชายชาวฮีบรูสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เขาจึงพูดกับคนที่ทำผิดนั้นว่า “เจ้าตีพี่น้องของเจ้าเองทำไม?”
\v 14 แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ใครตั้งท่านให้เป็นผู้นำและเป็นผู้ตัดสินเหนือพวกเรา? ท่านกำลังวางแผนจะฆ่าข้าเหมือนที่ท่านได้ฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นหรือ?” แล้วโมเสสก็กลัวและพูดว่า “สิ่งที่เราได้ทำลงไปคงรู้กันทั่วแล้วแน่ๆ”
\s5
\p
\v 15 บัดนี้เมื่อฟาโรห์ได้ทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงพยายามสังหารโมเสส แต่โมเสสหนีจากฟาโรห์ไปอยู่ในดินแดนมีเดียน ที่นั่นเขานั่งลงที่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
\v 16 บัดนี้ปุโรหิตชาวมีเดียนผู้หนึ่งมีบุตรสาวเจ็ดคน พวกเธอพากันมาตักน้ำไปเติมรางน้ำให้ฝูงแกะของบิดากิน
\v 17 เมื่อพวกคนเลี้ยงแกะมาถึงก็ไล่พวกเธอให้พ้นทาง แต่โมเสสได้เข้าไปช่วยพวกเธอ แล้วเขายังให้น้ำดื่มแก่แกะของพวกเธอด้วย
\s5
\p
\v 18 เมื่อหญิงสาวเหล่านั้นกลับไปหาเรอูเอลผู้เป็นบิดาของพวกเธอ เขาถามว่า “ทำไมวันนี้พวกเจ้าจึงกลับบ้านเร็วนัก?”
\v 19 พวกเธอตอบว่า “มีชาวอียิปต์คนหนึ่งช่วยพวกเราจากพวกคนเลี้ยงแกะ ทั้งเขายังตักน้ำให้พวกเรา และให้ฝูงแกะกินด้วย”
\v 20 เขาจึงได้กล่าวกับพวกบุตรสาวของเขาว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ใด? เหตุใดพวกเจ้าจึงทิ้งชายคนนั้นไว้? จงไปเรียกเขามารับประทานอาหารกับพวกเรา”
\s5
\p
\v 21 โมเสสจึงตกลงใจอาศัยอยู่กับชายผู้นี้จึงได้ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้แต่งงานกับเขา
\v 22 นางได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และโมเสสตั้งชื่อเขาว่า เกอร์โชม และท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้อาศัยอยู่ในดินแดนของคนต่างชาติ”
\s5
\p
\v 23 ครั้นเวลาก็ล่วงมาช้านาน กษัตริย์อียิปต์ก็สวรรคต ชนชาติอิสราเอลต่างคร่ำครวญเพราะการเป็นแรงงานทาส เขาทั้งหลายร้องขอความช่วยเหลือและคำวิงวอนของพวกเขาก็ขึ้นไปถึงพระเจ้าเพราะเหตุการเป็นทาสของพวกเขา
\v 24 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องโอดครวญของพวกเขา พระเจ้าทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
\v 25 พระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอล แล้วพระองค์ทรงทราบถึงสภาพความเป็นไปของพวกเขา
\s5
\c 3
\p
\v 1 ขณะที่โมเสสยังคงกำลังเลี้ยงฝูงแกะของเยโธรพ่อตาของเขาผู้เป็นปุโรหิตของชาวมีเดียน โมเสสได้นำฝูงแกะไปไกลอีกฟากหนึ่งของถิ่นทุรกันดารและมาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
\v 2 ณ ที่นั่นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่เขาในเปลวไฟในพุ่มไม้ โมเสสมองดู และดูเถิด พุ่มไม้กำลังมีไฟไหม้อยู่แต่พุ่มไม้นั้นไม่ถูกเผาไหม้
\v 3 โมเสสพูดว่า “ข้าจะแวะไปและดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้จึงไม่ถูกเผาไหม้”
\s5
\p
\v 4 เมื่อพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรว่าเขาได้เข้ามาดู พระเจ้าจึงทรงเรียกเขาจากพุ่มไม้นั้นและตรัสว่า “โมเสส โมเสส” โมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
\v 5 พระเจ้าตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกจากเท้าของเจ้า เพราะว่าตรงที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี้เป็นที่ตั้งไว้เพื่อเรา”
\v 6 พระองค์ตรัสเพิ่มว่า “เราคือพระเจ้าของบิดาเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” แล้วโมเสสก็ปิดหน้าของเขาเพราะเขากลัวที่จะมองดูพระเจ้า
\s5
\p
\v 7 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “แน่นอนเราได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชนของเราที่อยู่ในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขา เนื่องจากพวกนายงานของเขา เพราะเรารับรู้ถึงความทุกข์ยากของพวกเขา
\v 8 เราจึงลงมาเพื่อจะปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากอำนาจของชาวอียิปต์ และนำพวกเขาออกจากดินแดนนั้น ไปยังดินแดนที่ดีและกว้างขวาง ไปยังดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหล ไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส
\s5
\p
\v 9 บัดนี้เสียงร้องของประชาชนอิสราเอลได้มาถึงเราแล้ว ยิ่งกว่านั้นเราได้เห็นการกดขี่จากชาวอียิปต์
\v 10 แล้วบัดนี้ เราจะส่งเจ้าไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ เพื่อเจ้าจะได้นำชนชาติอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์”
\s5
\p
\v 11 แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นใครเล่า ที่จะบังควรไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์?”
\v 12 พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่จะเป็นหมายสำคัญต่อเจ้าที่เราส่งเจ้าไป เมื่อเจ้าได้นำประชาชนออกจากอียิปต์แล้ว พวกเจ้าจะมานมัสการเราบนภูเขานี้”
\s5
\p
\v 13 โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกเจ้า’ และพวกเขาจะถามข้าพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงพระนามอะไร? ข้าพระองค์ควรจะตอบพวกเขาว่าอย่างไร?”
\v 14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องพูดกับชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็น ได้ส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ”
\v 15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า “เจ้าต้องกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกเจ้า’ นี่เป็นนามของเราตลอดไป และคนทุกรุ่นจะจดจำเราในนามนี้
\s5
\p
\v 16 จงไปและรวบรวมพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลให้มารวมกัน พูดกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ทรงมาสำแดงพระองค์แก่ข้าพเจ้าและตรัสว่า “ โดยแท้จริงแล้วเราได้เฝ้าดูพวกเจ้าและได้เห็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์
\v 17 เราได้สัญญาไว้ที่จะนำเจ้าออกจากการกดขี่ในอียิปต์ ไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ไปยังดินแดนซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้ง”'
\v 18 พวกเขาจะเชื่อฟังเจ้า เจ้ากับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลต้องไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อียิปต์และพวกเจ้าต้องทูลว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของคนฮีบรู ทรงปรากฏแก่พวกข้าพระองค์ บัดนี้ ขอได้โปรดให้พวกข้าพระองค์เดินทางไปในแดนทุรกันดารสักสามวัน เพื่อที่ว่าพวกข้าพระองค์จะได้ถวายสักการะบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์’
\s5
\p
\v 19 แต่เรารู้ว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเจ้าไป เว้นแต่มือของเขาจะถูกบังคับ
\v 20 เราจะเหยียดมือของเราออกและต่อสู้ชาวอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ทุกอย่าง ที่เราจะทำท่ามกลางพวกเขา หลังจากนั้น เขาก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป
\v 21 เราจะให้ประชาชนเป็นที่พึงพอใจของคนอียิปต์ ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าออกไป เจ้าก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า
\v 22 ผู้หญิงทุกคนจะเรียกร้องอัญมณีเงินและทองและเสื้อผ้าจากพวกเพื่อนบ้านชาวอียิปต์ และจากพวกผู้หญิงคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในบ้านของเพื่อนบ้านนั้น พวกเจ้าจะเอาของพวกนี้ไปสวมให้พวกบุตรชายและพวกบุตรหญิงของพวกเจ้า ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจะได้ริบเอาจากพวกชาวอียิปต์
\s5
\c 4
\p
\v 1 โมเสสจึงทูลตอบว่า “แต่จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์เลย แต่กลับพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงปรากฏแก่ท่านหรอก’?”
\v 2 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับเขาว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้าล่ะ?” โมเสสทูลว่า “ไม้เท้า พระเจ้า”
\v 3 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงโยนลงที่พื้น” โมเสสจึงโยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงูตัวหนึ่ง โมเสสก็หนีจากงูนั้น
\s5
\p
\v 4 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเอื้อมมือไปจับหางมันไว้” เขาจึงเอื้อมมือและจับงูไว้ มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
\v 5 “ทั้งนี้ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษพวกเขา คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงสำแดงพระองค์แก่เจ้าแล้ว”
\s5
\p
\v 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับเขาอีกว่า “บัดนี้ จงเอามือสอดไว้ในเสื้อคลุมของเจ้า” โมเสสก็สอดมือไว้ที่ในเสื้อคลุม เมื่อเขาดึงมือออก ดูสิ มือของเขาก็เป็นโรคเรื้อนขาวดั่งหิมะ
\v 7 พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เอามือของเจ้าสอดไว้ในเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง” ฉะนั้นโมเสสก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุมของเขา แล้วเมื่อเขาดึงออกมา เขาเห็นว่ามือกลับเป็นปกติอีกครั้ง เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายของเขา
\s5
\p
\v 8 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้า และไม่ใส่ใจหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราในครั้งแรกนี้ หรือเชื่อในหมายสำคัญนั้น พวกเขาจะเชื่อหมายสำคัญในครั้งที่สอง
\v 9 ถ้าแม้พวกเขาไม่ใส่ใจหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราในทั้งสองครั้งนี้ หรือไม่ฟังเสียงของเจ้า จงตักน้ำจากแม่น้ำและเทลงบนดินแห้งๆ น้ำที่เจ้าตักมาจะเปลี่ยนเป็นเลือดบนผืนดินแห้ง”
\s5
\p
\v 10 จากนั้นโมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่คนพูดเก่ง ทั้งในอดีต และตั้งแต่เมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดตะกุกตะกักและช้า”
\v 11 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับเขาว่า “ใครกันที่สร้างปากมนุษย์? ใครกันที่ทำให้มนุษย์หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอดหรือตาดี? ไม่ใช่เรา พระยาห์เวห์ หรือ?
\v 12 จงไปเถิด และเราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและสอนเจ้าในสิ่งที่ควรจะพูด”
\v 13 แต่โมเสสทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดใช้คนอื่นไปเถิด ใครก็ได้ที่พระองค์ประสงค์จะทรงส่งไป”
\s5
\p
\v 14 แล้วพระยาห์เวห์จึงกริ้วโมเสส พระองค์ตรัสว่า "แล้วอาโรนคนเลวีที่เป็นพี่ชายของเจ้าล่ะ? เรารู้ว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง ยิ่งกว่านั้น เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า และเมื่อเขาเห็นเจ้า เขาจะชื่นชมยินดีในใจ
\v 15 จงพูดกับเขาเถิด และบอกถ้อยคำที่จะให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและปากของเขา และจะแสดงให้เจ้าทั้งสองรู้ว่าควรทำอย่างไร
\v 16 เขาจะพูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นเหมือนปากของเจ้า และเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา
\v 17 เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้ในมือ ด้วยสิ่งนี้เจ้าจะกระทำหมายสำคัญต่างๆ”
\s5
\p
\v 18 ดังนั้น โมเสสจึงไปยังเยโธรพ่อตาของเขา และบอกเขาว่า “ขอให้ข้าไปหาญาติพี่น้องของข้าซึ่งอยู่ในอียิปต์ และเพื่อจะได้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เยโธรตอบโมเสสว่า “ไปดีมาดีเถิด”
\v 19 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับโมเสสในดินแดนมีเดียนว่า “กลับไปอียิปต์เถิด เพราะคนทั้งหลายที่พยายามเอาชีวิตของเจ้านั้นตายแล้ว”
\v 20 โมเสสจึงพาภรรยาและบรรดาบุตรชายของตนขี่ลา เขากลับไปยังดินแดนอียิปต์ และเขาก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าไว้ในมือของตน
\s5
\p
\v 21 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปอียิปต์ จงกระทำการอัศจรรย์ทั้งสิ้นซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แต่เราจะทำให้พระทัยของพระองค์แข็งกร้าว และพระองค์จะไม่ทรงยอมให้ประชาชนไป
\v 22 เจ้าจงทูลฟาโรห์ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงตรัสดังนี้ว่า อิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา บุตรหัวปีของเรา
\v 23 เราบอกแก่เจ้าว่า “จงให้บุตรชายของเราไปนมัสการเรา” แต่ถ้าพระองค์ทรงปฎิเสธ เราจะสังหารบุตรชายหัวปีของพระองค์’”
\s5
\p
\v 24 ระหว่างทาง เมื่อพวกเขาหยุดค้างคืน พระยาห์เวห์เสด็จมาหาโมเสส และทรงประสงค์จะสังหารเขาเสีย
\v 25 แล้วนางศิปโปราห์จึงเอามีดหินมาตัดหนังปลายองคชาตบุตรชายของตนออก แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสกล่าวว่า “แน่ทีเดียวท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตสำหรับฉัน”
\v 26 แล้วพระยาห์เวห์จึงทรงไว้ชีวิตเขา นางกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต” เนื่องจากการเข้าสุหนัต
\s5
\p
\v 27 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับอาโรนว่า “จงไปในแดนทุรกันดารเพื่อจะพบกับโมเสส” อาโรนก็ไปพบกับเขาที่ภูเขาของพระเจ้าและจูบเขา
\v 28 โมเสสจึงเล่าให้อาโรนรู้ถึงพระดำรัสทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ทรงส่งตนให้ไปพูด และหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้เขาทำ
\s5
\p
\v 29 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงออกไปและเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลพร้อมกัน
\v 30 อาโรนจึงกล่าวข้อความทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงตรัสกับโมเสส และเขาได้แสดงหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของพระยาเวห์ต่อหน้าประชาชน
\v 31 ประชาชนก็ได้เชื่อฟัง เมื่อได้ยินว่าพระยาห์เวห์เฝ้าดูชนชาติอิสราเอล และได้ทรงเห็นความลำบากของพวกเขา พวกเขาต่างก้มศีรษะกราบลงและนมัสการพระองค์
\s5
\c 5
\p
\v 1 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น โมเสสกับอาโรนได้เข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘จงปล่อยประชาชนของเราไป เพื่อพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เราในแดนทุรกันดาร’ ”
\v 2 ฟาโรห์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์เป็นใคร? ทำไมเราควรเชื่อคำของท่านและปล่อยอิสราเอลไป? เราไม่รู้จักพระยาห์เวห์ ยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยอิสราเอลไป”
\s5
\p
\v 3 พวกเขาจึงทูลว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูได้พบกับพวกข้าพระองค์ ขออนุญาตพวกข้าพระองค์สักสามวันเดินทางเข้าไปในแดนทุรกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ เพื่อว่าพระองค์จะไม่ทรงลงโทษพวกข้าพระองค์ด้วยภัยพิบัติหรือด้วยดาบ”
\v 4 แต่กษัตริย์อียิปต์ตรัสกับพวกเขาว่า “โมเสสกับอาโรน เหตุใดพวกเจ้าจะทำให้ประชาชนละทิ้งการงานของเขา? จงกลับไปทำงานของพวกเจ้า”
\v 5 ฟาโรห์ตรัสต่อไปว่า “บัดนี้คนฮีบรูมีมากในดินแดนของเรา และพวกเจ้ากำลังทำให้พวกเขาต้องหยุดงาน”
\s5
\p
\v 6 ในวันเดียวกันนั้น ฟาโรห์ทรงมีพระบัญชาสั่งนายงานและหัวหน้าคนงาน พระองค์ตรัสว่า
\v 7 “พวกเจ้าอย่าให้ฟางแก่พวกทาสสำหรับใช้ทำอิฐเหมือนแต่ก่อน จงให้พวกมันไปหาฟางเอาเอง
\v 8 อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องกำหนดให้พวกมันทำอิฐให้ได้จำนวนเท่าเดิม ห้ามลดจำนวนลง เพราะทาสพวกนี้ขี้เกียจ นั่นเป็นเหตุที่พวกมันพากันมาร้องขอว่า ‘ขอปล่อยพวกเราไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของพวกเราเถิด’
\v 9 จงให้พวกมันทำงานหนักเพิ่มขึ้น เพื่อว่าพวกมันจะได้มัวทำงานและไม่ได้สนใจกับคำพูดเหลวไหล”
\s5
\p
\v 10 ดังนั้นนายงานกับหัวหน้าคนงานจึงออกไปบอกพวกทาสว่า “นี่คือสิ่งที่ฟาโรห์ได้ทรงรับสั่ง ‘เราจะงดแจกจ่ายฟางให้พวกเจ้า
\v 11 พวกเจ้าต้องไปและหาฟางเอาเองจากที่ไหนก็ตามแต่จะหาได้ แต่งานที่ต้องทำนั้นจะไม่ลดลง’ ”
\s5
\p
\v 12 ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินอียิปต์เพื่อหาตอฟาง
\v 13 เหล่านายงานคอยเร่งรัดและพูดว่า “ทำงานของเจ้าให้เสร็จ เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ได้รับฟาง”
\v 14 นายงานของฟาโรห์ทุบตีหัวหน้าคนงานชาวอิสราเอลผู้ซึ่งถูกตั้งให้ดูแลคนงาน นายงานถามตลอดว่า “ทำไมเมื่อวานนี้และวันนี้พวกเจ้าจึงทำอิฐไม่ครบตามจำนวนเดิมเหมือนเมื่อก่อนนี้?”
\s5
\p
\v 15 ดังนั้นหัวหน้าคนงานชาวอิสราเอลจึงเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “เหตุใดพระองค์จึงทรงกระทำต่อผู้รับใช้ของพระองค์อย่างนี้?
\v 16 ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ได้รับแจกจ่ายฟางอีกเลย แต่พวกนายงานกลับสั่งพวกเราว่า ‘ให้ทำอิฐ’ บัดนี้พวกข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ยังต้องถูกเฆี่ยนตี ทั้งๆ ที่พวกคนของพระองค์ต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด”
\v 17 แต่ฟาโรห์ตรัสว่า “เจ้าคนขี้เกียจ เจ้าคนขี้เกียจ ก็พวกเจ้าบอกว่า ‘ปล่อยพวกเราออกไปถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์’
\v 18 ตอนนี้กลับไปทำงานได้แล้ว เราจะไม่จ่ายฟางให้ แต่พวกเจ้าต้องทำอิฐให้ได้ตามจำนวนที่เท่าเดิม”
\s5
\p
\v 19 หัวหน้างานชาวอิสราเอลเห็นว่าพวกตนกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อพวกเขาถูกสั่งว่า “พวกเจ้าจะต้องไม่ลดจำนวนอิฐในแต่ละวันลง”
\v 20 เมื่อพวกเขากลับจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ พวกเขาได้พบโมเสสและอาโรนที่ยืนอยู่ข้างนอกวัง
\v 21 พวกเขาจึงกล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงทอดพระเนตรดูและลงโทษพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าทำให้พวกเราถูกเกลียดชังในสายตาของฟาโรห์กับเหล่าข้าราชบริพารของพระองค์ ท่านได้เอาดาบใส่มือพวกเขา เพื่อฆ่าพวกเรา”
\s5
\p
\v 22 โมเสสจึงกลับไปหาพระยาห์เวห์และทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงนำความยากลำบากมาถึงคนเหล่านี้? ทำไมพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาเป็นคนแรก?
\v 23 ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปทูลฟาโรห์ในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ทำให้เหล่าประชาชนเดือดร้อน และพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยประชาชนของพระองค์เป็นอิสระเลย”
\s5
\c 6
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ เจ้าจะเห็นสิ่งนี้ เพื่อพระองค์จะทรงปล่อยประชาชนไปเพราะมืออันเข้มแข็งของเรา ฟาโรห์จะทรงผลักดันประชาชนออกไปจากดินแดนของเขาเพราะมืออันเข้มแข็งของเรา”
\s5
\p
\v 2 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและทรงตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์
\v 3 เราได้ปรากฏแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบในฐานะพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ด้วยชื่อของเรา พระยาห์เวห์ เราไม่ได้เป็นที่รู้จักสำหรับพวกเขา
\v 4 เรายังได้ตั้งพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เพื่อจะยกดินแดนคานาอันให้แก่พวกเขา ดินแดนซึ่งพวกเขาเคยได้อาศัยอยู่ในฐานะคนต่างชาติ ดินแดนซึ่งพวกเขาได้เหยียบย่ำไปมา
\v 5 ยิ่งกว่านั้นเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชาวอิสราเอลผู้ซึ่งชาวอียิปต์ได้กดขี่ และเรายังจดจำพันธสัญญาของเราได้
\s5
\p
\v 6 ฉะนั้นจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็นพระยาห์เวห์ เราจะนำพวกเจ้าให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ และเราจะปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากอำนาจของพวกเขา เราจะช่วยกู้พวกเจ้าด้วยการสำแดงฤทธิ์อำนาจของเราและด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก
\v 7 เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา เราพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำพวกเจ้าให้พ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์
\s5
\p
\v 8 เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปยังดินแดนซึ่งเราได้สัญญาไว้ว่าจะยกให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เราจะยกดินแดนนั้นแก่พวกเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ เราเป็นพระยาห์เวห์’ ”
\v 9 แล้วเมื่อโมเสสได้กล่าวเรื่องนี้แก่ชาวอิสราเอล แต่พวกเขากลับไม่ฟังท่าน เพราะพวกเขาหมดอาลัยตายอยากเนื่องจากการเป็นทาสอย่างทารุณ
\s5
\p
\v 10 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ทรงตรัสว่า
\v 11 “จงไปทูลฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกจากดินแดนของพระองค์”
\v 12 โมเสสทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า “แม้แต่ชนชาติอิสราเอลยังไม่ฟังข้าพระองค์ แล้วเหตุใดฟาโรห์จะทรงฟังข้าพระองค์ ในเมื่อข้าพระองค์พูดตะกุกตะกัก?
\v 13 พระยาห์เวห์จึงตรัสแก่โมเสสและอาโรน พระองค์ทรงให้คำบัญชาแก่ท่านทั้งสองเพื่อแจ้งชนชาติอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ชนชาติอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์
\s5
\p
\v 14 เหล่านี้เป็นต้นตระกูลของพวกเขา บุตรชายทั้งหลายของรูเบน ผู้เป็นบุตรชายหัวปีของอิสราเอล คือ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลเผ่ารูเบน
\v 15 บรรดาบุตรชายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูล ซึ่งมารดาเป็นหญิงชาวคานาอัน คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลเผ่าสิเมโอน
\s5
\p
\v 16 เหล่านี้คือบัญชีรายชื่อบรรดาบุตรชายของเลวีตามลำดับวงศ์ของเขา คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเขามีอายุได้ 137 ปี
\v 17 บรรดาบุตรชายของเกอร์โชน คือ ลิบนีและชิเมอี
\v 18 บรรดาบุตรชายของโคฮาท คือ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีชีวิตอยู่จนกระทั่งอายุได้ 133 ปี
\v 19 บรรดาบุตรชายของเมรารี คือ มาห์ลีและมูชี ที่กล่าวมานี้มาจากตระกูลเผ่าเลวีตามพงศ์พันธ์ุของเขา
\s5
\p
\v 20 อัมรามแต่งงานกับโยเคเบดน้องสาวของบิดา เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ อาโรนกับโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต
\v 21 บรรดาบุตรชายของอิสฮาร์ คือ โคราห์ เนเฟก และศิครี
\v 22 บรรดาบุตรชายของอุสซีเอล คือ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี
\s5
\p
\v 23 อาโรนแต่งงานกับเอลีเชบาบุตรสาวของอัมมีนาดับ ผู้เป็นน้องสาวของนาห์โชน เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์
\v 24 บรรดาบุตรชายของโคราห์ คือ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลบรรพบุรุษของโคราห์
\v 25 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของปูทิเอล เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ ฟีเนหัส คนเหล่านี้คือต้นตระกูลเลวีตามลำดับวงศ์ของพวกเขา
\s5
\p
\v 26 อาโรนและโมเสสสองคนนี้เองที่พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงนำประชาชนอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์ตามหมู่ตามกองเขา”
\v 27 อาโรนและโมเสสทูลฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เพื่อขออนุญาตให้พวกเขานำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ทั้งสองคนนี้คือโมเสสและอาโรนคนนี้เอง
\s5
\p
\v 28 เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในดินแดนอียิปต์
\v 29 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์ จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ทุกสิ่งตามที่เราจะบอกเจ้า”
\v 30 แต่โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง เหตุใดฟาโรห์จะทรงฟังข้าพระองค์?”
\s5
\c 7
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูซิ เราได้ทำให้เจ้าเป็นดังพระเจ้าต่อฟาโรห์ พี่ชายของเจ้าอาโรนจะเป็นดังผู้เผยพระวจนะของเจ้า
\v 2 เจ้าจะต้องบอกทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้าให้พูด แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรห์เพื่อให้ปล่อยประชาชนอิสราเอลออกไปจากดินแดนของเขา
\s5
\p
\v 3 แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกร้าว และเราจะสำแดงบรรดาหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเรา และการอัศจรรย์มากมายในดินแดนอียิปต์
\v 4 แต่ฟาโรห์ก็จะไม่เชื่อฟังเจ้า เพื่อเราจะยกมือของเราขึ้นเหนืออียิปต์ และพานักรบของเรา ประชาชนของเรา และบรรดาวงศ์วานอิสราเอล ออกจากดินแดนอียิปต์ด้วยมหกิจแห่งการลงโทษ
\v 5 ชาวอียิปต์จะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เมื่อเราเหยียดมือขึ้นเหนืออียิปต์และพาชาวอิสราเอลออกจากพวกเขา”
\s5
\p
\v 6 โมเสสและอาโรนจึงกระทำตามนั้น คือพวกเขาได้ทำอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขา
\v 7 โมเสสมีอายุแปดสิบปี และอาโรนมีอายุแปดสิบสามปี เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปทูลฟาโรห์นั้น
\s5
\p
\v 8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
\v 9 “เมื่อฟาโรห์สั่งเจ้าว่า ‘จงแสดงการอัศจรรย์ดูสิ’ แล้วเจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของเจ้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์’ แล้วไม้เท้าจะได้กลายเป็นงู’”
\v 10 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และพวกเขาทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าของเขาลงต่อหน้าฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของเขา และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู
\s5
\p
\v 11 ฝ่ายฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกนักปราชญ์ และหมอผีมา พวกเขาก็สามารถทำสิ่งอัศจรรย์อย่างเดียวกันด้วยเวทย์มนต์ของพวกเขา
\v 12 พวกเขาต่างคนต่างโยนไม้เท้าของตนลง และไม้เท้าทั้งหลายก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนได้กลืนงูของพวกเขาหมดสิ้น
\v 13 แต่ฟาโรห์ยังคงมีพระทัยแข็งกร้าวและพระองค์ไม่ทรงยอมฟัง ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว
\s5
\p
\v 14 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์ยังคงแข็งกร้าวและเขายังคงปฏิเสธที่จะปล่อยประชาชนไป
\v 15 เจ้าจงไปหาฟาโรห์ในตอนเช้าขณะที่เขาไปยังแม่น้ำ จงคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อพบกับเขาและเอาไม้เท้าที่กลายเป็นงูไปด้วย
\s5
\p
\v 16 แล้วกล่าวแก่เขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูได้ส่งข้าพระองค์มาทูลพระองค์ดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเราในแดนทุรกันดาร จนบัดนี้เจ้าก็ยังหาได้เชื่อฟังไม่”
\v 17 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เราจะฟาดน้ำในแม่น้ำไนล์ด้วยไม้เท้าที่อยู่ในมือของเรา และแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด
\v 18 ปลาที่อาศัยในแม่น้ำนั้นจะตายและแม่น้ำจะเน่าเหม็น ชาวอียิปต์จะไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้’”
\s5
\p
\v 19 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘ให้เอาไม้เท้าของเจ้าและยื่นมือออกไปเหนือน้ำทั้งปวงแห่งอียิปต์ ทั้งแม่น้ำ ลำธาร สระน้ำ บ่อน้ำทุกแห่งของพวกเขา เพื่อว่าน้ำของพวกเขาจะกลายเป็นเลือด จงกระทำเช่นนี้เพื่อว่าเลือดจะเต็มไปทั่วดินแดนอียิปต์ แม้กระทั่งน้ำที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน”
\s5
\p
\v 20 โมเสสกับอาโรนจึงทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ อาโรนจึงยกไม้เท้าขึ้นและฟาดลงในน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ น้ำทั้งหมดในแม่น้ำจึงกลายเป็นเลือด
\v 21 ปลาในแม่น้ำก็ตายและแม่น้ำก็เริ่มเน่าเหม็น พวกชาวอียิปต์ไม่อาจดื่มน้ำจากแม่น้ำได้ และมีแต่เลือดอยู่ทั่วทุกแห่งในดินแดนอียิปต์
\v 22 แต่พวกนักมายากลของอียิปต์ก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยศิลปะอันลึกลับของพวกเขา กระนั้นพระทัยของฟาโรห์ยังคงแข็งกร้าวและทรงปฎิเสธที่จะฟังโมเสสกับอาโรนซึ่งเป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ว่าจะเกิดขึ้น
\s5
\p
\v 23 แล้วฟาโรห์ก็เสด็จกลับวังของพระองค์ พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่แม้ในเหตุการณ์ครั้งนี้
\v 24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็พากันขุดหลุมตามริมฝั่งแม่น้ำเพื่อจะได้น้ำไว้ดื่ม แต่พวกเขาดื่มน้ำจากแม่น้ำไม่ได้
\v 25 เจ็ดวันผ่านไปหลังจากที่พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้น้ำกลายเป็นเลือดแล้ว
\s5
\c 8
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา
\v 2 ถ้าเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไป เราจะส่งฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วดินแดนของเจ้า
\v 3 แม่น้ำจะเต็มไปด้วยฝูงกบ พวกมันจะขึ้นมาและเข้าไปในบ้านของเจ้า ในห้องนอนของเจ้า และเตียงของเจ้า พวกมันจะเข้าไปในบ้านของเหล่าข้าราชบริพารของเจ้า พวกมันจะอยู่บนตัวประชาชนของเจ้า ในเตาปิ้งขนมและเข้าไปในชามผสมแป้งของเจ้า
\v 4 ฝูงกบจะรุกรานเจ้า ประชาชนของเจ้า และข้าราชบริพารของเจ้าทุกคน”’”
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘จงชูไม้เท้าขึ้นเหนือแม่น้ำ ลำธาร และสระน้ำ แล้วจะมีกบขึ้นทั่วดินแดนอียิปต์’”
\v 6 อาโรนจึงยื่นมือออกเหนือห้วงน้ำของอียิปต์ และกบก็ขึ้นมาทั่วดินแดนอียิปต์
\v 7 แต่พวกนักมายากลก็ใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนอย่างเดียวกัน พวกเขาทำให้กบขึ้นมาทั่วดินแดนอียิปต์ด้วย
\s5
\p
\v 8 แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกโมเสสและอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้เอากบออกไปจากเราและประชาชนของเรา แล้วเราจะปล่อยประชาชนของเจ้าออกไปถวายเครื่องบูชา”
\v 9 โมเสสทูลฟาโรห์ว่า “พระองค์มีสิทธิ์พิเศษที่จะบอกข้าพระองค์ว่าเมื่อใดที่พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์อธิษฐานให้พระองค์ ข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนของพระองค์ เพื่อที่จะขับไล่ฝูงกบไปจากพระองค์ บ้านทั้งหลายของพระองค์ และเหลือกบที่อยู่แต่ในแม่น้ำเท่านั้น”
\s5
\p
\v 10 ฟาโรห์ตรัสว่า “วันพรุ่งนี้” โมเสสทูลตอบว่า “จะเป็นไปตามที่พระองค์ตรัส เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบว่าไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
\v 11 ฝูงกบจะไปจากพระองค์ บ้านทั้งหลายของพระองค์ ข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนของพระองค์ กบจะอยู่แต่ในแม่น้ำเท่านั้น”
\v 12 โมเสสกับอาโรนจึงกลับออกมาจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ แล้วโมเสสจึงร้องทูลพระยาห์เวห์เกี่ยวกับฝูงกบที่พระองค์ทรงนำมารบกวนฟาโรห์
\s5
\p
\v 13 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำตามที่โมเสสทูลขอ กบจึงตายเกลื่อนทั่วบ้าน ลานบ้าน และทุ่งนา
\v 14 ประชาชนจึงเอาซากกบมาสุมเป็นกองๆ และดินแดนก็เหม็นคลุ้ง
\v 15 แต่เมื่อฟาโรห์ทรงเห็นว่าความทุกข์ร้อนบรรเทาลงแล้ว พระองค์ก็กลับมีพระทัยแข็งกร้าวไม่ยอมรับฟังโมเสสกับอาโรนอีก เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น
\s5
\p
\v 16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘จงยื่นไม้เท้าของเจ้าออกและตีฝุ่นบนดิน แล้วฝุ่นเหล่านั้นจะกลายเป็นริ้นทั่วดินแดนอียิปต์’”
\v 17 พวกเขาก็ทำเช่นนั้น อาโรนยื่นมือที่ถือไม้เท้าออก แล้วเขาก็ได้ตีฝุ่นบนดิน ฝูงริ้นขึ้นมาตอมคนและสัตว์ ฝุ่นทั้งหมดบนดินก็กลายเป็นฝูงริ้นทั่วดินแดนอียิปต์
\s5
\p
\v 18 พวกนักมายากลพยายามจะใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนทำให้เกิดริ้น แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ ฝูงริ้นต่างมาตอมทั้งคนและสัตว์
\v 19 นักมายากลจึงทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นผลจากนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่พระทัยฟาโรห์กลับแข็งกร้าว พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะฟังพวกเขาอีก เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่าฟาโรห์จะทำเช่นนั้น
\s5
\p
\v 20 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้ามืดและไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ตอนที่เขาไปที่แม่น้ำ บอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า "จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา
\v 21 แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชาชนของเราไป เราจะส่งฝูงเหลือบวันมาตอมตัวเจ้า ตอมข้าราชบริพาร และประชาชนของเจ้า และเข้าไปในบ้านของพวกเจ้า บ้านของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ และแม้แต่พื้นดินก็จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ
\s5
\p
\v 22 แต่ในวันนั้นเราจะกระทำต่อดินแดนโกเชนต่างออกไป ดินแดนที่ประชาชนของเราอาศัยอยู่ ฝูงเหลือบจะไม่มีที่นั่นเลย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางดินแดนนี้
\v 23 เราจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประชาชนของเราและประชาชนของเจ้า หมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเรานี้จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้’””
\v 24 พระยาห์เวห์ทรงกระทำเช่นนั้น และฝูงเหลือบจำนวนมหาศาลกรูเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์และบ้านของข้าราชการทั้งหลาย ทั่วทั้งดินแดนอียิปต์ ทั้งดินแดนได้ถูกทำลายเพราะฝูงเหลือบ
\s5
\p
\v 25 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้โมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในดินแดนของเรา”
\v 26 โมเสสทูลว่า “ไม่ถูกต้องสำหรับพวกข้าพระองค์ที่จะกระทำเช่นนั้น เพราะเครื่องบูชาที่พวกข้าพระองค์ถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์เป็นที่รังเกียจของชาวอียิปต์ หากพวกข้าพระองค์ถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของพวกชาวอียิปต์ จะไม่ถูกพวกเขาเอาหินขว้างพวกเราหรือ?
\v 27 อย่ากระนั้นเลย พวกข้าพระองค์จำเป็นต้องเดินทางสามวันเข้าไปในแดนทุรกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ตามที่พระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพระองค์”
\s5
\p
\v 28 ฟาโรห์ตรัสว่า “เราจะให้พวกเจ้าไปและถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าในแดนทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าจะต้องไม่ไปไกลนัก จงอธิษฐานให้เราด้วย”
\v 29 แล้วโมเสสทูลว่า “ทันทีที่ข้าพระองค์จากไป ข้าพระองค์จะทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า ขอให้ฝูงเหลือบออกไปจากพระองค์ ฟาโรห์ ข้าราชบริพารและประชาชนของพระองค์ในวันพรุ่งนี้ แต่ขอพระองค์อย่าได้ทรงกลับคำมั่นที่จะปล่อยประชาชนของข้าพระองค์ทั้งหลาย ไปถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์อีก”
\s5
\p
\v 30 แล้วโมเสสจึงลาฟาโรห์และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
\v 31 พระยาห์เวห์ทรงกระทำตามที่โมเสสทูลขอ พระองค์ได้เอาฝูงเหลือบออกไปจากฟาโรห์ ข้าราชบริพาร และประชาชนของพระองค์ ไม่เหลือแม้สักตัว
\v 32 แต่ครั้งนี้ก็เช่นกันฟาโรห์กลับมีพระทัยแข็งกร้าว และไม่ยอมปล่อยประชาชนไป
\s5
\c 9
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา”
\v 2 แต่หากเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไปและยังคงหน่วงเหนี่ยวไว้
\v 3 แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะอยู่เหนือฝูงสัตว์ของเจ้าในทุ่งนา และฝูงม้า ลา อูฐ วัว แกะและแพะ และทำให้เกิดโรคระบาดที่น่าสะพรึงกลัว
\v 4 พระยาห์เวห์จะทรงทำต่อฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลกับของชาวอียิปต์ต่างกัน สัตว์ของชาวอิสราเอลจะไม่ตายเลย
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์ทรงกำหนดเวลาและพระองค์ตรัสว่า “ในวันพรุ่งนี้เราจะทำสิ่งนี้ในดินแดน”’”
\v 6 พระยาห์เวห์จึงทรงกระทำสิ่งนี้ในวันต่อมา ฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์พากันล้มตายหมด ส่วนฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว
\v 7 ฟาโรห์ทรงตรวจสอบและพบว่าสัตว์ของอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว แต่พระทัยของพระองค์ยังคงแข็งกร้าว ฉะนั้นพระองค์จึงไม่ยอมปล่อยประชาชนอิสราเอลไป
\s5
\p
\v 8 แล้วพระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “จงกำขี้เถ้าจากเตาขึ้นมาให้เต็มกำมือ โมเสส เจ้าต้องโยนขี้เถ้านั้นขึ้นไปในอากาศในขณะที่ฟาโรห์กำลังเฝ้าดูอยู่
\v 9 ขี้เถ้านั้นจะกลายเป็นฝุ่นละเอียดฟุ้งตลบไปทั่วดินแดนอียิปต์ ทำให้เกิดฝีพุพองและเจ็บปวดลามตามตัวผู้คนและบรรดาสัตว์ทั่วดินแดนอียิปต์”
\v 10 ดังนั้นโมเสสและอาโรนจึงนำขี้เถ้าจากเตาไปและได้ยืนต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แล้วโมเสสก็โยนขี้เถ้าขึ้นไปในอากาศ ทำให้เกิดเป็นฝีพุพองและเจ็บปวดแตกลามทั่วตัวบรรดาคนและสัตว์
\s5
\p
\v 11 บรรดานักมายากลต่างไม่อาจต่อต้านโมเสสได้เพราะฝี เพราะฝีก็ได้ขึ้นที่ตัวพวกเขาเหมือนชาวอียิปต์ทั้งปวงด้วย
\v 12 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกร้าว ดังนั้นฟาโรห์จึงทรงไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้กับโมเสส
\s5
\p
\v 13 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ในตอนเช้า จงตื่นแต่เช้าไปยืนต่อหน้าฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา
\v 14 ด้วยครั้งนี้เราจะส่งบรรดาภัยพิบัติมาเหนือเจ้า ตัวเจ้าเอง ข้าราชบริพารและประชาชนของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าทั่วแผ่นดินโลกนี้ไม่มีผู้ใดเป็นเช่นเรา
\s5
\p
\v 15 แม้ในขณะนี้เราจะกางมือออกและโจมตีเจ้าและประชาชนของเจ้าด้วยเชื้อโรค และเราจะกวาดล้างเจ้าจากแผ่นดิน
\v 16 แต่ด้วยเหตุผลนี้เราจึงยังให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราแก่เจ้า และเพื่อนามของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก
\v 17 เจ้ายังดื้อดึงต่อสู้กับประชาชนของเรา โดยไม่ยอมให้พวกเขาไป
\s5
\p
\v 18 จงฟัง ในวันพรุ่งนี้เวลานี้ เราจะส่งพายุลูกเห็บมากระหน่ำอียิปต์อย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในอียิปต์ ตั้งแต่วันที่มันเริ่มต้นจนถึงบัดนี้
\v 19 บัดนี้จงส่งคนและต้อนฝูงสัตว์และนำทุกสิ่งที่เจ้ามีในทุ่งนาเข้าที่ปลอดภัย เพราะคนทุกคนหรือสัตว์ทุกตัวที่ยังไม่เข้ามาในบ้านจะถูกลูกเห็บตกใส่พวกเขา และพวกเขาจะตาย”’”
\s5
\p
\v 20 จากนั้นบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์ที่เชื่อพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก็รีบนำข้าทาสและฝูงสัตว์เข้ามาอยู่ในบ้าน
\v 21 แต่ผู้ที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก็ปล่อยข้าทาสบริวารและฝูงสัตว์ไว้ในทุ่งนา
\s5
\p
\v 22 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อจะมีลูกเห็บตกทั่วดินแดนอียิปต์ บนคน บนสัตว์ และบนพืชพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่งนาทั่วดินแดนอียิปต์”
\v 23 โมเสสจึงชูไม้เท้าขึ้นสู่ท้องฟ้า พระยาห์เวห์ทรงส่งฟ้าร้อง ลูกเห็บ และฟ้าแลบไปยังที่ดินแดน พระยาห์เวห์จึงได้ทรงกระทำให้ฝนลูกเห็บตกลงในดินแดนอียิปต์
\v 24 ดังนั้นจึงมีลูกเห็บและมีฟ้าแลบปนกับลูกเห็บอย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในดินแดนยิปต์นับตั้งแต่เริ่มเป็นประเทศชาติมา
\s5
\p
\v 25 ทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์นั้น ลูกเห็บได้ซัดกระหน่ำทุกสิ่งที่อยู่ในทุ่งนา ทั้งคนและสัตว์ มันซัดพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในทุ่งนาและหักต้นไม้ทุกต้น
\v 26 ยกเว้นแต่ดินโกเชนซึ่งชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บเลย
\s5
\p
\v 27 แล้วฟาโรห์จึงทรงส่งคนไปเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “คราวนี้เราได้ทำบาป พระยาห์เวห์ทรงเป็นฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด
\v 28 จงวิงวอนพระยาห์เวห์เพราะฟ้าผ่าที่รุนแรง และลูกเห็บที่มากเกินไป แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไปและพวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไป”
\s5
\p
\v 29 โมเสสทูลต่อฟาโรห์ว่า “เมื่อข้าพระองค์ออกจากเมืองไปแล้ว ข้าพระองค์จะยกมือต่อพระยาห์เวห์แล้วฟ้าร้องจะเงียบและจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบว่าโลกนี้เป็นของพระยาห์เวห์
\v 30 แต่ฝ่ายพระองค์กับข้าราชบริพารนั้น ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่แล้วว่ายังคงไม่ยำเกรงพระเจ้าพระยาห์เวห์”
\s5
\p
\v 31 บัดนี้ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์ถูกทำลายย่อยยับ เพราะข้าวบาร์เลย์ชูรวงแล้วและต้นป่านก็กำลังออกดอก
\v 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสเปลต์ไม่ถูกทำลายไป เพราะพวกมันเป็นธัญญพืชรุ่นหลัง
\v 33 เมื่อโมเสสจากฟาโรห์และออกไปนอกเมือง เขายกมือขึ้นฟ้าทูลขอพระยาห์เวห์ ฟ้าร้องและลูกเห็บก็หยุด และไม่มีฝนตกลงมาอีก
\s5
\p
\v 34 เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่า ทั้งฝน ลูกเห็บ และ ฟ้าร้องได้สงบลงแล้ว ทั้งพระองค์และข้าราชบริพารก็กลับทำบาปอีกและทำให้พระทัยของพระองค์แข็งกร้าว
\v 35 พระทัยฟาโรห์ทรงแข็งกร้าว ดังนั้นพระองค์จึงทรงไม่ยอมให้ประชาชนอิสราเอลออกไป นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับโมเสสถึงสิ่งที่ฟาโรห์จะทรงกระทำ
\s5
\c 10
\p
\v 1 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของเขาและใจของบรรดาข้าราชบริพารของเขาแข็งกร้าว เราได้ทำสิ่งนี้เพื่อแสดงหมายสำคัญเหล่านี้แห่งฤทธิ์อำนาจของเราท่ามกลางพวกเขา
\v 2 เราทำสิ่งนี้เพื่อว่าเจ้าจะได้เล่าแก่ลูกและหลานถึงสิ่งที่เราได้ทำ ถึงวิธีที่เรากระทำต่ออียิปต์อย่างรุนแรงและวิธีที่เราได้ให้หมายสำคัญต่างๆ ของอำนาจของเราท่ามกลางพวกเขา ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์”
\s5
\p
\v 3 ดังนั้นโมเสสและอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะปฏิเสธที่จะถ่อมตนต่อเรานานสักเท่าไร? จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อนมัสการเรา
\v 4 แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยประชาชนของเราไป จงฟัง ในวันพรุ่งนี้เราจะนำฝูงตั๊กแตนเข้ามาในดินแดนของเจ้า
\s5
\p
\v 5 พวกมันจะปกคลุมพื้นดินเต็มไปหมดจนไม่มีใครสามารถเห็นพื้นดิน พวกมันจะกินสิ่งใดก็ตามที่เหลือรอดจากลูกเห็บทำลาย พวกมันจะกินต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นเพื่อเจ้าในทุ่งนาด้วย
\v 6 พวกมันจะเข้าไปในบ้านของเจ้า ของข้าราชบริพารทุกคนของเจ้า และของคนอียิปต์ ในสิ่งที่บิดาหรือปู่ของเจ้าไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่วันที่พวกเขาอาศัยบนดินแดนมาจนทุกวันนี้’” แล้วโมเสสก็ออกไปจากฟาโรห์
\s5
\p
\v 7 บรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์ทูลพระองค์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นผู้คุกคามเรานานสักเท่าใด? ขอทรงปล่อยชาวอิสราเอลไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่าอียิปต์ได้พินาศแล้ว?”
\v 8 โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก ผู้ซึ่งตรัสกับพวกเขาว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง?”
\s5
\p
\v 9 โมเสสทูลว่า “พวกข้าพระองค์จะไปกับคนหนุ่ม ผู้อาวุโส ทั้งบรรดาบุตรชายและบุตรหญิง เราจะไปกับฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะพวกข้าพระองค์จะต้องจัดงานเลี้ยงถวายแด่พระยาห์เวห์”
\v 10 ฟาโรห์ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์จงสถิตกับพวกเจ้า ถ้าเราให้พวกเจ้าไปและลูกหลานของเจ้าไปด้วย ดูเถอะ เจ้าต้องมีความชั่วร้ายบางอย่างในใจ
\v 11 ไม่ได้ จงไปได้เฉพาะผู้ชายท่ามกลางพวกเจ้า และนมัสการพระยาห์เวห์ เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ไปจากพระพักตร์ฟาโรห์
\s5
\p
\v 12 แล้วพระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือดินแดนอียิปต์ไปยังฝูงตั๊กแตน เพื่อพวกมันจะได้โจมตีดินแดนอียิปต์และกินพืชพันธุ์ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย”
\v 13 โมเสสจึงชูไม้เท้าของเขาออกเหนือดินแดนอียิปต์ และพระยาห์เวห์ก็ทรงนำลมตะวันออกพัดมาเหนือดินแดนตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อถึงเวลาเช้า ลมตะวันออกก็หอบฝูงตั๊กแตนมา
\s5
\p
\v 14 ฝูงตั๊กแตนลงมาทั่วดินแดนอียิปต์ และเกาะอยู่ทั่วทุกส่วนของอียิปต์ ก่อนนั้นไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่ในดินแดนอย่างนี้เลย และหลังจากนี้ไปก็จะไม่มีอย่างนั้นอีก
\v 15 พวกฝูงตั๊กแตนต่างปกคลุมทั่วพื้นดินแดนทั้งหมด จนกระทั่งทุกอย่างมืดไป พวกมันกินพืชพันธุ์ทุกอย่างในดินแดน และผลไม้จากต้นทั้งหมดซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ทั่วทั้งดินแดนอียิปต์นั้นไม่มีพืชใบเขียวสดเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือพืชพันธุ์ใดในทุ่งนา
\s5
\p
\v 16 แล้วฟาโรห์จึงทรงรีบให้โมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วทรงตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าและต่อเจ้าด้วย
\v 17 บัดนี้ขอเจ้ายกโทษบาปของเราครั้งนี้ และทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา”
\v 18 ดังนั้นโมเสสจึงไปจากฟาโรห์ และทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 19 พระยาห์เวห์จึงทรงนำลมทิศตะวันตกที่รุนแรงมากหอบฝูงตั๊กแตนและไปตกในทะเลต้นกก จนไม่เหลือตั๊กแตนแม้แต่ตัวเดียวตลอดเขตแดนอียิปต์
\v 20 แต่พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกร้าว และฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป
\s5
\p
\v 21 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วดินแดนอียิปต์ เป็นความมืดจนต้องใช้มือคลำ”
\v 22 โมเสสจึงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และก็มีความมืดทึบทั่วดินแดนอียิปต์สามวัน
\v 23 พวกเขามองไม่เห็นซึ่งกันและกันเลย ไม่มีใครออกไปจากบ้านของตนตลอดสามวัน อย่างไรก็ดีบรรดาชาวอิสราเอลทุกคนได้มีแสงสว่างอยู่ในที่ซึ่งพวกเขาอาศัย
\s5
\p
\v 24 ฟาโรห์จึงทรงให้โมเสสเข้าเฝ้าและทรงกล่าวว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์เถิด ให้ครอบครัวไปกับพวกเจ้า แต่ฝูงแพะและแกะจะต้องอยู่ที่นี่”
\v 25 แต่โมเสสทูลว่า “พระองค์ต้องโปรดประทานให้เรามีเครื่องสัตวบูชาทั้งเครื่องเผาบูชาเพื่อว่าพวกข้าพระองค์จะได้ถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์
\v 26 ฝูงสัตว์ของพวกข้าพระองค์จะต้องนำไปกับพวกข้าพระองค์ด้วย แม้เพียงเท้าสัตว์กีบเดียวของพวกมันจะไม่เหลือไว้ ด้วยว่าพวกข้าพระองค์จะต้องเอาสัตว์จากฝูงไปถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ ด้วยว่าพวกข้าพระองค์ยังไม่ทราบว่าจะต้องเอาสัตว์ตัวใดมาถวายพระยาห์เวห์จนกว่าจะถึงที่นั่น”
\s5
\p
\v 27 แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกร้าว และพระองค์จึงไม่ทรงยอมปล่อยพวกเขาไป
\v 28 ฟาโรห์มีรับสั่งกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นจากข้า ระวังให้ดี อย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก ถ้าข้าเห็นหน้าเจ้าวันไหน เจ้าจะตายวันนั้น”
\v 29 โมเสสจึงทูลว่า “พระองค์เองที่เป็นผู้ทรงตรัสว่าข้าพระองค์จะไม่มาเห็นพระพักตร์พระองค์อีก”
\s5
\c 11
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ยังมีภัยพิบัติอีกอย่างที่เราจะนำมาสู่ฟาโรห์และอียิปต์ จากนั้นฟาโรห์จะให้พวกเจ้าไปจากที่นี่ สุดท้ายเมื่อเขาให้พวกเจ้าไป เขาจะขับไล่พวกเจ้าออกจนหมด
\v 2 จงบอกประชาชนทุกคนทั้งชายและหญิงให้ขอเครื่องเงินและเครื่องทองจากเพื่อนบ้านของตน”
\v 3 บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงให้ชาวอียิปต์เมตตาชาวอิสราเอล ยิ่งกว่านั้นโมเสสก็เป็นที่นับถือมากทั้งในสายตาของบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์และของประชาชนอียิปต์
\s5
\p
\v 4 โมเสสกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงตรัสดังนี้ว่า ‘สักประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปทั่วดินแดนอียิปต์
\v 5 บุตรหัวปีทั้งหมดในดินแดนอียิปต์จะตาย ตั้งแต่บุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนบัลลังก์ จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิงผู้อยู่หลังเครื่องโม่แป้งที่กำลังโม่แป้ง และลูกหัวปีของฝูงสัตว์ด้วย
\s5
\p
\v 6 แล้วจะมีการร้องไห้เสียงดังทั่วดินแดนอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
\v 7 และต่อไปภายหน้าจะไม่มีอีกเลย จะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่อิสราเอลคนใดๆ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ ในวิธีนี้เจ้าจะรู้ว่าเราจะปฏิบัติต่ออียิปต์และอิสราเอลแตกต่างกัน’
\v 8 เหล่าข้าราชบริพารทั้งสิ้นของฟาโรห์จะลงมาหาข้าพระองค์และกราบลงที่ข้าพระองค์ พวกเขาจะกล่าวว่า ‘ไปเถิด ขอให้ท่านกับประชาชนที่ติดตามท่านจงไปเสียจากที่นี่เถิด’ หลังจากนั้นข้าพระองค์ก็จะออกไป” แล้วเขาจึงทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธอย่างยิ่ง
\s5
\p
\v 9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ยอมฟังพวกเจ้า นี่ก็เพื่อการที่เราจะทำการอัศจรรย์มากมายในดินแดนอียิปต์”
\v 10 โมเสสกับอาโรนได้ทำการอัศจรรย์เหล่านี้ทั้งสิ้นต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกร้าว และฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยประชาชนอิสราเอลให้ออกไปจากดินแดนของพระองค์
\s5
\c 12
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนในดินแดนอียิปต์ พระองค์ตรัสว่า
\v 2 “สำหรับพวกเจ้า เดือนนี้จะเป็นเดือนเริ่มต้น เป็นเดือนแรกของปี
\s5
\p
\v 3 จงสั่งชุมชนอิสราเอลว่า ‘ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้พวกเขาแต่ละคนเอาลูกแกะหรือแพะหนุ่มมาหนึ่งตัวสำหรับพวกเขาเอง แต่ละครอบครัวก็ทำเช่นนี้คือ ลูกแกะครอบครัวละหนึ่งตัว
\v 4 สำหรับลูกแกะหนึ่งตัวถ้าหากครอบครัวใดมีคนน้อยเกินไป ก็ให้ชายคนนั้นและเพื่อนบ้านของเขาเอาเนื้อลูกแกะหรือแพะหนุ่มที่จะเพียงพอสำหรับจำนวนคน คือจะต้องเพียงพอสำหรับทุกคนที่จะกิน ดังนั้นพวกเขาจะต้องเอาเนื้ออย่างเพียงพอที่จะเลี้ยงพวกเขาทั้งหมด
\s5
\p
\v 5 ลูกแกะหรือแพะหนุ่มของเจ้าต้องไร้ตำหนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี พวกเจ้าอาจเอาแกะหรือแพะมาหนึ่งตัว
\v 6 พวกเจ้าต้องดูแลมันจนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนั้น แล้วให้ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าสัตว์เหล่านั้นในตอนพลบค่ำ
\v 7 พวกเจ้าต้องเอาเลือดบางส่วนมาและทาลงบนเสาประตูทั้งสองข้างและด้านบนของกรอบประตูของบ้านที่พวกเจ้าจะกินเนื้อนั้น
\v 8 พวกเจ้าต้องกินเนื้อคืนนั้นหลังจากย่างไฟครั้งแรก กินเนื้อกับขนมปังไร้เชื้อพร้อมกับบรรดาผักรสขม
\s5
\p
\v 9 อย่ากินเนื้อดิบหรือต้มในน้ำ แต่จงย่างส่วนหัว ส่วนขา และส่วนเครื่องในของมันบนไฟแทน
\v 10 พวกเจ้าต้องกินไม่ให้เหลือเศษจนถึงเวลาเช้า พวกเจ้าต้องเผาเสียถ้ายังมีเศษเหลือในตอนเช้า
\v 11 นี้เป็นวิธีที่พวกเจ้าจะกินมัน ให้คาดเอวด้วยเข็มขัดให้แน่น สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ในมือ พวกเจ้าต้องกินมันอย่างรีบเร่ง การกินนี้คือปัสกาของพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 12 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ เราจะผ่านไปในดินแดนอียิปต์ในคืนนั้น สังหารบุตรหัวปีของคนและสัตว์ทั้งหมดในดินแดนอียิปต์ เราจะนำการลงโทษมายังบรรดาพระของอียิปต์ทั้งหมด เราเป็นพระยาห์เวห์
\v 13 เลือดจะเป็นเครื่องหมายอยู่บนบ้านของพวกเจ้าเมื่อเรามาหาพวกเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้น เราจะผ่านพวกเจ้าไปในขณะที่เราโจมตีดินแดนอียิปต์ ภัยพิบัตินี้จะไม่เกิดกับพวกเจ้าและทำลายพวกเจ้า
\v 14 วันนี้จะกลายเป็นวันที่ระลึกแด่พวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องถือปฏิบัติให้เป็นเทศกาลสำหรับพระยาห์เวห์ และมันจะเป็นบัญญัติสำหรับพวกเจ้าเสมอตลอดชั่วยุคสมัยของพวกเจ้าที่พวกเจ้าต้องถือปฏิบัติในวันนี้
\s5
\p
\v 15 พวกเจ้าจะต้องกินขนมปังไร้เชื้อในระหว่างเจ็ดวันนี้ ในวันแรกพวกเจ้าจะต้องเอาเชื้อออกจากบ้านของพวกเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด คนนั้นจะต้องถูกตัดออกจากการเป็นคนอิสราเอล
\v 16 จะต้องมีการชุมนุมที่เตรียมไว้สำหรับเราในวันแรก และในวันที่เจ็ดจะต้องมีการชุมนุมเช่นเดียวกันนี้ จะต้องไม่ทำงานในวันเหล่านี้ ยกเว้นการปรุงอาหารให้ทุกคนกิน นี่เป็นงานเดียวเท่านั้นที่พวกเจ้ากระทำได้
\s5
\p
\v 17 พวกเจ้าต้องถือปฏิบัติเทศกาลขนมปังไร้เชื้อนี้ เพราะในวันนี้เองที่เราจะได้นำประชาชน พลโยธาแต่ละกลุ่ม ออกจากดินแดนอียิปต์ ดังนั้นพวกเจ้าต้องถือปฏิบัติวันนี้ตลอดชั่วยุคสมัยของพวกเจ้า นี้เป็นบัญญัติตลอดไปสำหรับพวกเจ้า
\v 18 พวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อตั้งแต่ในตอนพลบค่ำของวันที่สิบสี่เดือนแรกของปี จนถึงพลบค่ำวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือน
\s5
\p
\v 19 ระหว่างเจ็ดวันเหล่านี้ จะต้องไม่มีเชื้อให้เห็นในบ้านของพวกเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กินขนมปังใส่เชื้อจะต้องถูกตัดออกจากชุมชนอิสราเอล แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนต่างด้าวหรือคนที่เกิดในดินแดนของเจ้าก็ตาม
\v 20 พวกเจ้าต้องไม่กินสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยเชื้อ ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตามพวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อ’”
\s5
\p
\v 21 แล้วโมเสสจึงเรียกพวกผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอลมาพบและพูดกับพวกเขาว่า “จงไปและเลือกลูกแพะหรือลูกแกะที่จะเพียงพอสำหรับเลี้ยงครอบครัวของพวกเจ้าและฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา
\v 22 แล้วไปเอากิ่งหุสบมาหนึ่งกำและจุ่มมันลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง ใช้เลือดในอ่างป้ายด้านบนของขอบประตูและเสาประตูทั้งสองข้าง ไม่ให้ผู้ใดในพวกเจ้าออกไปนอกประตูบ้านจนกว่ารุ่งเช้า
\s5
\p
\v 23 เพราะพระยาห์เวห์จะดำเนินผ่านไปเพื่อจะสังหารชาวอียิปต์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดที่ด้านบนของกรอบประตูและทั้งสองข้างของเสาประตู พระองค์จะทรงผ่านเว้นประตูพวกเจ้า และจะไม่ทรงให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านพวกเจ้าเพื่อจะสังหารเจ้า
\s5
\p
\v 24 พวกเจ้าจงถือเหตุการณ์นี้ ให้เป็นบัญญัติถาวรของพวกเจ้าและของลูกหลานพวกเจ้า
\v 25 เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงประทานแก่พวกเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ พวกเจ้าต้องถือพิธีปฏิบัติการนมัสการนี้
\s5
\p
\v 26 เมื่อลูกของพวกเจ้าถามว่า ‘พิธีปฏิบัติการนมัสการนี้หมายความว่าอะไร?
\v 27 แล้วให้พวกเจ้าจงตอบว่า ‘เป็นการถวายเครื่องบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงผ่านเว้นบ้านของคนอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงสังหารคนอียิปต์ พระองค์ทรงไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’” แล้วประชาชนก็กราบลงนมัสการพระยาห์เวห์
\v 28 คนอิสราเอลจึงไปและทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสสและอาโรน
\s5
\p
\v 29 พระยาห์เวห์ได้ทรงสังหารบุตรหัวปีทุกคนในดินแดนอียิปต์ในเวลาเที่ยงคืน ตั้งแต่บุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ได้ประทับบนบัลลังก์ จนถึงบุตรหัวปีของนักโทษที่อยู่ในคุกและลูกหัวปีของฝูงสัตว์เลี้ยงทุกตัว
\v 30 ฟาโรห์กับพวกข้าราชบริพาร และคนอียิปต์ทุกคนได้ตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีการร่ำไห้ครวญครางเสียงดังทั่วในอียิปต์ เพราะไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย
\s5
\p
\v 31 ในคืนนั้น ฟาโรห์ทรงเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาพบ และทรงกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองกับคนอิสราเอล ลุกขึ้นซะและออกไปให้พ้นจากคนของเรา ไปนมัสการพระยาห์เวห์ตามที่เจ้าต้องการที่จะทำ
\v 32 เอาฝูงแกะ แพะ และฝูงโคของพวกเจ้าไปด้วยตามที่เจ้าได้พูดไว้ จงไป และอวยพรเราด้วย
\v 33 ฝ่ายคนอียิปต์ก็ได้เร่งเร้าให้พวกเขาออกไปจากดินแดนโดยไว เพราะพวกเขาพูดว่า “พวกเราตายกันหมดแล้ว”
\s5
\p
\v 34 ดังนั้นประชาชนจึงนำเอาก้อนแป้งที่ไร้เชื้อไป อ่างขยำแป้งของพวกเขาได้ห่อผ้าและใส่บนบ่าของพวกเขาแบกไป
\v 35 ประชาชนอิสราเอลได้ทำตามที่โมเสสได้สั่งไว้ พวกเขาได้ขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องนุ่งห่มจากคนอียิปต์
\v 36 พระยาห์เวห์ทรงกระทำให้คนอิสราเอลเป็นที่พอใจแก่คนอียิปต์ ดังนั้นคนอียิปต์จึงได้ให้สิ่งของตามที่พวกเขาได้ขอ ด้วยวิธีนี้คนอิสราเอลจึงได้ริบเอาสิ่งของต่างๆ จากคนอียิปต์ไป
\s5
\p
\v 37 คนอิสราเอลจึงออกเดินทางจากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคท มีผู้ชายเดินเท้าประมาณ 600,000 คน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก
\v 38 มีคนชาติอื่นที่ไม่ใช่คนอิสราเอลติดตามไปด้วย ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงโคจำนวนมากมาย
\v 39 พวกเขาปิ้งขนมปังไร้เชื้อจากก้อนแป้งดิบไร้เชื้อที่พวกเขาเอามาจากอียิปต์ ที่ไม่ใส่เชื้อเพราะพวกเขาได้เร่งเร้าให้ออกจากอียิปต์ และไม่อาจล่าช้าเพื่อเตรียมอาหาร
\v 40 คนอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาทั้งสิ้น 430 ปี
\s5
\p
\v 41 ในวันนั้นเองเมื่อครบ 430 ปี พลโยธาทั้งหมดของพระยาห์เวห์ได้เดินทางออกจากดินแดนอียิปต์
\v 42 คืนวันนี้เป็นคืนที่ต้องเฝ้าระวังเพราะพระยาห์เวห์จะนำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ นี่เป็นคืนแห่งพระยาห์เวห์ที่คนอิสราเอลตลอดจนถึงยุคลูกหลานทุกคนต้องถือปฏิบัติ
\s5
\p
\v 43 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “ระเบียบพิธีปัสกาเป็นดังนี้ คืออย่าให้คนต่างชาติร่วมกิน
\v 44 อย่างไรก็ดี ทาสคนอิสราเอลทุกคนซึ่งเอาเงินซื้อมา อาจกินได้ หลังจากเจ้าให้เขาเข้าสุหนัตแล้ว
\s5
\p
\v 45 คนต่างด้าวหรือลูกจ้างต้องไม่ให้กินอาหารใดๆ
\v 46 อาหารนั้นให้กินแต่ในบ้านของตน เจ้าต้องไม่นำเนื้อไปนอกบ้าน และไม่หักกระดูกของมัน
\s5
\p
\v 47 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดต้องทำพิธีนี้
\v 48 หากถ้ามีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และต้องการจะทำพิธีปัสกาถวายพระยาห์เวห์ จงให้คนเหล่านั้นทุกคนเข้าสุหนัตก่อน แล้วจึงให้เขามาและทำตามพิธีได้ เขาจะเป็นเหมือนคนที่เกิดในดินแดนนั้น แต่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต จะกินอาหารใดๆ ไม่ได้
\s5
\p
\v 49 บทบัญญัตินี้จะต้องปฏิบัติแบบเดียวกันทั้งคนพื้นเมืองและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า”
\v 50 คนอิสราเอลทุกคนได้ปฏิบัติตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมีรับสั่งแก่โมเสสและอาโรน
\v 51 ในวันนั้นเองพระยาห์เวห์ได้ทรงนำชาวอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์โดยแยกเป็นขบวนพลโยธา
\s5
\c 13
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 “จงแยกลูกหัวปีทั้งหมดไว้ให้เรา สิ่งที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกเพศผู้ทุกชนิดของอิสราเอลไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ลูกหัวปีนั้นเป็นของเรา”
\s5
\p
\v 3 โมเสสกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงจดจำถึงวันนี้ที่พวกเจ้าได้ออกจากเรือนทาสในอียิปต์” เพราะพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงนำพวกเจ้าออกจากที่แห่งนี้ อย่ากินขนมปังที่มีเชื้อเลย
\v 4 พวกเจ้าได้ออกไปจากอียิปต์วันนี้ ในเดือนอาบีบ
\v 5 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเจ้ามาถึงดินแดนของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนฮีไวต์ และคนเยบุส ดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเจ้าว่าจะมอบให้พวกเจ้าเป็นดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งอุดมสมบูรณ์ พวกเจ้าจงถือพิธีปฏิบัติการนมัสการนี้ในเดือนนี้
\s5
\p
\v 6 เป็นเวลาเจ็ดวันพวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อ ในวันที่เจ็ดจงมีเทศกาลเลี้ยงเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์
\v 7 จงกินขนมปังไร้เชื้อตลอดทั้งเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังที่มีเชื้อในหมู่พวกเจ้า อย่าให้เห็นเชื้อใดๆ ตามอาณาเขตของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 8 ในวันนั้นจงบอกบรรดาบุตรของพวกเจ้าว่า ‘การทำสิ่งนี้ก็เพราะพระยาห์เวห์ทรงกระทำเพื่อพวกเราขณะที่พวกเราออกจากอียิปต์’
\v 9 สิ่งนี้จะเป็นดังสิ่งเตือนใจที่มือของพวกเจ้าและที่หน้าผากของพวกเจ้า ก็เพื่อพระบัญญัติของพระยาห์เวห์จะได้อยู่ในปากของพวกเจ้า เพราะด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงนำพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์
\v 10 ฉะนั้นเจ้าจงรักษากฎเกณฑ์นี้ตามกำหนดทุกๆ ปีไป
\s5
\p
\v 11 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเจ้าไปยังดินแดนของคนคานาอันดังที่ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าที่จะทรงกระทำ พระองค์จะประทานดินแดนนั้นแก่พวกเจ้า
\v 12 พวกเจ้าจงถวายลูกหัวปีจากทุกครรภ์แด่พระยาห์เวห์ ลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ทุกตัวในฝูงสัตว์ของพวกเจ้าเป็นของพระยาห์เวห์
\v 13 ลูกลาหัวปีทุกตัว พวกเจ้าต้องซื้อคืนด้วยลูกแกะ ถ้าพวกเจ้าไม่ซื้อคืนท่านจงหักคอมัน แต่บุตรชายหัวปีของพวกเจ้าในท่ามกลางบุตรชายทั้งหมดของพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายต้องซื้อพวกเขาคืนมา
\s5
\p
\v 14 เมื่อต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรชายของพวกเจ้าถามว่า ‘การทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร? ก็ให้พวกเจ้าตอบเขาว่า ‘เป็นเพราะพระหัตถ์อันเข้มแข็งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์จากเรือนทาส
\v 15 แต่เมื่อฟาโรห์ดื้อดึงไม่ยอมปล่อยพวกเราออกมา พระยาห์เวห์จึงทรงสังหารลูกหัวปีทั้งหมดในดินแดนอียิปต์ ทั้งลูกหัวปีของคนและลูกหัวปีของสัตว์ นั่นเป็นเหตุที่พ่อถวายบูชาตัวผู้ทุกตัวที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกแด่พระยาห์เวห์ แต่เป็นเหตุว่าทำไมพ่อจึงซื้อบุตรชายหัวปีทั้งหมดของพ่อกลับคืน’
\v 16 สิ่งนี้จะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจบนมือและบนหน้าผากของพวกเจ้า เพราะด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์”
\s5
\p
\v 17 เมื่อฟาโรห์ทรงปล่อยพวกประชาชนไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงนำพวกเขาไปทางดินแดนของคนฟีลิสเตีย แม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าทรงกล่าวว่า “บางทีเมื่อประชาชนไปเผชิญสงครามเข้า บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์อีก”
\v 18 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงนำประชาชนอ้อมไปทางแดนทุรกันดารจนถึงทะเลต้นกก คนอิสราเอลก็ออกจากดินแดนอียิปต์พร้อมอาวุธทำสงคราม
\s5
\p
\v 19 โมเสสได้เอากระดูกของโยเซฟไปกับท่านด้วย เพราะโยเซฟได้ให้คนอิสราเอลปฏิญาณอย่างจริงจังและกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงช่วยกู้พวกเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจงเอากระดูกของเราไปกับพวกเจ้าด้วย”
\v 20 พวกอิสราเอลเดินทางออกจากเมืองสุคคท และตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ริมขอบของแดนทุรกันดาร
\v 21 พระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง เพื่อให้พวกเขามีแสงสว่าง ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
\v 22 พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเอาเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนออกจากเบื้องหน้าประชาชนเลย
\s5
\c 14
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 “จงสั่งบรรดาคนอิสราเอลว่า พวกเขาควรย้อนกลับและตั้งค่ายหน้าปิหะหิโรท ระหว่างมิกดลกับทะเล หน้าบาอัลเซโฟน พวกเจ้าจงตั้งค่ายบริเวณริมทะเลตรงข้ามปิหะหิโรท
\v 3 ฟาโรห์จะกล่าวถึงคนอิสราเอลว่า ‘พวกเขากำลังพเนจรในดินแดน แดนทุรกันดารได้ขวางกั้นพวกเขา’
\s5
\p
\v 4 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกร้าว และเขาจะไล่ตามพวกเจ้า เราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์และกองทัพทั้งสิ้นของเขา คนอียิปต์จะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์” ดังนั้นคนอิสราเอลได้ตั้งค่ายดังที่พวกเขาได้รับคำสั่ง
\v 5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทรงทราบว่าคนอิสราเอลหนีไปแล้ว ท่าทีของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ก็เปลี่ยนไปเป็นศัตรูต่อประชาชน พวกเขาพูดว่า “ พวกเราปล่อยอิสราเอลไปเฉยๆ แทนที่จะทำงานรับใช้เรา พวกเราทำอะไรลงไป?”
\s5
\p
\v 6 แล้วฟาโรห์ก็ทรงเตรียมพร้อมเหล่ารถม้าและนำกองทัพไปกับพระองค์
\v 7 พระองค์ทรงนำรถม้าหกร้อยคันกับรถม้าอื่นๆ อีกทั้งหมดของอียิปต์ พร้อมบรรดานายทหารประจำอยู่ทุกคัน
\v 8 พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์แข็งกร้าว และกษัตริย์ทรงติดตามคนอิสราเอลไป บัดนี้คนอิสราเอลหนีออกไปด้วยชัยชนะ
\v 9 แต่คนอียิปต์ได้ติดตามพวกเขาไป พร้อมม้า รถม้า พลม้า และกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ พวกเขาติดตามไปทันคนอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่บริเวณริมทะเลตรงข้ามปิหะหิโรท หน้าบาอัลเซโฟน
\s5
\p
\v 10 เมื่อฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ คนอิสราเอลก็ได้เงยหน้าขึ้นดูและประหลาดใจ คนอียิปต์กำลังยกกองทัพติดตามมาด้านหลังพวกเขา และพวกเขาก็หวาดกลัวยิ่งนัก คนอิสราเอลจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์
\v 11 พวกเขาได้บอกโมเสสว่า “ในอียิปต์หลุมฝังศพไม่มีหรือ ท่านจึงได้เอาพวกเราออกมาเพื่อตายในแดนทุรกันดารนี้? ทำไมท่านจึงทำกับพวกเราเช่นนี้คือพาพวกเราออกมาจากอียิปต์?
\v 12 พวกเราไม่ใช่หรือบอกท่านแล้วในอียิปต์? พวกเราได้บอกต่อท่านว่า ‘จงปล่อยพวกเราไว้ ให้พวกเรารับใช้คนอียิปต์เถิด’ การทำงานให้พวกเขาก็ยังดีกว่าพวกเรามาตายในแดนทุรกันดาร”
\s5
\p
\v 13 โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย จงสงบไว้และคอยดูการช่วยกู้ที่พระยาห์เวห์จะทรงทำเพื่อพวกเจ้าในวันนี้ เพราะพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้อีก
\v 14 พระยาห์เวห์จะทรงต่อสู้เพื่อพวกเจ้าและพวกเจ้าเพียงยืนนิ่งเถิด”
\s5
\p
\v 15 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส ทำไมเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเราอีกเล่า? จงสั่งคนอิสราเอลให้เดินหน้าต่อไป
\v 16 จงยกไม้เท้าของเจ้าขึ้น แล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเลและทำให้ทะเลนั้นแยกออกเป็นสองส่วน เพื่อว่าคนอิสราเอลจะเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้
\v 17 จงรู้ว่าเราก็จะทำให้ใจคนอียิปต์แข็งกร้าวแล้วตามพวกเจ้ามา เราจะได้รับการยกย่องเพราะฟาโรห์และกองกำลัง รถม้า และพลม้าทั้งหมดของเขา
\v 18 เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะรถม้าและพลม้าของฟาโรห์แล้ว คนอียิปต์จะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์”
\s5
\p
\v 19 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งนำหน้าอิสราเอลก็กลับไปอยู่ข้างหลัง เสาเมฆเคลื่อนจากข้างหน้าและก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขา
\v 20 เสาเมฆมาอยู่ระหว่างค่ายของอียิปต์และค่ายของอิสราเอล เป็นเมฆมืดแก่คนอียิปต์ แต่เป็นแสงสว่างในเวลากลางคืนแก่คนอิสราเอล โดยแต่ละฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้กันทั้งคืน
\s5
\p
\v 21 โมเสสได้ยื่นมือออกเหนือทะเล พระยาห์เวห์ได้ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมให้น้ำทะเลไหลกลับตลอดคืน และทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง โดยวิธีนี้น้ำทะเลได้แยกออกจากกัน
\v 22 คนอิสราเอลจึงพากันเดินผ่านกลางทะเลบนดินแห้ง น้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงขึ้นมาสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
\s5
\p
\v 23 คนอียิปต์จึงไล่ตามไป คนอียิปต์ได้ตามหลังพวกเขาไปถึงกลางทะเล ทั้งม้า รถม้าและพลม้าทั้งสิ้นของฟาโรห์
\v 24 แต่เมื่อเวลาย่ำรุ่งพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นกองทัพของอียิปต์ พระองค์ทรงทำให้คนอียิปต์เกิดโกลาหล
\v 25 ล้อรถม้าติดและพลม้าขับด้วยความลำบาก ดังนั้นคนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้พวกเราหนีจากคนอิสราเอลเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์เพื่อพวกเขา”
\s5
\p
\v 26 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถม้าและพลม้าของพวกเขา”
\v 27 ดังนั้นโมเสสจึงยื่นมือออกเหนือทะเล เมื่อรุ่งเช้าทะเลก็ไหลกลับดังเดิม คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระยาห์เวห์ทรงกวาดคนอียิปต์ลงกลางทะเล
\v 28 น้ำทะเลไหลกลับท่วมรถม้าและพลม้า และกองทัพทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งตามพวกเขาเข้าไปในทะเล ไม่มีใครรอดชีวิต
\s5
\p
\v 29 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคนอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางทะเล น้ำทะเลตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
\v 30 ด้วยเหตุนี้ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงโปรดช่วยให้คนอิสราเอลรอดพ้นจากเงื้อมมือคนอียิปต์ และคนอิสราเอลก็ได้เห็นศพคนอียิปต์อยู่ที่ชายทะเล
\v 31 เมื่อคนอิสราเอลเห็นฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ซึ่งพระยาห์เวห์ที่ทรงทำต่อชาวอียิปต์ ประชาชนจึงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเขาไว้วางใจพระยาห์เวห์และในโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
\s5
\c 15
\p
\v 1 แล้วโมเสสกับประชาชนอิสราเอลได้ร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ พวกเขาร้องว่า “ข้าพระองค์จะร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
\s5
\p
\v 2 พระยาห์เวห์นั้นทรงเป็นพลังและเพลงของข้าพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าแห่งบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์
\v 3 พระยาห์เวห์ทรงเป็นนักรบ พระยาห์เวห์คือพระนามของพระองค์
\s5
\p
\v 4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถม้าและกองทัพของฟาโรห์ลงทะเล นายทหารชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลต้นกก
\v 5 น้ำได้ท่วมพวกเขามิด พวกเขาได้จมลงลึกเหมือนก้อนหิน
\s5
\p
\v 6 พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงบดขยี้ศัตรู
\v 7 ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำศัตรูของพระองค์ พระองค์ทรงส่งพระพิโรธของพระองค์เผาไหม้พวกเขาอย่างเผาตอข้าว
\v 8 โดยลมที่ระบายจากพระนาสิกของพระองค์ น้ำทะเลก็รวมตัวเป็นกองสูง น้ำลึกที่ใจกลางของทะเลก็แข็งตัว
\s5
\p
\v 9 ข้าศึกพูดว่า ‘ข้าจะติดตาม ข้าจะไล่ให้ทัน ข้าจะแบ่งของริบกัน ข้าจะพอใจที่ได้ทำกับพวกเขาสมดังใจ ข้าจะดึงดาบออก มือข้าจะทำลายพวกเขา’
\v 10 แต่พระองค์ทรงเป่าด้วยลมของพระองค์ และน้ำทะเลได้ท่วมพวกเขา พวกเขาจึงจมลงเหมือนตะกั่วในกระแสน้ำทะเลอันยิ่งใหญ่
\v 11 ในบรรดาพระต่างๆ พระไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า? พระยาห์เวห์ พระไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงสง่าผ่าเผยในความศักดิ์สิทธิ์ น่าถวายพระเกียรติด้วยคำสรรเสริญ และทรงทำการมหัศจรรย์?
\s5
\p
\v 12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาของพระองค์ออก และดินแดนก็กลืนพวกเขา
\v 13 ในความสัตย์ซื่อในพันธสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงนำประชาชนซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ไว้ ด้วยพระอานุภาพ พระองค์ทรงพาพวกเขามาถึงที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์สถิต
\s5
\p
\v 14 ประชาชนทั้งหลายจะได้ยิน และพวกเขาจะสะทกสะท้าน ความหวาดกลัวก็จะเกาะกุมชาวฟีลิสเตีย
\v 15 ครั้งนั้นพวกเจ้านายแห่งเอโดมจะพากันหวาดผวา พวกทหารแห่งโมอับจะตัวสั่น คนคานาอันทั้งปวงจะละลายไป
\s5
\p
\v 16 ความสยดสยองและความกลัวจะอุบัติขึ้นในพวกเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ พวกเขาจะหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน จนกว่าประชาชนของพระองค์ผ่านไป ข้าแต่พระยาห์เวห์ จนกว่าประชาชนซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ไว้แล้วผ่านไป
\s5
\p
\v 17 พระองค์จะทรงนำพวกเขา และให้เขาตั้งบนภูเขาที่เป็นทรัพย์สินของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้เป็นที่เพื่อสถิต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า สถานนมัสการ ที่ซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ทรงตั้งไว้
\v 18 พระยาห์เวห์จะทรงครอบครองอยู่ตลอดไป”
\s5
\p
\v 19 เมื่อบรรดาม้ากับรถม้าและพลม้าของฟาโรห์ลงไปในทะเล พระยาห์เวห์ก็ทรงให้น้ำทะเลไหลมาท่วมพวกเขา แต่คนอิสราเอลเดินไปบนดินแห้งที่ตรงกลางทะเล
\v 20 มิเรียมผู้เผยพระวจนะหญิง พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และบรรดาหญิงทั้งหมดก็ถือรำมะนาเต้นรำไปพร้อมกับเธอ
\v 21 มิเรียมร้องเพลงตอบพวกเขาว่า “จงถวายเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ทรงได้ชนะอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาม้าและพลม้าพระองค์ทรงกวาดลงในทะเล”
\s5
\p
\v 22 ต่อมาเมื่อโมเสสนำคนอิสราเอลออกจากทะเลต้นกก พวกเขาไปยังแดนทุรกันดารชูร์ พวกเขาเดินทางไปในแดนทุรกันดารสามวันและไม่พบน้ำเลย
\v 23 จากนั้นพวกเขามาถึงตำบลมาราห์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถดื่มน้ำที่นั้นได้ เพราะน้ำขม เพราะฉะนั้นจึงเรียกสถานที่นั้นว่า มาราห์
\s5
\p
\v 24 ดังนั้นประชาชนก็พากันบ่นต่อว่าโมเสสและกล่าวว่า “เราจะเอาอะไรดื่ม?”
\v 25 โมเสสร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์จึงทรงชี้ให้โมเสสเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อโมเสสโยนมันลงน้ำ น้ำก็หวานดื่มได้ ที่แห่งนั้นพระยาห์เวห์ประทานกฎหมายที่เข้มงวดไว้และที่นั่นพระองค์ทรงทดสอบพวกเขา
\v 26 พระองค์ตรัสว่า “ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงของพระยาห์เวห์อย่างตั้งใจ พระเจ้าของพวกเจ้า และทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ และถ้าพวกเจ้าใช้หูฟังคำสั่งของพระองค์ และรักษากฎหมายของพระองค์ทุกข้อ เราจะไม่ให้โรคต่างๆ ซึ่งเราให้เกิดแก่คนอียิปต์นั้นเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเลย เพราะเราเป็นพระยาห์เวห์ผู้ทรงเยียวยาพวกเจ้า”
\s5
\p
\v 27 แล้วประชาชนมาถึงเอลิม ที่นั่นมีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ และมีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายที่ใกล้บ่อน้ำนั้น
\s5
\c 16
\p
\v 1 ประชาชนเดินทางออกจากเอลิม และชุมชนของอิสราเอลก็มาถึงแดนทุรกันดารสิน ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง หลังจากออกดินแดนอียิปต์
\v 2 ชุมชนทั้งหมดของอิสราเอลพากันต่อว่าโมเสสและอาโรนในแดนทุรกันดาร
\v 3 คนอิสราเอลกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าหากขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารจนอื่มแล้วพวกเราก็ตายในดินแดนอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ยังดีกว่า เนื่องจากพวกเจ้ากลับนำพวกเราออกมายังแดนทุรกันดารนี้ เพื่อจะฆ่าชุมชนทั้งหมดด้วยความหิวเท่านั้น”
\s5
\p
\v 4 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะให้อาหารตกลงมาเหมือนฝนจากท้องฟ้า แล้วประชาชนจะออกไปและเก็บแต่พอกินเฉพาะหนึ่งวัน เพื่อว่าเราจะทดสอบพวกเขาว่า พวกเขาจะดำเนินตามบัญญัติของเราหรือไม่
\v 5 ต่อมาในวันที่หก พวกเขาจะเก็บมานาเพิ่มเป็นสองเท่าของวันอื่นๆ ก่อนหน้านี้ และพวกเขาจะปรุงอาหารด้วยสิ่งที่เขานำมา”
\s5
\p
\v 6 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงบอกประชาชนอิสราเอลทั้งหมดว่า “พวกเจ้าจะได้รู้ในเวลาเย็นว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์
\v 7 ในเวลาเช้าพวกเจ้าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำที่ท่านเรียกร้องพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นใครเล่าพวกเจ้าจึงมาเรียกร้องต่อพวกเรา?”
\v 8 โมเสสจึงกล่าวอีกว่า “พวกเจ้าจะได้รู้ว่าในเวลาเย็นพระยาห์เวห์ประทานเนื้อให้พวกเจ้าและในเวลาเช้าจะประทานอาหารให้พวกเจ้ากินจนอิ่ม เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกเจ้าต่อว่าพระองค์ ข้าพเจ้าและอาโรนเป็นใครเล่า? พวกเจ้าไม่ได้เรียกร้องพวกเรา แต่พวกเจ้าได้เรียกร้องพระยาห์เวห์”
\s5
\p
\v 9 โมเสสกล่าวกับอาโรนว่า “จงบอกชุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นว่า ‘จงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกเจ้าแล้ว’”
\v 10 ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวกับชุมชนอิสราเอลทั้งหมดอยู่นั้น พวกเขาได้มองไปทางแดนทุรกันดาร และดูเถิด ความรุ่งโรจน์ของพระยาห์เวห์มีในเมฆ
\v 11 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 12 “เราได้ยินคำบ่นของประชาชนอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ในเวลาเย็นพวกเจ้าจะได้กินเนื้อ และในเวลาเช้าเจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’”
\s5
\p
\v 13 ครั้นถึงเวลาเย็น ฝูงนกคุ่มได้บินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างรอบค่าย
\v 14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว มีเกล็ดเหมือนน้ำค้างแข็งอยู่บนพื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น
\v 15 เมื่อประชาชนอิสราเอลได้เห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ?” เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า “นี่เป็นอาหารที่พระยาห์เวห์ทรงให้พวกเจ้ากิน
\s5
\p
\v 16 สิ่งนี่เป็นคำสั่งที่พระยาห์เวห์ทรงให้ไว้คือ ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ตามจำนวนของแต่ละคน นี่คือวิธีที่ท่านจะเก็บ จงเก็บพอกินสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ของพวกเจ้า’”
\v 17 ประชาชนอิสราเอลก็ทำตามสิ่งนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย
\v 18 เมื่อพวกเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน แต่ละคนเก็บได้เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขา
\s5
\p
\v 19 แล้วโมเสสสั่งพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเก็บเหลือไว้จนเช้า”
\v 20 อย่างไรก็ตาม แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็น แล้วโมเสสจึงโกรธพวกเขา
\v 21 พวกเขารวบรวมทุกๆ เช้า เท่าที่คนหนึ่งพอกินได้ในวันนั้น พอแดดเริ่มร้อน มันก็ละลาย
\s5
\p
\v 22 ต่อมาเมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารสองเท่าคือคนละสองโอเมอร์ ผู้นำทั้งหมดของชุมชนจึงเข้ามาและบอกโมเสส
\v 23 โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงสั่งว่า ‘พรุ่งนี้เป็นการหยุดอย่างจริงจัง เป็นสะบาโตบริสุทธิ์ถวายแด่พระยาห์เวห์ จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง และจะต้มอะไรก็ให้ต้มเสียตามที่พวกเจ้าต้องการ ส่วนที่เหลือทั้งหมดของพวกเจ้า จงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’”
\s5
\p
\v 24 เมื่อพวกเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้นตามที่โมเสสแนะนำ อาหารนั้นไม่บูดและไม่มีหนอนในนั้น
\v 25 โมเสสบอกว่า “จงกินอาหารนั้นในวันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตถวายเกียรติพระยาห์เวห์ วันนี้พวกเจ้าจะไม่พบอาหารเช่นนั้นในทุ่งนา
\s5
\p
\v 26 พวกเจ้าจะเก็บอาหารระหว่างหกวันเว้นในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโต ในวันสะบาโตจะไม่มีมานา”
\v 27 ในวันที่เจ็ด คนบางคนได้ออกไปเก็บมานา แต่พวกเขาก็ไม่พบ
\s5
\p
\v 28 แล้วพระยาห์เวห์ทรงตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะปฎิเสธคำสั่งและพระบัญญัติของเราไปนานสักเท่าใด?
\v 29 ดูเถิด พระยาห์เวห์ทรงประทานวันสะบาโตกับพวกเจ้า นั่นเป็นเหตุว่าในวันที่หกพระองค์จะทรงให้อาหารให้พอสำหรับสองวัน ให้แต่ละคนพักในที่ของตน อย่าให้ใครออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย”
\v 30 ดังนั้นประชาชนจึงได้พักในวันที่เจ็ด
\s5
\p
\v 31 ประชาชนอิสราเอลเรียกอาหารนั้น ว่า “มานา” เป็นเม็ดสีขาวเหมือนเมล็ดผักชี และมีรสเหมือนขนมปังกรอบที่ผสมน้ำผึ้ง
\v 32 โมเสสกล่าวว่า “นี่คือคำบัญชาของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงเอามานาหนึ่งโอเมอร์ เก็บไว้ตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า เพื่อลูกหลานจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงพวกเจ้าในแดนทุรกันดาร หลังจากเรานำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์’”
\s5
\p
\v 33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “จงเอาหม้อลูกหนึ่งและเอามานาหนึ่งโอเมอร์ใส่เก็บไว้ ให้เก็บรักษามานาไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ชั่วลูกชั่วหลานของพวกเจ้า”
\v 34 ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส อาโรนจึงวางหม้อมานาข้างหีบพันธสัญญา
\v 35 ประชาชนอิสราเอลกินมานาสี่สิบปีจนกระทั่งพวกเขามาถึงดินแดนที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนดินแดนคานาอัน
\v 36 หนึ่งโอเมอร์นั้นเท่ากับหนึ่งในสิบเอฟาห์
\s5
\c 17
\p
\v 1 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากแดนทุรกันดารสินตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาตั้งค่ายที่เรฟีดิม แต่ที่นั่นไม่มีน้ำให้ผู้คนดื่ม
\v 2 ดังนั้นประชาชนจึงต่อว่าโมเสสถึงสถานการณ์ของพวกเขาและพูดว่า “หาน้ำพวกเราดื่มซิ” โมเสสจึงบอกว่า “พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม? ทำไมพวกเจ้าทดสอบพระยาห์เวห์?”
\v 3 ผู้คนกระหายน้ำมาก และพวกเขาเรียกร้องกับโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงได้พาพวกเราออกจากอียิปต์? มาเพื่อให้พวกเรา ทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของพวกเราอดน้ำตายหรือ?”
\s5
\p
\v 4 แล้วโมเสสจึงร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไรดีกับคนพวกนี้ดี? พวกเขาเกือบเอาหินขว้างข้าพระองค์”
\v 5 พระยาห์เวห์จึงทรงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และนำพวกผู้อาวุโสบางคนของอิสราเอลไปกับเจ้า จงเอาไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำนั้นไปด้วย
\v 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่น บนหินที่ภูเขาโฮเรบ และเจ้าจะตีหินนั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาจากหินให้ประชาชนดื่ม” แล้วโมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล
\v 7 ท่านเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์ และเมรีบาห์ เพราะคำต่อว่าของคนอิสราเอลและเพราะพวกเขาได้ทดสอบองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยพูดว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเราจริงหรือ?”
\s5
\p
\v 8 แล้วกองทัพคนอามาเลขได้ยกมาและจู่โจมคนอิสราเอลที่เรฟีดิม
\v 9 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งโยชูวาว่า “จงเลือกผู้ชายบางคนและออกไป เพื่อสู้รบกับคนอามาเลข จงสู้รบกับคนอามาเลข พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะยืนบนยอดเขาพร้อมกับถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือ”
\v 10 ดังนั้นโยชูวาได้ต่อสู้กับคนอามาเลขตามคำสั่งของโมเสส ขณะที่โมเสส อาโรน และเฮอร์ขึ้นไปบนยอดเขานั้น
\s5
\p
\v 11 ขณะที่โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบ เมื่อท่านลดมือลงเมื่อไรพวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
\v 12 เมื่อมือของโมเสสเมื่อยล้า อาโรนกับเฮอร์จึงนำก้อนหินมาและวางให้โมเสสนั่ง ในเวลาเดียวกันอาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง ดังนั้นมือทั้งคู่ของโมเสสจึงชูอย่างมั่นคงอยู่จนตะวันตกดิน
\v 13 ดังนั้นโยชูวาจึงเอาชนะประชาชนอามาเลขได้ด้วยดาบ
\s5
\p
\v 14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความเหล่านี้ลงในหนังสือและอ่านให้โยชูวาฟัง เพราะเราจะล้างชื่ออามาเลขให้สิ้นไม่ให้ปรากฏในความทรงจำภายใต้ฟ้าอีกเลย”
\v 15 แล้วโมเสสจึงสร้างแท่นบูชาและท่านเรียกชื่อแท่นว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นธงของข้า”
\v 16 ท่านกล่าวว่า “เพราะมีมือหนึ่งยกขึ้นไปยังบัลลังก์ของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะทรงทำสงครามกับคนอามาเลขทุกชั่วลูกหลาน”
\s5
\c 18
\p
\v 1 พ่อตาของโมเสส เยโธรปุโรหิตแห่งมีเดียน ได้ยินถึงงานทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อโมเสส และเพื่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์ เขาได้ยินว่าพระยาห์เวห์ทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์
\v 2 เยโธรพ่อตาของโมเสสรับศิปโปราห์ภรรยาของโมเสสไว้ หลังจากที่โมเสสส่งเธอกลับไปยังบ้าน
\v 3 พร้อมกับบุตรชายทั้งสองคนของเธอบุตรชายคนหนึ่งชื่อเกอร์โชม เพราะโมเสสได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน”
\v 4 คนอีกคนหนึ่งชื่อเอลีเอเซอร์ เพราะโมเสสได้กล่าวว่า “พระเจ้าของบรรพบุรุษข้าพเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าพ้นดาบของฟาโรห์”
\s5
\p
\v 5 เยโธรพ่อตาของโมเสสพาภรรยาและบุตรทั้งสองคนนั้นมาหาโมเสสในแดนทุรกันดาร ที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า
\v 6 เขาบอกโมเสสว่า “ข้าพเจ้า เยโธรพ่อตาของเจ้า พาภรรยาของท่านกับบุตรชายทั้งสองของนางมาหาเจ้า”
\s5
\p
\v 7 โมเสสออกไปพบพ่อตา กราบลงและจูบเขา พวกเขาได้สอบถามทุกข์สุขกันและกัน แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์
\v 8 โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำกับฟาโรห์และกับชาวอียิปต์เพราะทรงเห็นแก่อิสราเอล ทั้งความเหน็ดเหนื่อยลำบากทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระหว่างกลางทาง และวิธีที่พระยาห์เวห์ทรงโปรดช่วยพวกเขาให้พ้นอันตราย
\s5
\p
\v 9 เยโธรก็ชื่นชมยินดีที่ได้ทราบถึงคุณความดีทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับคนอิสราเอล ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนอียิปต์
\v 10 เยโธรกล่าวว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงช่วยกู้เจ้าให้รอดจากเงื้อมมือคนอียิปต์และจากพระหัตถ์ของฟาโรห์ และทรงช่วยประชาชนให้พ้นจากเงื้อมมือของคนอียิปต์
\v 11 บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งสิ้น เพราะเมื่อคนอียิปต์ข่มเหงอิสราเอลอย่างน่าหนักหน่วง พระองค์ก็ได้ทรงช่วยกู้ประชาชนของพระองค์”
\s5
\p
\v 12 เยโธรพ่อตาของโมเสสได้นำเครื่องเผาบูชาและเครื่องถวายบูชาถวายแด่พระเจ้า ส่วนอาโรนกับบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลทั้งสิ้นได้มากินอาหารเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ากับพ่อตาของโมเสส
\s5
\p
\v 13 ในวันต่อมา โมเสสนั่งตัดสินความให้ประชาชน ประชาชนยืนห้อมล้อมเขาตั้งแต่เช้าจนเย็น
\v 14 เมื่อพ่อตาของโมเสสได้มองเห็นทุกอย่างที่โมเสสทำเพื่อประชาชน จึงกล่าวว่า “นี่เจ้าใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับประชาชนเล่า? ทำไมเจ้าจึงนั่งทำงานอยู่คนเดียว และประชาชนทั้งหมดก็ยืนล้อมเจ้าตั้งแต่เช้าจนเย็นงั้นหรือ?”
\s5
\p
\v 15 โมเสสตอบพ่อตาว่า “ประชาชนมาหาข้าพเจ้า เพื่อขอให้ทูลถามถึงคำชี้นำของพระเจ้า
\v 16 เมื่อพวกเขามีการเถียงกัน พวกเขาก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตัดสินความระหว่างคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง และข้าพเจ้าก็สอนเขาให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์”
\s5
\p
\v 17 พ่อตาของโมเสสจึงกล่าวกับเขาว่า “สิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่สิ่งที่ดีมาก
\v 18 เจ้าและประชาชนที่อยู่กับเจ้านั้นจะอ่อนล้า เพราะภาระนี้หนักเหลือกำลังของเจ้า เจ้าไม่สามารถทำคนเดียวได้
\v 19 จงฟังข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้า และขอให้พระเจ้าสถิตกับเจ้า เพราะเจ้าเป็นตัวแทนของประชาชนต่อพระเจ้า และเจ้านำความขัดแย้งกราบทูลพระเจ้า
\v 20 เจ้าจงสั่งสอนพวกเขาให้รู้กฎเกณฑ์และพระบัญญัติ เจ้าต้องชี้ทางแก่พวกเขาถึงการดำเนินชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ
\s5
\p
\v 21 นอกจากนั้น เจ้าจงเลือกคนที่มีความสามารถจากประชาชนทั้งหมด ที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ที่รักความจริง และเกลียดการได้รับความอยุติธรรม จงตั้งเขาไว้เหนือประชาชน เพื่อเป็นผู้นำในการดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
\v 22 พวกเขาจะตัดสินคดีของประชาชนทุกกรณีที่เป็นกิจวัตรประจำวัน แต่คดีที่ยุ่งยากให้พวกเขานำมาแจ้งต่อเจ้า แต่คดีเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาตัดสินเอง ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้การงานของเจ้าจะง่ายขึ้น และพวกเขาจะแบกภาระกับเจ้า
\v 23 ถ้าเจ้าทำดังนี้ และถ้าพระเจ้าทรงบัญชาเจ้าให้ทำเช่นนั้น เจ้าก็จะสามารถทนได้ และประชาชนทั้งหมดนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของตนด้วยความพึงพอใจ”
\s5
\p
\v 24 ดังนั้นโมเสสจึงเชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาได้กล่าวทุกสิ่ง
\v 25 โมเสสได้เลือกผู้ที่มีความสามารถจากคนอิสราเอลทั้งหมด และตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าของประชาชน ผู้นำเหล่านี้จะดูแลประชาชนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
\v 26 พวกเขาตัดสินคดีของประชาชนในสถานการณ์ปกติ แต่คดีที่ยุ่งยาก พวกเขาจึงนำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาตัดสินเอง
\v 27 แล้วโมเสสได้ส่งพ่อตาของท่านกลับไป และเยโธรจึงกลับไปยังดินแดนของเขา
\s5
\c 19
\p
\v 1 ในเดือนที่สามหลังจากประชาชนอิสราเอลได้ออกจากดินแดนอียิปต์ ในวันนั้นพวกเขาก็มาถึงแดนทุรกันดารซีนาย
\v 2 เมื่อพวกเขาเคลื่อนออกจากเรฟีดิมและมาถึงแดนทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ในแดนทุรกันดาร ทางด้านหน้าภูเขา
\s5
\p
\v 3 โมเสสได้ไปหาพระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสกับเขาจากภูเขานั้นว่า “จงบอกวงศ์วานยาโคบและประชาชนอิสราเอลดังนี้ว่า
\v 4 พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราทำกับคนอียิปต์แล้ว ถึงวิธีที่เราอุ้มชูพวกเจ้าขึ้นดุจดังปีกนกอินทรีและนำพวกเจ้ามาถึงเรา
\v 5 บัดนี้ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริงๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ แล้วพวกเจ้าจะเป็นสมบัติพิเศษของเราในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เพราะดินแดนทั้งสิ้นเป็นของเรา
\v 6 พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา เหล่านี้เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกกับประชาชนอิสราเอล”
\s5
\p
\v 7 ดังนั้นโมเสสได้เรียกชุมนุมพวกผู้อาวุโสของประชาชน แล้วเขาประกาศข้อความเหล่านี้ทั้งหมดต่อหน้าพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\v 8 ประชาชนทั้งหมดตอบพร้อมกันว่า “พวกเราจะทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสนั้น” แล้วโมเสสจึงมาเพื่อรายงานถ้อยคำของประชาชนแด่พระยาห์เวห์
\v 9 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในเมฆทึบ เพื่อว่าประชาชนจะได้ยินเมื่อเราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อถือเจ้าตลอดไป” แล้วโมเสสจึงทูลเกี่ยวกับถ้อยคำทั้งหลายของประชาชนต่อพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 10 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “วันนี้และพรุ่งนี้จงไปหาประชากร เจ้าต้องให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเรา และให้พวกเขาชำระเสื้อผ้าของตนให้สะอาด
\v 11 ในวันที่สามจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะในวันที่สามนั้นพระยาห์เวห์จะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนาย
\s5
\p
\v 12 เจ้าต้องกำหนดเขตแดนให้ประชากรนั้นอยู่รอบภูเขา แล้วกำชับว่า ‘จงระวังตัวให้ดี อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือถูกต้องเชิงเขานั้น ใครถูกต้องภูเขาจะต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน’
\v 13 ห้ามผู้ใดเอามือถูกต้องผู้นั้น แต่เขาต้องถูกขว้างหรือยิงด้วยก้อนหิน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ก็ต้องถูกลงโทษถึงตาย เมื่อมีเสียงแตรเป่ายาว ให้พวกเขาขึ้นมาที่ตีนเขานั้น”
\s5
\p
\v 14 แล้วโมเสสจึงลงจากภูเขามาหาประชากร เขาได้แยกประชากรไว้สำหรับพระยาห์เวห์ และให้พวกเขาชำระซักเสื้อผ้า
\v 15 เขากล่าวกับประชากรว่า “เจ้าทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม อย่าเข้าใกล้ภรรยาของเจ้า”
\s5
\p
\v 16 เมื่อถึงตอนเช้าก็เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ และมีเมฆทึบคลุมภูเขานั้นกับมีเสียงแตรดังมาก จนประชาชนทุกคนในค่ายพากันพากันกลัวจนสั่นสะท้าน
\v 17 โมเสสได้พาประชาชนออกจากค่ายไปเข้าเฝ้าพระเจ้า และพวกเขาได้มายืนอยู่ที่เชิงเขา
\v 18 ภูเขาซีนายมีควันคลุมอยู่ทั้งหมด เพราะพระยาห์เวห์เสด็จลงมายังภูเขานั้นในเพลิง และควันก็พลุ่งขึ้น เสมือนควันจากเตาเผา และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างแรง
\s5
\p
\v 19 เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้นๆ โมเสสจึงกราบทูล และพระเจ้าตรัสกับเขาด้วยเสียงพูด
\v 20 พระยาห์เวห์เสด็จลงมาบนภูเขาซีนายมาที่ยอดเขา และพระองค์ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา ดังนั้นโมเสสก็ได้ขึ้นไป
\v 21 พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปและกำชับประชาชน ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาเพื่อที่จะมองดูเรา มิฉะนั้นหลายคนในพวกเขาจะต้องตาย
\v 22 พวกปุโรหิตที่เข้ามาใกล้เรานั้น ให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมตัวเองให้พร้อมต่อการมาของเรา เพื่อที่ว่าเราจะไม่สังหารพวกเขา”
\s5
\p
\v 23 โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น และกันไว้สำหรับพระยาห์เวห์’”
\v 24 พระยาห์เวห์จึงทรงกล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปจากภูเขา และพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำเขตที่จะขึ้นมาถึงเรา มิฉะนั้นเราจะสังหารพวกเขา”
\v 25 ดังนั้นโมเสสจึงลงไปหาประชาชนและได้บอกพวกเขา
\s5
\c 20
\p
\v 1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้ว่า
\v 2 “เราเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์ คือออกจากเรือนทาส
\v 3 พวกเจ้าต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดต่อหน้าเรา
\s5
\p
\v 4 พวกเจ้าต้องไม่ทำรูปแกะสลักสำหรับตน หรือรูปเหมือนของสิ่งใดๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือในแผ่นดินโลกเบื้องล่าง หรือสิ่งที่อยู่ในน้ำเบื้องล่าง
\v 5 พวกเจ้าต้องไม่กราบไหว้หรือสักการะสิ่งเหล่านั้น เพราะเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน เราจะลงโทษความชั่วของบรรพบุรุษโดยนำการลงโทษตกทอดไปถึงลูกหลาน จนถึงสามชั่วและสี่ชั่วอายุคนของผู้ที่ชังเรา
\v 6 แต่เราแสดงความมีสัจจะต่อพันธสัญญาต่อคนนับพันเหล่านั้นที่รักเราและถือรักษาพระบัญญัติของเรา
\s5
\p
\v 7 พวกเจ้าจะต้องไม่ออกพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะเราจะไม่เอาโทษคนที่ใช้พระนามของเราไปในทางที่ผิดนั้นก็หามิได้
\s5
\p
\v 8 จงจดจำวันสะบาโต ให้ถือเป็นวันบริสุทธิ์ต่อเรา
\v 9 พวกเจ้าจงทำงานทั้งหมดของพวกเจ้าเป็นเวลาหกวัน
\v 10 แต่วันที่เจ็ดนั้นนับเป็นสะบาโตสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า วันนั้นพวกเจ้าต้องไม่ทำงานอื่นใด ไม่ว่าพวกเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรหญิงของพวกเจ้า หรือทาสชาย ทาสหญิงของพวกเจ้า หรือสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยภายในประตูทั้งหลายของพวกเจ้า
\v 11 เพราะในหกวัน พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างท้องฟ้า และแผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น และทรงพักในวันที่เจ็ด ฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์
\s5
\p
\v 12 จงให้เกียรติแก่บิดาและมารดาของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะมีอายุยืนในแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าประทานแก่พวกเจ้า
\v 13 พวกเจ้าต้องไม่ฆ่าผู้ใด
\v 14 พวกเจ้าต้องไม่ทำละเมิดประเวณี
\s5
\p
\v 15 พวกเจ้าต้องไม่ขโมยผู้อื่น
\v 16 พวกเจ้าต้องไม่เป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้านของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่ละโมบเอาบ้านของเพื่อนบ้าน
\v 17 พวกเจ้าต้องไม่โลภภรรยาของเพื่อนบ้าน ทาสชาย ทาสหญิงของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน”
\s5
\p
\v 18 ประชาชนทุกคนได้เห็นฟ้าแลบและได้ยินเสียงฟ้าร้อง อีกทั้งได้ยินเสียงแตร และเห็นควันที่ขึ้นจากภูเขา เมื่อประชาชนเห็นสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่แต่ไกล
\v 19 พวกเขาจึงกล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกพวกเราเถิด และพวกเราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราเลย มิฉะนั้นพวกเราจะตาย”
\v 20 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงทดสอบพวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะไม่ได้ทำบาป”
\v 21 ดังนั้นประชาชนจึงยืนอยู่แต่ไกล และโมเสสได้เข้าไปใกล้ความมืดหนาทึบที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น
\s5
\p
\v 22 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ สิ่งนี้แหละ ที่เจ้าจะต้องบอกคนอิสราเอลคือ ‘พวกเจ้าเองได้เห็นแล้วว่า เราพูดกับเจ้าจากท้องฟ้า
\v 23 พวกเจ้าต้องไม่สร้างรูปพระอื่นใดสำหรับตัวพวกเจ้าเองมาเปรียบกับเรา ไม่ว่าพระเจ้านั้นจะทำด้วยเงินหรือทองคำ
\s5
\p
\v 24 พวกเจ้าต้องสร้างแท่นบูชาที่ทำด้วยดินสำหรับเรา และพวกเจ้าต้องถวายบูชาเครื่องบูชาเผา และเครื่องสันติบูชาบนแท่นบูชานั้นด้วยแกะและโค ในทุกแห่งที่เราต้องการได้รับเกียรติจากนามของเรา เราจะมาหาพวกเจ้าและอวยพรพวกเจ้า
\v 25 ถ้าพวกเจ้าสร้างแท่นบูชาด้วยศิลา พวกเจ้าต้องไม่สร้างด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าจะทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
\v 26 พวกเจ้าต้องไม่เดินตามขั้นบันไดขึ้นไปยังแท่นบูชาของเรา เพื่อป้องกันเจ้าไม่ให้เป็นที่อุจาดตา’”
\s5
\c 21
\p
\v 1 “บัดนี้เหล่านี้เป็นกฎต่างๆ ซึ่งพวกเจ้าต้องตั้งไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลายคือ
\s5
\p
\v 2 ‘หากพวกเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู เขาจะรับใช้พวกเจ้าหกปี และปีที่เจ็ดเขาจะไปเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ตัว
\v 3 หากเขามาคนเดียว เขาจะต้องเป็นอิสระเพียงคนเดียว หากเขาแต่งงาน ภรรยาของเขาก็จะเป็นอิสระกับเขาด้วย
\v 4 หากนายหาภรรยาให้เขา และภรรยาได้ให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรหญิงให้เขา ภรรยากับบุตรเหล่านั้นของเธอจะเป็นของพวกเจ้านาย และเขาจะต้องเป็นอิสระเพียงคนเดียว
\s5
\p
\v 5 แต่หากทาสนั้นมาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าพเจ้ารักนาย ภรรยา และบุตรของข้าพเจ้าข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นอิสระ”
\v 6 แล้วจงให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า นายจงพาเขาไปที่ประตูหรือเสาประตู และให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด แล้วเขาก็จะอยู่รับใช้นายตลอดชีวิต
\s5
\p
\v 7 หากผู้ชายใดขายบุตรหญิงเป็นทาสหญิง เธอจะไม่ได้เป็นอิสระเหมือนทาสชาย
\v 8 หากหญิงนั้นไม่เป็นที่พึงพอใจของนายผู้ซึ่งได้รับเธอไว้ แล้วเขาก็ต้องยอมให้เธอถูกซื้อคืนไป แต่ชายนั้นไม่มีสิทธิ์จะขายเธอไปให้คนต่างชาติ เขาไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนั้นเพราะเขาปฏิบัติไม่ซื่อตรงต่อเธอ
\s5
\p
\v 9 หากนายยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาของบุตรชายของตน นายต้องปฏิบัติต่อหญิงนั้นดุจเป็นบุตรหญิงของตน
\v 10 หากเขาไปหาผู้หญิงอื่นอีกคนมาเป็นภรรยา เขาต้องไม่ลดอาหาร เสื้อผ้า และสิทธิการสมรสของเธอ
\v 11 แต่หากเขาไม่ได้มอบสามสิ่งนี้แก่เธอ แล้วหญิงนั้นสามารถเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ตัวอื่นใด
\s5
\p
\v 12 ใครก็ตามตีคนหนึ่งแล้วเขาตาย ผู้นั้นจะต้องมีโทษตายอย่างแน่นอน
\v 13 หากคนนั้นทำไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แต่ด้วยเหตุบังเอิญ แล้วเราจะสร้างที่แห่งหนึ่งให้เขาหนีไปลี้ภัย
\v 14 หากใครเจตนาฆ่าเพื่อนบ้านและวางแผนฆ่าคนโดยเจตนา จงนำตัวผู้นั้นออกไปแม้ว่าเขาจะอยู่ที่แท่นบูชาของพระเจ้า เพื่อทำโทษเขาให้ตาย
\s5
\p
\v 15 ใครก็ตามที่ทุบตีบิดาหรือมารดาของเขาต้องมีโทษตายอย่างแน่นอน
\v 16 ใครก็ตามขโมยพาตัวคนไปและผู้ขโมยขายเขา หรือเจอว่าผู้นั้นอยู่ในความครอบครองของเขา ผู้ขโมยนั้นจะต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน
\v 17 ใครก็ตามที่แช่งด่าบิดาหรือมารดาของตน ผู้นั้นต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน
\s5
\p
\v 18 หากผู้ชายต่อสู้กัน และฝ่ายหนึ่งนำหินขว้างหรือทุบด้วยกำปั้น และแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย แต่เจ็บป่วยต้องนอนพักที่เตียงของเขา
\v 19 แล้วหากเขาหายและสามารถเดินได้แต่ต้องใช้ไม้เท้าของเขา ผู้ตีนั้นจะต้องเสียค่าเสียเวลา และค่าดูแลรักษาทั้งหมดจนเขาหายเป็นปกติ แต่คนที่ทำร้ายนั้นจะไม่มีความผิดเชิงฆาตกรรม
\s5
\p
\v 20 หากใครทุบตีทาสชายหรือทาสหญิงของตนด้วยไม้ และหากทาสนั้นจนถึงแก่ความตายจากการตี ผู้นั้นต้องมีโทษอย่างแน่นอน
\v 21 อย่างไรก็ดี หากทาสนั้นมีชีวิตต่อไปภายในหนึ่งหรือสองวัน นายก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเขาต้องทรมานใจจากการสูญเสียทาสนั้น
\s5
\p
\v 22 หากผู้ชายตีกัน แล้วไปทำให้หญิงมีครรภ์บาดเจ็บจนเธอทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนดหรือแท้ง แต่เธอไม่ได้รับอันตราย คนที่ทำร้ายเธอจะต้องจ่ายค่าปรับที่สามีของหญิงนั้นเรียกเอาจากเขา และเขาจะต้องจ่ายตามที่ผู้พิพากษาได้ตัดสินโทษ
\v 23 แต่หากเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วพวกเจ้าต้องจ่ายด้วยชีวิต
\v 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มือต่อมือ เท้าต่อเท้า
\v 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ แผลต่อแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ
\s5
\p
\v 26 หากใครทุบตีที่ตาของทาสชายหรือทาสหญิงแล้วทำให้ตาเขาบอด แล้วเขาจะต้องปลดปล่อยทาสผู้นั้น เพื่อจ่ายแทนดวงตาของทาสนั้น
\v 27 หากใครทำให้ฟันของทาสชายหรือทาสหญิงหลุดไป เขาต้องให้ทาสผู้นั้นเป็นอิสระเพื่อจ่ายแทนฟัน
\s5
\p
\v 28 หากโคขวิดชายหรือหญิงตาย จงนำหินขว้างโคจนตาย และห้ามกินเนื้อของมัน แต่เจ้าของโคตัวนั้นไม่มีโทษ
\v 29 แต่หากโคมีนิสัยชอบขวิดคนมาก่อนหน้านั้น และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบแล้ว แต่เจ้าของไม่ได้ดูแลขังมันไว้ และมันได้ขวิดคนตายไปไม่ว่าชายหรือหญิง ให้นำหินขว้างโคนั้นจนตาย และให้ลงโทษเจ้าของจนตายด้วย
\v 30 หากเรียกร้องการจ่ายด้วยชีวิตของเขา เขาต้องเสียค่าไถ่ตัวตามจำนวนที่เขาได้เรียกให้จ่าย
\s5
\p
\v 31 หากโคนั้นขวิดบุตรชายหรือบุตรหญิง เจ้าของโคจะต้องปฏิบัติตามกฎที่เรียกร้องให้เขาปฏิบัติ
\v 32 ถ้าโคนั้นขวิดทาสชายหรือทาสหญิงของผู้ใด เจ้าของโคต้องให้เงินสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างโคนั้นให้ตาย
\s5
\p
\v 33 หากใครเปิดหรือขุดบ่อแล้วไม่ได้ปิด และมีโคหรือลาตกลงไปในบ่อนั้น
\v 34 เจ้าของบ่อต้องจ่ายเงินจ่ายค่าเสียหาย เขาต้องจ่ายให้แก่เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
\s5
\p
\v 35 หากโคของใครทำร้ายโคของอีกคนจนตาย แล้วเขาต้องขายโคที่เป็น และมาแบ่งเงินกัน และโคที่ตายนั้นก็แบ่งให้เท่าๆ กันด้วย
\v 36 แต่หากรู้แล้วว่าโคมีนิสัยชอบขวิดคนมาก่อนหน้านั้น และเจ้าของไม่ได้ขังไว้ เจ้าของต้องจ่ายทดแทนด้วยโค และโคที่ตายก็ตกเป็นของเขา
\s5
\c 22
\p
\v 1 หากใครขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ผู้นั้นต้องจ่ายโคห้าตัวแทนโคหนึ่งตัว และแกะสี่ตัวแทนแกะหนึ่งตัว
\v 2 หากใครเห็นขโมยกำลังเข้ามา และหากเขาได้ตีขโมยนั้นจนตาย ในกรณีนั้นจะไม่มีความผิดในการฆาตกรรมตกแก่คนนั้นในคดีของเขา
\v 3 แต่หากพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก่อนที่เขาบุกรุกเข้ามา ความผิดฐานฆาตกรรมจะตกแก่ผู้ฆ่าเขานั้น ขโมยนั้นต้องจ่าย หากเขาไม่มีอะไรจะชดใช้ให้ เขาต้องขายตัวเองเพื่อจ่ายสิ่งที่เขาขโมยไป
\v 4 หากเจอสัตว์ที่ขโมยไปนั้นยังเป็นอยู่ในการครอบครองของเขา จะเป็นโคหรือลาหรือแกะ ขโมยต้องจ่ายค่าปรับเป็นสองเท่า
\s5
\p
\v 5 หากใครปล่อยฝูงสัตว์ของตนไปกินหญ้าในท้องทุ่งหรือในสวนองุ่น และปล่อยให้มันหลง เข้าไปกินหญ้าในที่นาของอีกคน เขาจะต้องจ่ายด้วยพืชส่วนที่ดีที่สุดจากท้องทุ่งและจากสวนองุ่นของตัวเอง
\s5
\p
\v 6 หากไฟลุกและลามไปติดพุ่มหนามจนถึงกองข้าว หรือต้นข้าวซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยว หรือติดทุ่งนาจนเสียหมด ผู้ที่เป็นต้นเพลิงต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด
\s5
\p
\v 7 หากใครฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้านเพื่อให้เขาดูแล แล้วของถูกขโมยไปจากผู้นั้น หากจับขโมยได้ ขโมยต้องจ่ายค่าปรับป็นสองเท่า
\v 8 แต่หากจับขโมยไม่ได้ ก็ให้เจ้าของบ้านมาเจอผู้พิพากษา เพื่อรับการพิจารณาว่าใช่ตัวเขาเองหรือไม่ที่ขโมยสมบัติของเพื่อนบ้าน
\v 9 ในคดีฟ้องร้องทุกสิ่ง จะเป็นเรื่องโค ลา แกะ เสื้อผ้า หรือเรื่องสิ่งของอื่นใด ที่หายไป ซึ่งบางคนกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นของฉัน” ให้ทั้งสองฝ่ายนำกรณีพิพาทไปเจอผู้พิพากษา ผู้พิพากษาตัดสินว่าใครผิด ผู้นั้นจะต้องใช้ค่าจ่ายเป็นสองเท่าแก่เพื่อนบ้านของเขา
\s5
\p
\v 10 หากใครฝากลา โค แกะ หรือสัตว์อื่นใด ไว้กับเพื่อนบ้านของเขา แล้วสัตว์ตาย หรือบาดเจ็บ หรือถูกต้อนไปโดยไม่มีใครเจอ
\v 11 จงให้ทั้งสองคนนั้นสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า คนหนึ่งคนใดได้นำทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไว้ในมือของเขาหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยอมรับ ส่วนผู้รับฝากนั้นไม่ต้องชดใช้
\v 12 แต่หากสิ่งของถูกขโมยไปจากเขา อีกฝ่ายหนึ่งต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของ
\v 13 หากสัตว์นั้นถูกฉีกเป็นชิ้น ให้อีกคนนำซากมาให้ตรวจดูเป็นหลักฐาน เขาไม่ต้องชดใช้สำหรับสัตว์ที่ถูกฉีก
\s5
\p
\v 14 หากใครยืมสัตว์จากเพื่อนบ้าน แล้วมันเกิดอาการบาดเจ็บ หรือตายช่วงเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ อีกคนต้องจ่ายเต็มตามจำนวน
\v 15 แต่หากเจ้าของอยู่ด้วย อีกคนไม่ต้องจ่ายค่าจ่าย หากเป็นสัตว์เช่า ให้จ่ายแต่ค่าเช่าเท่านั้น
\s5
\p
\v 16 หากชายใดหลอกลวงหญิงสาวพรหมจารีที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย และเขาหลับนอนกับหญิงนั้น เขาต้องรับเธอมาเป็นภรรยาของเขาโดยจ่ายเงินค่าสินใส่ตามที่เรียก
\v 17 หากบิดาของนางไม่ยอมยกเธอให้แก่เขา เขาก็ต้องจ่ายเงินค่าสินสอดเท่าธรรมเนียมสู่การขอหญิงสาวพรหมจารีนั้น
\s5
\p
\v 18 พวกเจ้าต้องไม่ให้แม่มดมีชีวิตอยู่
\v 19 ใครร่วมสมสู่กับสัตว์จะต้องมีโทษถึงตาย
\s5
\p
\v 20 ใครถวายบูชาแด่พระอื่นใด นอกจากพระยาห์เวห์ ผู้นั้นต้องถูกทำลาย
\v 21 พวกเจ้าต้องไม่ทำผิดต่อคนต่างชาติหรือข่มเหงเขา เพราะพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในดินแดนอียิปต์
\s5
\p
\v 22 พวกเจ้าต้องไม่รังแกหญิงม่ายหรือลูกกำพร้าบิดา
\v 23 หากพวกเจ้ารังแกเขา และหากเขาได้มากล่าวทุกข์ต่อเรา เราจะรับฟังคำกล่าวทุกข์ของเขาอย่างแน่นอน
\v 24 แล้วความโกรธของเราจะมีขึ้น และเราจะสังหารพวกเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของพวกเจ้าจะเป็นม่าย และบุตรของพวกเจ้าจะกำพร้า
\s5
\p
\v 25 หากพวกเจ้าให้ประชาชนของเราคนใดที่เป็นคนจนท่ามกลางพวกเจ้ายืมเงินไป พวกเจ้าต้องไม่ถือว่าตนเป็นพวกเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา
\v 26 หากพวกเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของค้ำประกัน พวกเจ้าต้องคืนของนั้นให้เขาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
\v 27 เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวสำหรับคลุม และเสื้อผ้านั้นก็สำหรับปกคลุมร่างกายของเขา เขาจะใช้อะไรห่มนอน? เมื่อเขากล่าวทุกข์ต่อเรา เราจะฟังเขา เพราะเรามีใจกรุณาปรานี
\s5
\p
\v 28 พวกเจ้าต้องไม่ดูหมิ่นเรา พระเจ้า หรือสาปแช่งผู้ปกครองประชาชนของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 29 พวกเจ้าต้องไม่ช้าที่จะถวายเครื่องบูชาที่จากการเก็บเกี่ยวของพวกเจ้าหรือจากบ่อย่ำองุ่นของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถวายบุตรชายหัวปีของพวกเจ้าแก่เรา
\v 30 พวกเจ้าต้องถวายลูกหัวปีของโค และของแกะของพวกเจ้าเหมือนกัน จงให้ลูกอยู่กับแม่ของมันได้เจ็ดวัน แต่พอถึงวันที่แปดต้องนำมาถวายเรา
\v 31 พวกเจ้าเป็นประชาชนที่บริสุทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นพวกเจ้าต้องไม่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกฉีกตายในทุ่งนา แต่พวกเจ้าจงโยนซากนั้นให้สุนัขกิน
\s5
\c 23
\p
\v 1 พวกเจ้าจะต้องไม่ให้การเท็จถึงกับคนใดคนหนึ่ง จงอย่าร่วมมือกับคนชั่วโดยการเป็นพยานเท็จ
\v 2 พวกเจ้าต้องไม่ทำชั่วตามอย่างคนพวกมาก หรือไม่เป็นพยานโดยเข้าข้างคนพวกมาก จะทำให้เสียความชอบธรรมไป
\v 3 พวกเจ้าจะต้องไม่เข้าข้างคนจนในคดีของเขา
\s5
\p
\v 4 หากพวกเจ้าเจอโคหรือลาของศัตรูหลงมา พวกเจ้าต้องพาไปส่งคืนเขาให้จงได้
\v 5 หากพวกเจ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังพวกเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก พวกเจ้าต้องไม่เมินเฉยคนนั้น พวกเจ้าจงช่วยเขากับลาของเขาให้จงได้
\s5
\p
\v 6 พวกเจ้าจะต้องไม่บิดเบือนความชอบธรรมที่คนจนสมควรได้รับในคดีของเขา
\v 7 จงไม่ร่วมกับคนอื่นในการใส่ความเท็จ และไม่สังหารคนบริสุทธิ์ และคนชอบธรรม เพราะเราจะไม่ปล่อยคนทำชั่ว
\v 8 อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด และทำให้ถ้อยคำของคนซื่อสัตย์บิดเบือนไปได้
\v 9 พวกเจ้าต้องไม่ข่มเหงคนต่างชาติ เพราะพวกเจ้ารู้จักชีวิตคนต่างชาติแล้ว เมื่อพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในดินแดนอียิปต์
\s5
\p
\v 10 ตลอดหกปีพวกเจ้าจะหว่านพืชในนาของพวกเจ้าและเก็บเกี่ยวผลของมัน
\v 11 แต่ในปีที่เจ็ดนั้น พวกเจ้าจะงดไถและปล่อยนาให้ว่างไว้ เพื่อให้ประชาชนที่ยากจนท่ามกลางพวกเจ้าได้เก็บกิน ของเหลือไว้ก็ให้สัตว์ป่ากิน พวกเจ้าจะต้องทำเหมือนกันกับสวนองุ่นและสวนมะกอก
\s5
\p
\v 12 ในช่วงหกวันพวกเจ้าจะทำงานของพวกเจ้า แต่ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าจงพัก จงทำเช่นนี้เพื่อโคและลาของพวกเจ้าจะได้พัก และบุตรชายของทาสหญิงของพวกเจ้า กับคนต่างชาติจะได้พักและให้สดชื่นขึ้น
\v 13 จงตั้งใจปฏิบัติทุกสิ่งที่เราสั่งพวกเจ้านั้น อย่าออกชื่อพระอื่นๆ หรืออย่ากล่าวชื่อของพระเหล่านั้นให้ได้ยินจากปากของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 14 พวกเจ้าต้องเดินทางไปฉลองเทศกาลถวายให้เราปีละสามครั้ง
\v 15 พวกเจ้าจงจัดเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราสั่งพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าจะกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะในเวลานั้น พวกเจ้าจะเข้าพบเราในเดือนอาบีบซึ่งได้กำหนดไว้ ในเดือนนี้พวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์ แต่พวกเจ้าต้องไม่เข้าพบเราด้วยมือเปล่า
\s5
\p
\v 16 พวกเจ้าต้องจัดเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยว พืชแรกที่มาจากแรงงานของพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้หว่านพืชลงในทุ่งนา และพวกเจ้าต้องถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยวพืชสิ้นปี เมื่อพวกเจ้าเก็บพืชจากทุ่งนา
\v 17 ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้าต้องเข้าพบพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าปีละสามครั้ง
\s5
\p
\v 18 พวกเจ้าต้องไม่ถวายเลือดจากเครื่องบูชาที่ทำถวายเรารวมทั้งขนมปังใส่เชื้อ และไขมันจากเครื่องถวายบูชาในเทศกาลเลี้ยงของเราจะต้องไม่เหลือค้างจนถึงในตอนเช้า
\v 19 พวกเจ้าต้องนำส่วนที่ดีที่สุดของพืชแรกจากที่ดินของพวกเจ้ามายังพระวิหารพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่ต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน
\s5
\p
\v 20 เรากำลังใช้ทูตสวรรค์ของเรานำหน้าพวกเจ้าเพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และนำพวกเจ้าไปถึงสถานที่ ที่เราได้จัดเตรียมให้
\v 21 อย่าดื้อดึงกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษในความผิดของพวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขากระทำในนามของเรา
\v 22 หากพวกเจ้าเชื่อฟังอย่างแท้จริง และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งพวกเจ้าไว้ แล้วเราจะเป็นศัตรูต่อพวกศัตรูของพวกเจ้าและจะเป็นศัตรูแทนพวกศัตรูของพวกเจ้า
\s5
\p
\v 23 ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าพวกเจ้า และนำพวกเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะทำลายคนเหล่านั้น
\v 24 พวกเจ้าจงอย่ากราบไหว้หรือทำความเคารพบรรดาพระของพวกเขา หรือกระทำตามแบบเขา แต่พวกเจ้าต้องทำลายรูปเคารพของเขาและจงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้ละเอียด
\v 25 พวกเจ้าต้องนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงอวยพรอาหารและน้ำของพวกเจ้า เราจะนำความเจ็บป่วยห่างจากพวกเจ้า
\s5
\p
\v 26 ไม่มีผู้หญิงเป็นหมันหรือแท้งลูกในดินแดนของพวกเจ้า เราจะให้พวกเจ้ามีชีวิตยืนยาว
\v 27 เราจะส่งความเกรงกลัวในตัวเราต่อคนเหล่านั้นเข้าไปในดินแดนของใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้าพวกเจ้า เราจะสังหารชาวเมืองทั้งหมดที่พวกเจ้าไปเผชิญหน้านั้น เราจะให้ศัตรูทั้งหมดของพวกเจ้าหันหลังหนีพวกเจ้าด้วยความกลัว
\v 28 เราจะส่งฝูงแตนยักษ์นำหน้าพวกเจ้า เพื่อที่พวกมันจะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
\v 29 เราจะไม่ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าในปีเดียว มิฉะนั้นดินแดนจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะมากเกินไปสำหรับพวกเจ้า
\s5
\p
\v 30 แต่เราจะไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กทีละน้อย จนพวกเจ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นและได้ยึดดินแดนนั้น
\v 31 เราจะกำหนดขอบเขตของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลต้นกกจนถึงทะเลของคนฟีลิสเตีย และตั้งแต่แดนทุรกันดารจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส เราจะให้ชัยชนะแก่พวกเจ้าเหนือผู้อาศัยในดินแดนนั้น พวกเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
\v 32 พวกเจ้าต้องไม่ทำพันธสัญญากับพวกเขา หรือกับบรรดาพระของพวกเขา
\v 33 พวกเขาต้องไม่อาศัยในดินแดนของพวกเจ้า กลัวว่าพวกเขาจะดึงจูงให้พวกเจ้าทำบาปต่อเรา หากพวกเจ้านมัสการพระของพวกเขา การกระทำเช่นนี้จะเป็นกับดักที่ดักพวกเจ้าอย่างแน่นอน’”
\s5
\c 24
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลเจ็ดสิบคน จงขึ้นมาเข้าพบเรา และนมัสการเราอยู่แต่ไกล
\v 2 เฉพาะโมเสสผู้เดียวให้เข้ามาใกล้เรา ส่วนคนอื่นๆ ต้องไม่เข้ามาใกล้และต้องไม่ให้ประชาชนขึ้นมากับเขา”
\s5
\p
\v 3 โมเสสจึงไปบอกให้ประชาชนทราบถึงพระดำรัสและพระบัญชาทั้งหมดของพระยาห์เวห์ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบรวมเสียงเดียวว่า “เราจะทำตามพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้”
\v 4 แล้วโมเสสจึงเขียนพระดำรัสของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ ในตอนเช้าตรู่ โมเสสได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้น เพื่อว่าหินนั้นจะแทนจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
\s5
\p
\v 5 เขาให้พวกชายหนุ่มของอิสราเอลถวายเครื่องบูชาเผาและถวายเครื่องสันติบูชาด้วยโคหลายตัวแด่พระยาห์เวห์
\v 6 โมเสสนำเลือดโคมาครึ่งหนึ่งและใส่ไว้ในหลายกะละมัง เขาพรมเลือดครึ่งนั้นที่แท่นบูชา
\s5
\p
\v 7 เขานำหนังสือพันธสัญญามาและอ่านให้ประชาชนฟังด้วยเสียงดัง พวกเขากล่าวว่า “พวกเราจะทำตามทุกคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสนั้น และพวกเราจะเชื่อฟัง”
\v 8 แล้วโมเสสก็นำเลือดไปและพรมประชาชน เขากล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำกับพวกเจ้าโดยการให้สัญญานี้แก่พวกเจ้าด้วยพระดำรัสเหล่านี้ทั้งหมด”
\s5
\p
\v 9 จากนั้นโมเสสและอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลเจ็ดสิบคนก็ขึ้นไปบนภูเขา
\v 10 พวกเขาเห็นพระเจ้าของอิสราเอล พื้นที่รองพระบาทเป็นดั่งทางเดินที่ทำจากหินไพลินที่สดใสสวยงามเหมือนท้องฟ้า
\v 11 พระเจ้าไม่ได้ทรงลงโทษเพราะพิโรธพวกผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้มองเห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม
\s5
\p
\v 12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงขึ้นมาหาเราบนภูเขาและคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้บรรดาแผ่นหิน และกฏหมาย และพระบัญญัติซึ่งได้จารึกไว้ เพื่อที่เจ้าจะได้สั่งสอนพวกเขา”
\v 13 ดังนั้นโมเสสจึงออกไปกับโยชูวาผู้ช่วยของเขาและขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า
\s5
\p
\v 14 โมเสสกล่าวกับพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “จงอยู่ที่นี่และรอคอยจนกว่าพวกเราจะกลับมาหาพวกท่าน อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน หากใครมีข้อพิพาทก็จงไปหาพวกเขาเถิด”
\v 15 ดังนั้นโมเสสจึงขึ้นไปยังภูเขา และเมฆก็คลุมภูเขา
\s5
\p
\v 16 พระสิริของพระยาห์เวห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย และเมฆนั้นก็คลุมภูเขาเป็นเวลาหกวัน พอวันที่เจ็ด พระองค์ได้ทรงเรียกโมเสสจากเมฆ
\v 17 พระลักษณะแห่งพระสิริของพระยาห์เวห์เหมือนกับเปลวไฟที่ไหม้อยู่บนยอดเขาท่ามกลางสายตาของชาวอิสราเอล
\v 18 โมเสสเข้าไปในเมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา เขาอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันและคืน
\s5
\c 25
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 “จงบอกชาวอิสราเอลให้นำเครื่องบูชามาถวายมาให้เราจากทุกคนผู้ที่มีแรงจูงใจกระทำด้วยสมัครใจ พวกเจ้าต้องรับของที่ทุกคนนำมาถวายให้เรา
\s5
\p
\v 3 สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องถวายที่พวกเจ้าต้องรับจากพวกเขา คือ ทองคำ เงิน และทองคำสัมฤทธิ์
\v 4 ด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดง ผ้าลินินเนื้อดี ขนแพะ
\v 5 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังพะยูน ไม้กระถินเทศ
\v 6 น้ำมันเติมประทีปในสถานนมัสการ เครื่องเทศสำหรับน้ำมันเพื่อใช้เจิมและสำหรับเครื่องหอม
\v 7 หินโกเมนและอัญมณีอื่นๆ สำหรับฝังในเอโฟดและทับทรวง
\s5
\p
\v 8 แล้วให้ประชาชนอิสราเอลสร้างสถานนมัสการให้เรา เพื่อว่าเราจะอยู่กับพวกเขา
\v 9 พวกเจ้าต้องสร้างอย่างเคร่งครัดตามรูปแบบที่เราจะสำแดงแก่พวกเจ้าสำหรับพลับพลาและอุปกรณ์ทุกสิ่ง
\s5
\p
\v 10 พวกเขาจะต้องทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ขนาดยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และสูงหนึ่งศอกครึ่ง
\v 11 พวกเจ้าต้องหุ้มทั้งด้านในและด้านนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพวกเจ้าต้องทำเป็นคิ้วทับจากทองคำโดยรอบด้านบน
\s5
\p
\v 12 พวกเจ้าต้องทำห่วงสี่ห่วงจากทองคำ และติดไว้ที่ขาหีบทั้งสี่ โดยมีสองห่วงอยู่ทางด้านหนึ่ง และอีกสองห่วงอยู่อีกด้านหนึ่ง
\v 13 พวกเจ้าต้องทำคานหามสองอันจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ
\v 14 พวกเจ้าต้องใส่คานลอดห่วงทั้งสองด้านเพื่อใช้สำหรับหามหีบ
\s5
\p
\v 15 คานนั้นจะต้องใส่อยู่ในห่วงของหีบ พวกเขาต้องไม่นำคานนั้นออกจากห่วง
\v 16 เจ้าต้องใส่สิ่งที่เราจะให้แก่พวกเจ้าไว้ในหีบพันธสัญญาพระบัญชา
\v 17 พวกเจ้าต้องทำฝาหีบลบล้างบาปจากทองคำบริสุทธิ์ขนาดยาวสองศอกครึ่ง และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง
\v 18 พวกเจ้าต้องทำเครูบสองตนด้วยทองคำตีขึ้นรูปด้วยค้อน ที่ปลายทั้งสองด้านของฝาหีบลบล้างบาป
\s5
\p
\v 19 เครูบตนที่หนึ่งไว้อีกด้านหนึ่งของฝาหีบลบล้างบาป และเครูบอีกตนหนึ่งไว้ที่อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองตนนี้ต้องตีขึ้นรูปเป็นเนื้อเดียวกันกับฝาหีบลบล้างบาป
\v 20 เครูบต้องกางปีกออกและทำให้เกิดเงาปกคลุมขึ้นบนฝาฝาหีบลบล้างบาป เครูบต้องหันหน้าเข้าหากันและมองมายังตรงกลางฝาหีบลบล้างบาป
\v 21 พวกเจ้าต้องวางฝาหีบลบล้างบาปนี้ไว้บนหีบพันธสัญญา และพวกเจ้าต้องใส่สิ่งซึ่งเราจะให้พวกเจ้าไว้ในหีบพันธสัญญาพระบัญชา
\s5
\p
\v 22 ที่หีบพันธสัญญาเราจะมาเจอพวกเจ้า เราจะมาพูดกับพวกเจ้าจากเหนือฝาหีบลบล้างบาป จากระหว่างเครูบทั้งสองตนซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหีบพระโอวาท ซึ่งเราจะพูดคำสั่งทั้งหมดกับพวกเจ้าสำหรับชาวอิสราเอล
\s5
\p
\v 23 พวกเจ้าต้องทำโต๊ะตัวหนึ่งจากไม้กระถินเทศ ความยาวของมันจะต้องเป็นสองศอก ความกว้างของมันจะต้องเป็นหนึ่งศอก และความสูงของมันจะเป็นหนึ่งศอกครึ่ง
\v 24 พวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์และใช้ทองคำทำเป็นคิ้วโดยรอบ
\s5
\p
\v 25 พวกเจ้าต้องทำแผ่นขอบรอบโต๊ะกว้างหนึ่งฝ่ามือ และหุ้มขอบโต๊ะด้วยทอง
\v 26 พวกเจ้าต้องทำห่วงสี่ห่วงด้วยทองคำและติดห่วงไว้ที่สี่มุมของขาโต๊ะทั้งสี่ขา
\v 27 บรรดาห่วงต้องติดกับขอบเพื่อจะมีที่เพื่อใส่คานหามโต๊ะ
\s5
\p
\v 28 พวกเจ้าต้องทำคานจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำเพื่อให้พวกเขาใช้หามโต๊ะ
\v 29 พวกเจ้าต้องทำจาน ช้อน เหยือก และถ้วยต่างๆ เพื่อใช้รินเครื่องดื่มบูชา พวกเจ้าต้องทำภาชนะเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์
\v 30 พวกเจ้าต้องวางขนมปังเบื้องพระพักตร์บนโต๊ะนี้ต่อหน้าเราเป็นประจำ
\s5
\p
\v 31 พวกเจ้าต้องทำคันประทีปอันหนึ่งจากทองคำบริสุทธิ์ขึ้นรูปด้วยค้อน ทั้งฐานและลำตัวของคันประทีป พวกตัวดอก ฐานดอก และพวกกลีบดอกทั้งหมดต้องขึ้นเป็นชิ้นเดียว
\v 32 หกกิ่งแยกออกจากคันประทีปข้างละสามกิ่ง และสามกิ่งของคันประทีปจะต้องยื่นออกมาจากอีกฟากหนึ่ง
\s5
\p
\v 33 กิ่งแรกจะต้องมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ตูมมีฐานดอกและกลีบดอก และอีกกิ่งหนึ่งมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ตูมมีฐานดอกและกลีบดอก จะต้องเหมือนกันทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากลำคันประทีป
\v 34 บนลำคันประทีปตรงกลางจะต้องมีสี่ถ้วยที่ทำเป็นเหมือนรูปดอกอัลมอนด์ตูม รองด้วยฐานดอกและกลีบดอกอย่างละสี่ดอก
\s5
\p
\v 35 ให้ทำดอกตูมดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่แรก อีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สองให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย และในทำนองเดียวกันอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สามทำขึ้นเป็นชิ้นเดียวกัน จะต้องเหมือนกันสำหรับทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป
\v 36 ฐานดอกและกิ่งต่างๆ จะต้องเป็นชิ้นเดียวกัน ให้ตีขึ้นรูปด้วยค้อนจากทองคำบริสุทธิ์แผ่นเดียวกัน
\s5
\p
\v 37 พวกเจ้าต้องทำคันประทีปและประทีปทั้งเจ็ด และจัดวางคันประทีปเพื่อให้เกิดความสว่างจากคันประทีป
\v 38 กรรไกรตัดไส้ประทีปและถาดรองต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
\v 39 ใช้ทองคำบริสุทธิ์หนึ่งตะลันต์ทำคันประทีปและเครื่องประกอบทั้งหมด
\v 40 ต้องมั่นใจว่าทำตามแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าบนภูเขา
\s5
\c 26
\p
\v 1 พวกเจ้าต้องสร้างพลับพลาด้วยผ้าม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี และขนแกะย้อมสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ปักเป็นภาพเครูบ สิ่งนี้จะเป็นงานของช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญมาก
\v 2 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนต้องยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ผ้าม่านทุกผืนให้มีขนาดเท่ากัน
\v 3 ผ้าม่านห้าผืนจะต้องให้ติดกัน และอีกห้าผืนนั้นจะต้องติดกันด้วย
\s5
\p
\v 4 พวกเจ้าต้องทำหูผ้าม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามปลายขอบผ้าม่านด้านนอกสุดของผ้าม่านชุดแรก ในลักษณะเดียวกันพวกเจ้าต้องทำตามปลายขอบด้านนอกสุดของผ้าม่านชุดสอง
\v 5 พวกเจ้าต้องทำหูห้าสิบหูที่ผ้าม่านชุดที่หนึ่ง และพวกเจ้าต้องทำหูห้าสิบหูที่ขอบผ้าม่านในชุดที่สอง จงทำดังนี้ เพื่อให้หูผ้าม่านเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกันและกัน
\v 6 พวกเจ้าต้องทำตะขอทองคำห้าสิบตะขอ และร้อยผ้าม่านทั้งสองชุด เพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
\s5
\p
\v 7 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านด้วยขนแพะสำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลา พวกเจ้าต้องทำม่านเหล่านั้นสิบเอ็ดผืน
\v 8 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนต้องเป็นสามสิบศอก และความกว้างของผ้าม่านแต่ละผืนจะต้องเป็นสี่ศอก ผ้าม่านสิบเอ็ดผืนแต่ละผืนจะต้องเป็นขนาดที่เท่ากัน
\v 9 พวกเจ้าต้องร้อยผ้าม่านห้าผืนแต่ละผืนให้ติดกันและม่านอีกหกผืนให้ติดกัน เจ้าต้องพับผ้าม่านผืนที่หกสองชั้นให้อยู่ข้างหน้าเต็นท์
\s5
\p
\v 10 พวกเจ้าต้องทำหูผ้าม่านห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านด้านนอกสุดชุดแรก และอีกห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
\v 11 พวกเจ้าต้องทำตะขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบตะขอ และจงร้อยตะขอเข้าที่หูผ้าม่าน แล้วพวกเจ้าจงโยงเต็นท์เข้าด้วยกันเพื่อให้ติดกันเป็นชิ้นเดียว
\s5
\p
\v 12 ส่วนที่เกินอยู่ครึ่งหนึ่งของผ้าม่านเต็นท์ คือ ส่วนที่เหลือห้อยลงมาของผ้าม่านเต็นท์ ต้องห้อยที่ด้านหลังพลับพลา
\v 13 ด้านหนึ่งของผ้าม่านต้องเป็นหนึ่งศอก และอีกด้านก็ยาวหนึ่งศอก ส่วนที่ยาวเกินไปของผ้าม่านเต็นท์จะต้องห้อยลงมาทางข้างๆ พลับพลามาข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่ง สำหรับใช้กำบัง
\v 14 พวกเจ้าต้องทำผ้าคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และคลุมด้วยหนังอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง
\s5
\p
\v 15 พวกเจ้าต้องทำกรอบไม้ที่ตั้งตรงสำหรับพลับพลาจากไม้กระถินเทศ
\v 16 ความยาวของแต่ละกรอบไม้นั้นให้ยาวสิบศอก และความกว้างจะต้องเป็นหนึ่งศอกครึ่ง
\v 17 ให้กรอบไม้แต่ละอันมีสองเดือยเพื่อให้ยึดติดกันและกัน พวกเจ้าจงทำกรอบไม้ทุกอันของพลับพลาด้วยวิธีนี้
\v 18 เมื่อพวกเจ้าทำกรอบไม้สำหรับพลับพลา พวกเจ้าต้องทำกรอบยี่สิบอันสำหรับด้านใต้
\s5
\p
\v 19 พวกเจ้าต้องทำฐานรองรับด้วยเงินสี่สิบอันสำหรับวางใต้กรอบไม้ยี่สิบอัน ต้องมีฐานสองอันอยู่ใต้กรอบแรกสำหรับสวมเดือยสองอัน และใต้กรอบอื่นๆ ก็ให้มีฐานสองอันสำหรับสวมเดือยสองอัน
\v 20 ด้านที่สองของพลับพลาด้านทิศเหนือนั้น พวกเจ้าต้องใช้กรอบไม้ยี่สิบอัน
\v 21 และฐานเงินสี่สิบอัน จะต้องมีฐานสองอันสำหรับกรอบแรก และฐานสองอันใต้กรอบถัดไปและต่อไปเรื่อยๆ
\s5
\p
\v 22 ส่วนด้านหลังของพลับพลาข้างทิศตะวันตก พวกเจ้าต้องทำกรอบไม้หกอัน
\v 23 พวกเจ้าต้องทำกรอบสองอันสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
\v 24 กรอบไม้เหล่านี้ข้างล่างให้แยกกัน แต่ส่วนบนจะเชื่อมต่อกันด้วยห่วงเดียวกัน จะต้องทำวิธีนี้ที่ด้านหลังของทั้งสองมุม
\v 25 จะมีกรอบไม้แปดอันพร้อมกับฐานเงินสิบหกอัน ในทุกกรอบจะต้องมีฐานสิบหกอัน ฐานสองอันใต้กรอบแรก ฐานสองอันใต้กรอบถัดไป และกรอบต่อๆไป
\s5
\p
\v 26 พวกเจ้าต้องทำกลอนจากไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
\v 27 อีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหลังที่ด้านทิศตะวันตก
\v 28 กลอนตัวกลางซึ่งอยู่ตอนกลางของกรอบไม้จะต้องร้อยไม้ให้ติดกันจากปลายถึงปลาย
\s5
\p
\v 29 พวกเจ้าต้องหุ้มกรอบไม้เหล่านั้นด้วยทองคำ พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสำหรับร้อยกลอน และพวกเจ้าต้องหุ้มกลอนเหล่านั้นด้วยทองคำ
\v 30 พวกเจ้าต้องตั้งพลับพลานั้นตามรูปแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าแล้วบนภูเขา
\s5
\p
\v 31 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านผืนหนึ่งทอด้วยขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินเนื้อดีปักเป็นภาพเครูบ ซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ
\v 32 พวกเจ้าต้องแขวนผ้าม่านนั้นไว้ที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ เสานี้จะต้องมีตะขอทองคำที่ตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน
\v 33 พวกเจ้าต้องแขวนผ้าม่านนั้นใต้ขอสำหรับร้อยม่าน และพวกเจ้าต้องเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในหลังผ้าม่าน ผ้าม่านนั้นจะแบ่งพลับพลาออกเป็นสองส่วนจากสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
\s5
\p
\v 34 พวกเจ้าจงตั้งฝาหีบลบล้างบาปนั้นไว้บนหีบพระโอวาทในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
\v 35 พวกเจ้าต้องตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่าน เจ้าต้องวางคันประทีปตรงข้ามกับโต๊ะทางด้านทิศใต้ของพลับพลา โต๊ะต้องตั้งไว้ทางด้านทิศเหนือ
\s5
\p
\v 36 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านบังตาที่ประตูทางเข้าเต็นท์ เจ้าต้องทำด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินสองเส้นเนื้อดี ซึ่งเป็นงานของช่างปัก
\v 37 สำหรับการแขวน พวกเจ้าต้องทำเสาห้าต้นจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ ตะขอของเสาเหล่านั้นต้องทำด้วยทองคำ และพวกเจ้าต้องหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าอันสำหรับรองรับเสานั้น
\s5
\c 27
\p
\v 1 พวกเจ้าต้องทำแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศยาวห้าศอกและกว้างห้าศอก แท่นบูชาจะต้องเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสูงสามศอก
\v 2 พวกเจ้าต้องทำเชิงงอนสี่มุมบนแท่นให้แหลมเหมือนเขาวัวตัวผู้ เชิงงอนเหล่านั้นทำเป็นเนื้อเดียวกันกับแท่น และพวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\p
\v 3 พวกเจ้าต้องทำอุปกรณ์สำหรับแท่นบูชาคือ พวกหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว อ่าง ส้อมเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟต่างๆ พวกเจ้าต้องทำเครื่องใช้ทุกอย่างด้วยทองสัมฤทธิ์
\v 4 พวกเจ้าต้องทำตะแกรงสำหรับแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ จงทำห่วงทองสัมฤทธิ์ติดทั้งสี่มุมของตะแกรงนั้น
\s5
\p
\v 5 พวกเจ้าต้องให้ตะแกรงนั้นอยู่ใต้ขอบของแท่นบูชา และระดับกลางแท่น
\v 6 พวกเจ้าต้องทำไม้คานสำหรับหามแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศ และพวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\p
\v 7 ไม้คานนั้นต้องใส่เข้าในห่วง และไม้คานจะต้องอยู่ข้างแท่นบูชาทั้งสองด้านเพื่อใช้หาม
\v 8 พวกเจ้าต้องทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานแต่ข้างในแท่นให้กลวง พวกเจ้าต้องทำตามแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าแล้วที่ภูเขา
\s5
\p
\v 9 พวกเจ้าต้องสร้างลานพลับพลา จะต้องมีผ้าม่านทางด้านใต้ของลาน ผ้าม่านทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่ยาวหนึ่งร้อยศอก
\v 10 ผ้าม่านจะต้องมีเสายี่สิบต้นกับฐานทองคำสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน มีพวกตะขอเงินและราวเงินเพื่อยึดเสาต่างๆ
\s5
\p
\v 11 ในทำนองเดียวกัน ด้านทิศเหนือจะต้องมีผ้าม่านยาวหนึ่งร้อยศอกติดกับเสายี่สิบต้น ฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอเงินและราวเงินสำหรับยึดเสาต่างๆ
\v 12 ด้านตะวันตกของลานจะต้องมีผ้าม่านยาวห้าสิบศอก จะต้องมีเสาสิบต้นและฐานรองรับเสาสิบฐาน
\v 13 ลานด้านตะวันออกจะต้องมีผ้าม่านยาวห้าสิบศอกเช่นกัน
\s5
\p
\v 14 ผ้าม่านด้านริมทางเข้าข้างหนึ่งจะต้องยาวสิบห้าศอก จะต้องมีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน
\v 15 อีกข้างหนึ่งให้มีผ้าม่านยาวสิบห้าศอก จะต้องมีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
\v 16 ประตูของลานจะต้องเป็นผ้าม่านยาวยี่สิบศอก ผ้าม่านจะต้องทำด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดีซึ่งเป็นงานของช่างปัก จะต้องมีเสาสี่ต้นและฐานรองรับเสาสี่ฐาน
\s5
\p
\v 17 เสาทั้งหมดที่รอบลานจะต้องมีราวเงิน ตะขอเงิน และฐานทองสัมฤทธิ์
\v 18 ความยาวของผ้ารอบลานจะต้องเป็นหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก และสูงห้าศอกทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี และมีฐานทองสัมฤทธิ์
\v 19 อุปกรณ์ทั้งสิ้นที่จะใช้ในพลับพลา พร้อมทั้งหลักหมุดเต็นท์ทุกตัวของพลับพลา และของลานพลับพลาต้องทำด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\p
\v 20 เจ้าต้องสั่งประชาชนอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และที่สกัดไว้สำหรับคันประทีป ฉะนั้นพวกเขาจะได้ให้ไฟลุกไหม้อยู่เสมอ
\v 21 ในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าพลับพลาที่มีหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาดูแลคันประทีปนั้นให้ไฟลุกอยู่เสมอต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า กฎนี้จะเป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับประชาชนอิสราเอลทุกชั่วอายุ
\s5
\c 28
\p
\v 1 จงไปเรียกอาโรนพี่ชายของเจ้า และพวกบุตรชายของเขาคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ จากพวกชาวอิสราเอล เพื่อที่พวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต
\v 2 เจ้าต้องทำเครื่องแต่งกายสำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้าให้แยกต่างหากสำหรับเรา เครื่องแต่งกายนี้จะเป็นเกียรติและความงามสง่าของเขา
\v 3 เจ้าจะต้องพูดกับประชาชนทั้งหมดซึ่งจิตใจฉลาด ผู้เหล่านั้นที่เราให้พวกเขาเต็มไปด้วยปัญญา เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนเพื่อรับใช้เราในฐานะปุโรหิตของเรา
\s5
\p
\v 4 เครื่องแต่งกายที่ให้พวกเขาต้องทำได้แก่ ทับทรวง เสื้อเอโฟด เสื้อคลุม เสื้อคลุมถัก ผ้าโพกศีรษะ และสายรัดเอว พวกเขาจะต้องทำเครื่องแต่งกายแยกต่างหากสำหรับเรา พวกเขาจะทำเพื่ออาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกบุตรชายของเขาเพื่อพวกเขาจะได้รับใช้เราในฐานะปุโรหิต
\v 5 พวกช่างฝีมือต้องใช้ผ้าลินินเนื้อดี ใช้ทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม
\s5
\p
\v 6 พวกเขาต้องทำเสื้อเอโฟด นั่นคือทองคำ สีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินสองเส้นเนื้อดี ต้องเป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ
\v 7 ต้องมีแถบผูกบ่าสองชิ้นที่มุมด้านบนสองข้าง
\v 8 สายรัดเอวที่ทออย่างประณีตที่เป็นเหมือนเสื้อเอโฟด ต้องก็ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกับเสื้อเอโฟด ทำจากผ้าลินินเนื้อดีเส้นคู่ ด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม
\v 9 พวกเจ้าต้องใช้หินโอนิกซ์สองแผ่นและสลักชื่อบุตรชายบนแผ่นหินนั้นเป็นชื่อของบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล
\s5
\p
\v 10 หินแผ่นที่หนึ่งจะต้องมีหกชื่อ และอีกหกชื่อต้องอยู่บนหินอีกแผ่น เรียงตามลำดับการเกิดของพวกบุตรชาย
\v 11 งานของช่างแกะสลักหินเป็นเหมือนอย่างสลักตรา พวกเจ้าต้องต้องแกะสลักหินสองแผ่นด้วยชื่อของบุตรชายสิบสองคนของอิสราเอล พวกเจ้าต้องติดบรรดาหินบนเรือนทองคำ
\v 12 เจ้าต้องร้อยหินทั้งชิ้นนี้เข้ากับแถบบ่าทั้งสองข้างของเสื้อเอโฟด หินเหล่านั้นจะทำให้พระยาห์เวห์จดจำพวกบุตรชายของอิสราเอล อาโรนจะแบกชื่อพวกเขาไว้บนไหล่ทั้งสองข้างต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อให้เป็นที่ทรงจดจำเขา
\s5
\p
\v 13 พวกเจ้าต้องทำเรือนทองคำ
\v 14 และสร้อยสองเส้นด้วยทองคำบริสุทธิ์เหมือนถักเกลียว และพวกเจ้าต้องติดสร้อยที่เรือนทองคำ
\s5
\p
\v 15 พวกเจ้าต้องทำทับทรวงแห่งการตัดสินซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับที่ใช้ทำเสื้อเอโฟด ทำด้วยทองคำ สีฟ้า สีม่วง ผ้าขนสัตว์สีแดงเข้มและผ้าลินินเนื้อดี
\v 16 จงทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกเจ้าต้องพับผ้าสองชั้น ยาวหนึ่งช่วงและกว้างหนึ่งช่วง
\s5
\p
\v 17 พวกเจ้าต้องติดอัญมณีเป็นสี่แถว แถวแรกจะต้องติดทับทิม บุษราคัมและโกเมน
\v 18 แถวที่สองต้องติดมรกต ไพลิน และเพชร
\v 19 แถวที่สามต้องติดเพทาย โมรา และแอเมทิสต์
\v 20 แถวที่สี่ต้องติดเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ หินเหล่านี้ต้องติดในเรือนทองคำ
\s5
\p
\v 21 อัญมณีทั้งหลายต้องจัดเรียงตามชื่อของบุตรชายของอิสราเอลทั้งสิบสองคนไว้ตามลำดับชื่อ หินเหล่านั้นต้องสลักเหมือนสลักตรา แต่ละชื่อจะแทนแต่ละเผ่าจากสิบสองเผ่า
\v 22 พวกเจ้าต้องทำทับทรวง ลักษณะคล้ายเชือกถักเกลียว เป็นงานถักด้วยทองคำบริสุทธิ์
\v 23 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วงสำหรับทับทรวงและต้องติดที่มุมบนทั้งสองของทับทรวง
\v 24 พวกเจ้าต้องติดห่วงสองห่วงที่มุมสองมุมของผ้าทับทรวง
\s5
\p
\v 25 พวกเจ้าต้องติดที่ปลายของสร้อยทั้งสองข้างให้ติดกับเรือนทั้งสองข้าง แล้วพวกเจ้าต้องติดสิ่งเหล่านี้ที่แถบยึดเสื้อเอโฟดบนบ่าไว้ที่ข้างหน้า
\v 26 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง และพวกเจ้าต้องติดที่มุมล่างทั้งสองมุมของทับทรวง บนมุมถัดไปข้างใน
\s5
\p
\v 27 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง และพวกเจ้าต้องใส่ใต้แถบที่ผูกไหล่ทั้งสองของเสื้อเอโฟดตรงด้านหน้า ใกล้กับตะเข็บเหนือสายรัดเอวซึ่งทออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด
\v 28 พวกเขาต้องมัดทับทรวงด้วยห่วงของมันและร้อยกับห่วงของเสื้อเอโฟดด้วยด้ายถักสีฟ้า เพื่อที่จะติดทับสายรัดเอวถักของเสื้อเอโฟด สิ่งนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้ทับทรวงหลุดจากเสื้อเอโฟด
\s5
\p
\v 29 เมื่ออาโรนเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ เขาต้องแขวนชื่อบรรดาบุตรชายของอิสราเอลจารึกไว้ที่อกของเขาในทับทรวงแห่งการตัดสิน ให้เป็นที่จดจำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 30 พวกเจ้าจงใส่อูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวงแห่งการตัดสิน เพื่อที่ทั้งสองสิ่งนี้จะแนบที่ใจของอาโรนเมื่อเขาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ ดังนั้นอาโรนจะเอาเครื่องมือการตัดสินใจเพื่อชนชาติอิสราเอลไว้ที่หัวใจของเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์อย่างสม่ำเสมอ
\s5
\p
\v 31 พวกเจ้าต้องทำเสื้อคลุมให้เข้ากับเสื้อเอโฟดด้วยผ้าสีม่วงล้วน
\v 32 ให้ทำช่องตรงกลางผืนเสื้อสำหรับสวมทางศีรษะ ช่องนี้จะต้องมีแถบทอรอบคอเพื่อเสื้อจะไม่ขาด สิ่งนี้จะต้องเป็นงานของช่างทอ
\s5
\p
\v 33 ที่ชายล่างของเสื้อคลุม เจ้าต้องทำผลทับทิมต่างๆ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ กระดิ่งทองคำต้องติดสลับโดยรอบ
\v 34 จะต้องมีกระดิ่งทองคำลูกหนึ่ง และผลทับทิมผลหนึ่ง กระดิ่งทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง และต่อๆ ไป รอบชายล่างของเสื้อคลุม
\v 35 อาโรนจะสวมเสื้อคลุมนี้เมื่อเขารับใช้ เพื่อว่าเสียงกระดิ่งจะได้ยินเมื่อเขาเข้าพบพระยาห์เวห์ในสถานบริสุทธิ์และเมื่อเขาได้ออกมา เหตุนี่แหละเขาจะไม่ตาย
\s5
\p
\v 36 พวกเจ้าต้องทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์และสลักไว้ เหมือนอย่างสลักตราว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระยาห์เวห์”
\v 37 พวกเจ้าต้องเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้ให้อยู่ที่ข้างหน้าผ้าโพกศีรษะ
\v 38 แผ่นทองคำนั้นจะอยู่ที่บนหน้าผากของอาโรน เขาต้องแบกความผิดใดต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับของบูชาอันบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ อาโรนจะต้องคาดผ้าโพกศีรษะที่หน้าผากไว้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงรับของถวายของพวกเขา
\s5
\p
\v 39 พวกเจ้าต้องทำเสื้อคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อดี และพวกเจ้าต้องทำผ้าโพกศีรษะนั้นด้วยผ้าลินินเนื้อดี พวกเจ้าต้องทำสายรัดเอวด้วยซึ่งเป็นงานของช่างปัก
\s5
\p
\v 40 สำหรับพวกบุตรชายของอาโรน พวกเจ้าต้องทำบรรดาเสื้อคลุม สายรัดเอว และผ้าโพกศีรษะเพื่อเป็นเกียรติและความงามสง่าของพวกเขา
\v 41 พวกเจ้าต้องสวมใส่ชุดให้อาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกบุตรชายของเขา พวกเจ้าต้องเจิม สถาปนาพวกเขาและแยกพวกเขาออกต่างหากเพื่อเรา เพื่อว่าพวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต
\s5
\p
\v 42 พวกเจ้าต้องทำบรรดาเสื้อตัวในให้พวกเขาด้วยผ้าลินินที่จะสวมปกปิดร่างกาย ซึ่งจะคลุมพวกเขาตั้งแต่เอวไปจนถึงต้นขา
\v 43 อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องสวมเครื่องแต่งกายเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาเพื่อจะรับใช้ในสถานบริสุทธิ์ พวกเขาต้องทำสิ่งนี้เพื่อพวกเขาจะไม่มีความผิดและพวกเขาจะถึงชีวิต เรื่องนี้ให้เป็นกฎถาวรสำหรับอาโรน และลูกหลานของเขาสืบไป
\s5
\c 29
\p
\v 1 เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำที่จะแยกพวกเขาไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต จงเอาโคหนุ่มหนึ่งตัวและแกะตัวผู้สองตัวซึ่งไร้ตำหนิ
\v 2 ขนมปังไร้เชื้อ และขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน และขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน จงทำขนมเหล่านี้ด้วยแป้งสาลีอย่างดี
\s5
\p
\v 3 พวกเจ้าต้องใส่ขนมเหล่านี้ไว้ในตระกร้าเดียว จงนำมาพร้อมกับตระกร้า และถวายพร้อมกับโคตัวผู้ และแกะตัวผู้สองตัว
\v 4 พวกเจ้าต้องพาอาโรนและพวกบุตรชายของเขามาแสดงตัวที่ประตูเต็นท์นัดพบ แล้วจงชำระตัวอาโรนและพวกบุตรชายของเขาในน้ำ
\s5
\p
\v 5 พวกเจ้าต้องนำเครื่องแต่งกายและสวมใส่ให้อาโรนด้วยเสื้อคลุม เสื้อคลุมยาวเอโฟด เสื้อเอโฟดและทับทรวง ผูกสายคาดเอวของเอโฟดที่ทออย่างประณีตให้แน่นรอบเขา
\v 6 เจ้าต้องพันผ้าโพกศีรษะบนศีรษะของเขาและสวมมงกุฎบริสุทธิ์ทับผ้าโพกศีรษะ
\v 7 แล้วนำน้ำมันเจิมมาและรินลงบนศีรษะของเขา และนี่แหละเป็นวิธีที่เจิมเขา
\s5
\p
\v 8 พวกเจ้าต้องนำพวกบุตรชายของเขามาและสวมเสื้อคลุมให้พวกเขา
\v 9 พวกเจ้าต้องให้อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาใส่สายรัดเอว และจงคาดสายรัดศีรษะให้พวกเขา แล้วงานในฐานะปุโรหิตก็จะเป็นของพวกเขาตามกฎบัญญัติตลอดไป นี้แหละเป็นวิธีที่เจ้าต้องแต่งตั้งอาโรนและพวกบุตรชายของเขาไว้เพื่อรับใช้เรา
\s5
\p
\v 10 พวกเจ้าทุกคนต้องนำโคตัวผู้ทุกตัวมาที่หน้าเต็นท์นัดพบ และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือลงบนหัวโค
\v 11 พวกเจ้าต้องฆ่าโคตัวผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ทางเข้าประตูเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 12 พวกเจ้าต้องนำเลือดโคบางส่วนและใช้นิ้วมือจุ่มทาที่เชิงงอนของแท่นบูชาและพวกเจ้าต้องรินเลือดที่เหลือที่ฐานแท่นบูชา
\v 13 พวกเจ้าต้องเอาไขมันทั้งหมดที่หุ้มเครื่องในและตับ และไตทั้งสองลูกรวมทั้งไขมันที่ติดไตนั้นมาเผาทั้งหมดบนแท่นบูชา
\v 14 แต่เนื้อกับหนัง และมูลของโคนั้น พวกเจ้าต้องเผาไฟที่นอกค่าย นี่เป็นเครื่องบูชาถวายลบล้างบาป
\s5
\p
\v 15 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้หนึ่งตัวมา และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือบนหัวของมัน
\v 16 พวกเจ้าต้องฆ่าแกะตัวนั้น และเอาเลือดพรมไปรอบๆ แท่น
\v 17 พวกเจ้าต้องสับแกะตัวนั้นออกเป็นท่อนและล้างเครื่องในกับขาของมัน และพวกเจ้าต้องวางเครื่องในไว้กับส่วนอื่นพร้อมกับหัวของมัน
\v 18 บนแท่นบูชานั้นจงเผาแกะตัวผู้ทั้งตัว เป็นเครื่องถวายเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ เป็นกลิ่นที่หอม เป็นเครื่องถวายบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 19 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่งมา และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือบนหัวของมัน
\v 20 แล้วพวกเจ้าต้องฆ่าแกะตัวผู้และนำเลือดส่วนหนึ่งมา ทาที่ปลายหูขวาของอาโรน และปลายหูขวาของพวกบุตรชายของเขา ที่หัวแม่มือขวา และที่หัวแม่เท้าขวาของพวกเขา แล้วเจ้าต้องพรมเลือดรอบแท่นบูชาทุกด้าน
\s5
\p
\v 21 พวกเจ้าต้องนำเลือดส่วนหนึ่งที่อยู่บนแท่นบูชากับน้ำมันเจิมบางส่วน และพรมอาโรนและบรรดาเครื่องแต่งกายของเขา และจงพรมพวกบุตรของเขา และบรรดาเครื่องแต่งกายของพวกเขาด้วย อาโรนและบรรดาเครื่องแต่งกายของเขาจะต้องแยกไว้สำหรับเรา พร้อมทั้งบรรดาเครื่องแต่งกายของเขา บุตรชายของเขา และบรรดาเครื่องแต่งกายของพวกบุตรชายของเขาที่อยู่กับเขา
\s5
\p
\v 22 พวกเจ้าต้องเอาไขมันของแกะตัวผู้ ซึ่งเป็นไขมันส่วนหาง ไขมันหุ้มเครื่องใน ไขมันหุ้มตับ ไตทั้งสองลูกกับไขมันหุ้มไต และโคนขาขวาด้วย เพราะเป็นแกะตัวผู้ที่ใช้เพื่อการแต่งตั้งปุโรหิตสำหรับเรา
\v 23 จงนำขนมปังหนึ่งก้อน ขนมคลุกน้ำมันหนึ่งแผ่น และขนมปังบางหนึ่งแผ่นจากตระกร้าขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 24 พวกเจ้าต้องนำสิ่งเหล่านี้ใส่ในมือทั้งสองข้างของอาโรนและมือทั้งสองข้างของพวกบุตรชายของเขา และถวายโบกของเหล่านั้นสำหรับเราเป็นเครื่องถวายโบกบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
\v 25 พวกเจ้าต้องรับอาหารจากมือของพวกเขาและนำไปเผารวมกับเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมสำหรับเรา เป็นเครื่องถวายบูชาแด่เราด้วยไฟ
\s5
\p
\v 26 พวกเจ้าต้องเอาเนื้อส่วนอกจากแกะตัวผู้สำหรับถวายของอาโรนและถวายโบกเป็นเครื่องถวายโบกบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และมันจะเป็นส่วนแบ่งของพวกเจ้า
\v 27 พวกเจ้าต้องเอาเนื้ออกของเครื่องถวายโบกบูชาที่ถวายโบกแล้วแยกออกไว้สำหรับเรา และเนื้อโคนขาที่เป็นส่วนของปุโรหิต ทั้งส่วนอกที่ถวายโบกแล้วและเนื้อโคนขาซึ่งจะเป็นส่วนแบ่งของอาโรนและพวกบุตรชายของเขา
\v 28 สิ่งเหล่านี้จะเป็นกฎตลอดกาลสำหรับอาโรนและพวกบุตรชายของเขา ที่จะได้รับจากชาวอิสราเอลเพื่อถวายแด่พระยาห์เวห์จากเครื่องถวายสันติบูชา
\s5
\p
\v 29 เครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ของอาโรนต้องสงวนไว้สำหรับพวกบุตรชายของเขาสืบไป พวกเขาต้องได้รับการเจิมและแต่งตั้งในพวกเขาเพื่อเรา
\v 30 ปุโรหิตผู้สืบทอดแทนอาโรนจากพวกบุตรชายของเขา ผู้ซึ่งจะมายังเต็นท์นัดพบสำหรับรับใช้เราในสถานบริสุทธิ์ จะต้องสวมบรรดาเครื่องแต่งกายเหล่านี้เป็นเวลาเจ็ดวัน
\s5
\p
\v 31 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้สำหรับแต่งตั้งบรรดาปุโรหิตสำหรับเราและเอาเนื้อมาต้มในสถานบริสุทธิ์
\v 32 อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาต้องกินเนื้อแกะตัวผู้นั้นกับขนมปังซึ่งอยู่ในตระกร้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\v 33 พวกเขาต้องกินเนื้อและขนมปังที่นำมาถวายบูชาลบล้างบาปและแต่งตั้งพวกเขา เพื่อจะแยกพวกเขาออกมาสำหรับเรา แต่คนอื่นๆ จะกินไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นของที่ได้ถวายแก่เราแล้ว ได้สงวนไว้สำหรับเรา
\v 34 ถ้าเนื้อที่ใช้ในเครื่องถวายสถาปนาบูชา หรือขนมปังใดๆ นั้นยังเหลืออยู่จนถึงตอนเช้า แล้วเจ้าต้องเผามันเสีย ห้ามกินเพราะเป็นสิ่งที่แยกไว้สำหรับเราแล้ว
\s5
\p
\v 35 ด้วยวิธีนี้แหละให้ทำตามทุกสิ่งที่เราได้บัญชาพวกเจ้าให้ทำ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่ออาโรนและพวกบุตรชายของเขา เป็นเวลาเจ็ดวันที่พวกเจ้าจะต้องเตรียมพวกเขา
\v 36 ทุกวันพวกเจ้าต้องนำโคผู้หนึ่งตัวมาถวายเป็นเครื่องถวายบูชาลบล้างบาป พวกเจ้าต้องชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์โดยการลบล้างบาปให้กับแท่นนั้นและพวกเจ้าต้องเจิมแท่นนั้นเพื่อแยกไว้สำหรับเรา
\v 37 เป็นเวลาเจ็ดวัน พวกเจ้าต้องทำการลบล้างบาปให้กับแท่นนั้นและแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ แล้วแท่นบูชาแยกไว้สำหรับเราจะสมบูรณ์ สิ่งใดก็ตามที่สัมผัสกับแท่นนี้ก็จะต้องแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 38 พวกเจ้าต้องถวายบูชาบนแท่นบูชาทุกวัน ด้วยลูกแกะอายุหนึ่งปีสองตัว
\v 39 พวกเจ้าต้องนำลูกแกะหนึ่งตัวมาถวายบูชาตอนเช้า และอีกตัวหนึ่งมาถวายบูชาตอนเย็น
\s5
\p
\v 40 พร้อมกับลูกแกะตัวที่หนึ่งนั้น จงถวายแป้งอย่างดีหนึ่งส่วนสิบเอฟาร์ เคล้าน้ำมันที่สกัดไว้จากบรรดาผลมะกอกหนึ่งในสี่ฮิน และเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินเป็นเครื่องถวายดื่มบูชา
\s5
\p
\v 41 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะตัวที่สองประมาณเวลาพระอาทิตย์ตก เจ้าต้องถวายเครื่องถวายธัญบูชาเช่นเดียวกับตอนเช้า และเครื่องถวายดื่มบูชาคู่กันด้วย ให้เป็นกลิ่นหอมสำหรับเรา เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟสำหรับเรา
\v 42 นี่จะต้องเป็นเครื่องถวายเผาบูชาเสมอไปตลอดทุกยุคของพวกเจ้า ทางเข้าเต็นท์นัดพบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ซึ่งเราจะพบพวกเจ้าและจะพูดกับพวกเจ้าที่นั่น
\s5
\p
\v 43 นั่นคือที่ที่เราจะพบกับชาวอิสราเอล คือเต็นท์จะแยกไว้สำหรับเราด้วยพระสิริของเรา
\v 44 เราจะแยกเต็นท์นัดพบและแท่นบูชาไว้สำหรับเรา เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นของเราแต่ผู้เดียว เราจะแยกอาโรนและพวกบุตรชายของเขาไว้ให้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา
\s5
\p
\v 45 เราจะอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
\v 46 พวกเขาจะได้รู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา ผู้ได้นำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา
\s5
\c 30
\p
\v 1 พวกเจ้าต้องสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม พวกเจ้าต้องทำแท่นนั้นด้วยไม้กระถินเทศ
\v 2 ความยาวจะต้องเป็นหนึ่งศอก และความกว้างของมันหนึ่งศอก มันต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนต้องทำเป็นชิ้นเดียวกับแท่น
\s5
\p
\v 3 พวกเจ้าต้องหุ้มแท่นบูชาเครื่องหอมด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบน ด้านข้าง และเชิงงอน พวกเจ้าต้องทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบแท่น
\v 4 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง ติดใต้ขอบทั้งสองด้านที่อยู่ตรงข้ามกัน ห่วงนั้นจะต้องเป็นตัวสำหรับใส่ไม้คานเพื่อหามแท่น
\s5
\p
\v 5 พวกเจ้าต้องทำไม้คานหามจากไม้กระถินเทศและพวกเจ้าต้องหุ้มมันด้วยทองคำ
\v 6 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นเผาเครื่องหอมนั้นไว้ข้างหน้าม่าน ซึ่งอยู่ใกล้หีบแห่งสักขีพยาน มันต้องอยู่ข้างหน้าฝาหีบลบล้างบาป ซึ่งอยู่เหนือหีบแห่งสักขีพยาน ที่ซึ่งเราจะพบกับพวกเจ้า
\s5
\p
\v 7 อาโรนต้องเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้นทุกเช้า เขาต้องเผาเครื่องหอมนั้นเมื่อเขาดูแลประทีป
\v 8 และอาโรนจุดประทีปอีกในเวลาเย็น ดังนั้นเครื่องหอมจะเผาบนแท่นนั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เสมอไปตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า
\v 9 แต่พวกเจ้าห้ามนำเครื่องหอมอื่น หรือห้ามนำเครื่องเผาบูชา หรือ เครื่องธัญบูชามาเผาบนแท่นบูชาเครื่องหอม พวกเจ้าต้องห้ามรินเครื่องดื่มบูชาบนแท่นนั้น
\s5
\p
\v 10 อาโรนต้องทำพิธีลบล้างบาปที่เชิงงอนปีละครั้ง ด้วยเลือดของเครื่องบูชาลบล้างบาป เขาต้องการล้างบาปให้กับแท่นนั้นปีละครั้งตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า แท่นนั้นจะแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์”
\s5
\p
\v 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 12 “เมื่อพวกเจ้าจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอล แล้วจงให้แต่ละคนนำค่าไถ่ชีวิตของตนมาถวายแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำสิ่งนี้หลังจากที่เจ้านับพวกเขา เพื่อว่าจะไม่มีหายนะเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขาเมื่อนับพวกเขา
\v 13 ทุกคนที่ถูกนับในทะเบียนสำมะโนครัวจะต้องถวายดังนี้ คือ เงินหนักครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลจะเป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์
\v 14 ทุกคนที่ถูกนับ ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป เมื่อประชาชนนำของมาถวายบูชาแด่เรา
\s5
\p
\v 15 เมื่อประชาชนถวายเครื่องบูชานี้แด่เราเพื่อลบล้างบาปสำหรับชีวิตของตนนั้น คนมั่งมีต้องไม่ถวายเกินครึ่งเชเขล และคนจนก็ต้องไม่ถวายน้อยกว่านั้น
\v 16 พวกเจ้าต้องรับเงินค่าลบล้างบาปจากชนชาติอิสราเอล และพวกเจ้าต้องจัดสรรเงินเพื่องานของเต็นท์นัดพบ จะต้องเป็นเครื่องเตือนใจของชาวอิสราเอลต่อหน้าเรา เพื่อจะลบล้างบาปสำหรับชีวิตพวกเจ้า”
\s5
\p
\v 17 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 18 “พวกเจ้าต้องทำอ่างขนาดใหญ่ด้วยทองสัมฤทธิ์พร้อมกับขาตั้งทองสัมฤทธิ์ เป็นอ่างสำหรับล้างชำระ พวกเจ้าต้องตั้งอ่างนั้นไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบและแท่นบูชา และพวกเจ้าต้องเอาน้ำใส่อ่างนั้น
\s5
\p
\v 19 อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาต้องล้างมือและเท้าของพวกเขาด้วยน้ำจากในอ่างนั้น
\v 20 เมื่อพวกเขาเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้แท่นบูชาเพื่อปรนนิบัติเราด้วยเครื่องเผาบูชา พวกเขาต้องล้างด้วยน้ำเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ตาย
\v 21 พวกเขาต้องล้างมือและเท้าเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ตาย และนี่จะเป็นกฎบัญญัติตลอดไปสำหรับสำหรับอาโรนและเชื้อสายของเขาตลอดชั่วลูกหลานของพวกเขา”
\s5
\p
\v 22 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 23 “จงเอาเครื่องเทศอย่างดีเหล่านี้ คือ มดยอบน้ำห้าร้อยเชเขล อบเชยหอม 250 เชเขล ตะไคร้หอม 250 เชเขล
\v 24 การบูรห้าร้อยเชเขล ชั่งตามน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ และน้ำมันมะกอกหนึ่งฮิน
\v 25 พวกเจ้าต้องทำน้ำมันเจิมบริสุทธิ์ด้วยส่วนผสมเหล่านี้ ตามวิธีการของช่างปรุงน้ำหอม จะเป็นน้ำมันเจิมบริสุทธิ์ที่สงวนไว้สำหรับเรา
\s5
\p
\v 26 พวกเจ้าต้องเจิมเต็นท์นัดพบด้วยน้ำมันนั้น รวมทั้งหีบแห่งสักขีพยาน
\v 27 โต๊ะและเครื่องใช้ทุกอย่าง คันประทีปกับเครื่องใช้ประจำคันประทีป และแท่นเผาเครื่องหอม
\v 28 แท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชา พร้อมเครื่องใช้ทุกอย่าง และอ่างกับฐานรอง
\s5
\p
\v 29 พวกเจ้าต้องแยกสิ่งเหล่านี้ไว้สำหรับเราเพื่อว่ามันจะบริสุทธิ์สำหรับเรา สิ่งใดๆ ที่มาสัมผัสของเหล่านี้ก็จะบริสุทธิ์ไปด้วย
\v 30 พวกเจ้าต้องเจิมอาโรนกับพวกบุตรชายของเขาและแยกพวกเขาไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา
\v 31 พวกเจ้าต้องแจ้งแก่ชาวอิสราเอลว่า ‘นี่เป็นน้ำมันเจิมที่แยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ตลอดชั่วลูกหลานของเจ้า
\s5
\p
\v 32 ห้ามใช้น้ำมันนี้กับผิวหนังคน และห้ามทำน้ำมันอื่นให้มีส่วนผสมเหมือนน้ำมันนี้ เพราะน้ำมันนี้แยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถือรักษาลักษณะนี้
\v 33 ใครก็ตามผสมน้ำมันหอมอย่างนี้ หรือใครใช้ชโลมคนอื่น คนนั้นจะถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา’”
\s5
\p
\v 34 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเอาเครื่องเทศ คือ กำยาน ชะมด และมหาหิงค์ ผสมกับกำยานบริสุทธิ์ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
\v 35 จงผสมตามแบบของเครื่องหอม ผสมอย่างช่าง ปรุงด้วยเกลือ ให้เป็นของบริสุทธิ์ และแยกไว้ต่างหาก
\v 36 พวกเจ้าจะบดมันอย่างละเอียดอย่างมาก วางไว้หน้าหีบแห่งสักขีพยาน ซึ่งอยู่ในเต็นท์นัดพบ ที่เราจะมาพบกับเจ้า พวกเจ้าต้องถือว่าเครื่องหอมนั้นบริสุทธิ์มากสำหรับเรา
\s5
\p
\v 37 ส่วนเครื่องหอมที่พวกเจ้าจะทำนั้น พวกเจ้าต้องไม่ทำเหมือนส่วนผสมนี้เพื่อใช้เอง ต้องถือว่านี่เป็นของบริสุทธิ์ที่สุดต่อพวกเจ้า
\v 38 ผู้ใดทำเครื่องหอมเช่นนี้ไว้ใช้เป็นน้ำหอมต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา”
\s5
\c 31
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 “ดูเถิด เราได้เลือกเบซาเลลบุตรชายของอุรีผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์จากเผ่ายูดาห์
\s5
\p
\v 3 เราได้ให้เขาเต็มไปด้วยพระวิญญาณของเรา ให้เขามีปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในงานช่างทั้งสิ้น
\v 4 เพื่อจะคิดแบบในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์
\v 5 ในการเจียระไนและประกอบอัญมณี และงานแกะสลักไม้เพื่อที่จะทำงานช่างทั้งหมด
\s5
\p
\v 6 นอกจากเขาแล้ว เราได้ตั้งโอโฮลีอับบุตรชายของอาหิสะมัคจากเผ่าดาน เรายังได้ใส่ทักษะในใจของทุกคนที่ฉลาดเพื่อว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างที่เราได้สั่งเจ้า นี่รวมทั้ง
\v 7 เต็นท์นัดพบ หีบแห่งสักขีพยาน และฝาหีบลบล้างบาปบนหีบ และเครื่องใช้ทุกสื่งของเต็นท์
\v 8 โต๊ะกับเครื่องใช้สำหรับโต๊ะ คันประทีปบริสุทธิ์กับเครื่องใช้ทุกสิ่งสำหรับคันประทีป แท่นบูชาเผาเครื่องหอม
\v 9 แท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชารวมทั้งเครื่องใช้ทุกสิ่งสำหรับแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรอง
\s5
\p
\v 10 นี่รวมทั้งเครื่องแต่งกายที่ถักอย่างประณีตด้วย เครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับพวกบุตรชายของเขา สงวนไว้สำหรับเราเพื่อที่พวกเขาจะได้รับใช้เราในฐานะปุโรหิต
\v 11 นี่รวมไปถึงน้ำมันเจิมและเครื่องหอมสำหรับสถานบริสุทธิ์ พวกช่างเหล่านี้ต้องทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราได้บัญชาเจ้า”
\s5
\p
\v 12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 13 “จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าต้องรักษาวันสะบาโตของพระยาห์เวห์ไว้อย่างเคร่งครัด เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างพระองค์กับพวกเจ้าตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่า พระองค์คือยาห์เวห์ ผู้แยกพวกเจ้าไว้สำหรับพระองค์
\v 14 ดังนั้นพวกเจ้าต้องรักษาวันสะบาโต เพื่อจะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า สงวนไว้สำหรับพระองค์ ผู้ใดทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องตายอย่างแน่นอน ผู้ใดทำงานใดในวันสะบาโต ผู้นั้นต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา
\v 15 จงทำงานทั้งหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพักอย่างสิ้นเชิง เป็นวันบริสุทธิ์ที่สงวนไว้เพื่อพระเกียรติของพระยาห์เวห์ ผู้ใดที่ทำงานในวันสะบาโตต้องถึงตายอย่างแน่นอน
\s5
\p
\v 16 ดังนั้นชนชาติอิสราเอลต้องรักษาวันสะบาโต พวกเขาต้องปฏิบัติตลอดชั่วลูกหลานของพวกเขาเป็นกฎถาวรตลอดไป
\v 17 สะบาโตจะเป็นหมายสำคัญระหว่างพระยาห์เวห์กับชาวอิสราเอลเสมอไป เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพักผ่อนและฟื้นฟูพระทัย’”
\s5
\p
\v 18 เมื่อพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว พระองค์จึงประทานแผ่นพระบัญญัติสองแผ่น ทำจากหินจารึกด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง
\s5
\c 32
\p
\v 1 เมื่อประชาชนเห็นว่าโมเสสชักช้าไม่ลงมาจากภูเขา พวกเขาจึงได้รวมตัวล้อมรอบอาโรน และกล่าวว่า “ มาเถิด จงสร้างรูปเคารพให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้แหละ ผู้ชายคนที่นำเราออกมาจากดินแดนอียิปต์ เราไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขา”
\v 2 ดังนั้นอาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “จงถอดบรรดาตุ้มหูทองจากหูของภรรยาและหูของบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าทั้งหลาย และนำมาให้เราเถิด”
\s5
\p
\v 3 ประชาชนทั้งหมดจึงถอดตุ้มหูทองจากหูของพวกเขาและนำมามอบให้อาโรน
\v 4 เมื่ออาโรนได้รับทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อ และหล่อเป็นรูปลูกโคตัวหนึ่ง แล้วประชาชนพูดว่า “อิสราเอล สิ่งนี้แหละเป็นพระของพวกเจ้า ซึ่งได้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์”
\s5
\p
\v 5 เมื่ออาโรนเห็นดังนั้นแล้ว เขาจึงสร้างแท่นบูชาไว้ต่อหน้ารูปลูกโคนั้น และประกาศว่า “พรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงถวายพระเกียรติพระยาห์เวห์”
\v 6 ประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้าในวันต่อมาและถวายบรรดาเครื่องบูชาเผา และนำบรรดาเครื่องสันติบูชามา แล้วประชาชนจึงนั่งลง กินและดื่ม และแล้วก็ได้ลุกขึ้นรื่นเริงในงานเลี้ยงอย่างเมามาย
\s5
\p
\v 7 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบไปให้เร็ว เพราะว่าประชาชนของพวกเจ้าซึ่งเจ้าได้นำออกจากดินแดนอียิปต์นั้น ได้ทำเรื่องเสื่อมเสีย
\v 8 พวกเขาได้หันจากทางซึ่งเราบัญชาพวกเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาหล่อรูปลูกโคขึ้นสำหรับตนเอง และนมัสการ และถวายบูชาแก่รูปนั้น พวกเขากล่าวว่า อิสราเอล สิ่งนี้แหละเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งได้นำเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์’”
\s5
\p
\v 9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราเห็นชนชาตินี้แล้ว ดูเถิด พวกเขาเป็นชนชาติที่ดื้อรั้น
\v 10 ถึงตอนนี้แล้ว จงอย่าพยายามยับยั้งเรา เพื่อความโกรธของเราจะเผาไหม้พวกเขา ดังนั้นเราจะทำลายพวกเขาเสีย แล้วเราจะสร้างชนชาติใหญ่จากพวกเจ้า”
\v 11 แต่โมเสสพยายามทูลขอการคลายพระพิโรธจากพระยาห์เวห์ เขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เหตุใดพระองค์จึงกริ้วยิ่งนักต่อประชาชนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกจากดินแดนอียิปต์ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์?
\s5
\p
\v 12 เหตุใดจึงควรให้คนอียิปต์กล่าวว่า ‘พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาเพื่อจะทรงทำร้ายพวกเขา เพื่อจะทรงสังหารพวกเขาที่ภูเขาและทำลายพวกเขาเสียจากแผ่นดินโลก? ขอพระองค์ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้า และขอเปลี่ยนพระทัยอย่าทำการลงโทษประชาชนของพระองค์เช่นนี้เลย
\v 13 ขอทรงจดจำอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์เองได้ทรงให้ปฏิญญาเขาเหล่านั้นว่า ‘เราจะให้ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายมากมายเหมือนดังดวงดาวในท้องฟ้า และเราจะยกดินแดนนี้ทั้งหมดที่เราสัญญาให้แก่เชื้อสายของพวกเจ้า พวกเขาจะรับไว้เป็นมรดกตลอดไป’”
\v 14 แล้วพระยาห์เวห์จึงเปลี่ยนพระทัย ไม่ทรงทำการลงโทษอย่างที่พระองค์ทรงมีพระดำริไว้แก่ประชาชนของพระองค์
\s5
\p
\v 15 แล้วโมเสสจึงกลับลงมาจากภูเขา ถือแผ่นพระบัญญัติสองแผ่นในมือของเขา บรรดาแผ่นศิลานั้น จารึกทั้งสองด้าน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
\v 16 แผ่นทั้งสองแผ่นเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง ได้สลักไว้บนแผ่นศิลานั้น
\s5
\p
\v 17 เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงประชาชนตะโกนอยู่ เขาจึงพูดกับโมเสสว่า “มีเสียงดังเหมือนกำลังสู้รบกันอยู่ในค่าย”
\v 18 แต่โมเสสตอบว่า “นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ และไม่ใช่เสียงร้องของผู้แพ้ แต่เป็นเสียงร้องรำทำเพลงที่เราได้ยิน”
\s5
\p
\v 19 เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาเห็นลูกโคและประชาชนกำลังเต้นรำ เขาก็บันดาลโทสะยิ่งนัก เขาทุ่มแผ่นศิลาจากมือของเขาและทำให้มันแตกเสียที่เชิงภูเขานั้น
\v 20 เขาเอาลูกโคที่ประชาชนทำไว้ เผาเสีย บดเป็นผง และโรยลงในน้ำ แล้วเขาให้ประชาชนอิสราเอลดื่ม
\s5
\p
\v 21 แล้วโมเสสกล่าวกับอาโรนว่า “ประชาชนนี้ทำอะไรแก่ท่านเล่า ท่านจึงนำบาปใหญ่นี้มาสู่พวกเขา?”
\v 22 อาโรนตอบว่า “อย่าให้ความโกรธของท่านเดือดเลย เจ้านาย ท่านก็รู้จักประชาชนพวกนี้แล้วว่า พวกเขารู้วิธีที่จะทำชั่ว
\v 23 พวกเขามาบอกข้าพเจ้าว่า ‘ขอสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกจากดินแดนอียิปต์นั้น เราไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขา’
\v 24 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ‘ใครมีทองคำให้ปลดออกมา’ พวกเขามอบทองคำให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้โยนลงไปในไฟ และผลคือลูกโคนี้”
\s5
\p
\v 25 โมเสสเห็นว่าประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ (เพราะอาโรนปล่อยเขาทั้งหลายจนไม่สามารถควบคุมได้ เป็นเหตุให้พวกเขาถูกพวกศัตรูของพวกเขาเย้ยหยัน)
\v 26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายและพูดว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ จงมาหาเราเถิด” คนเลวีทั้งหมดมาหาเขาพร้อมกัน
\v 27 โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แต่ละคน จงเหน็บดาบแนบกาย และไปมาตามประตูค่ายที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งรอบค่าย และฆ่าทุกคนแม้เป็นพี่น้อง มิตรสหาย และเพื่อนบ้านของเขาเองก็ตาม’”
\s5
\p
\v 28 คนเลวีทำตามที่โมเสสบัญชา ในวันนั้นประชาชนประมาณสามพันคนได้ตายลง
\v 29 โมเสสกล่าวกับคนเลวีว่า “ในวันนี้พวกท่านได้ถูกแต่งตั้งรับใช้พระยาห์เวห์ แต่ละคนจงสู้รบกับบุตรและพี่น้องของตน เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงอวยพรท่านทั้งหลายวันนี้”
\s5
\p
\v 30 วันต่อมา โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำบาปใหญ่ยิ่ง แต่ตอนนี้เราจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ บางทีเราจะกราบทูลขอลบล้างบาปของพวกท่านได้”
\v 31 โมเสสจึงกลับไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์และกราบทูลว่า “ประชาชนเหล่านี้ได้ทำบาปใหญ่ยิ่งและพวกเขาสร้างรูปเคารพทองคำสำหรับตัวเอง
\v 32 แต่ตอนนี้ ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของพวกเขาด้วยเถิด หาไม่แล้วขอพระองค์ทรงลบข้าพระองค์เสียจากหนังสือที่พระองค์ทรงได้จดไว้”
\s5
\p
\v 33 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ใครก็ตามทำบาปต่อเรา เราก็จะลบชื่อผู้นั้นจากหนังสือของเรา
\v 34 ดังนั้น ตอนนี้ จงไปเถิด นำประชาชนไปยังที่ซึ่งเราได้บอกแก่เจ้าแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้า แต่ว่าในวันที่เราจะลงโทษนั้น เราจะลงโทษพวกเขาเพราะบาปของพวกเขา”
\v 35 แล้วพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้เกิดหายนะกับประชาชน เพราะพวกเขาได้ทำลูกโคซึ่งอาโรนทำนั้น
\s5
\c 33
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงลุกไปจากที่นี่ เจ้ากับประชาชนซึ่งเจ้าได้นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ ไปยังดินแดนซึ่งเราได้ให้สัญญากับอับราฮัม อิสอัค และกับยาโคบ เมื่อเราได้พูดว่า ‘เราจะให้ดินแดนนั้นแก่เชื้อสายของพวกเจ้า’
\v 2 เราจะใช้ทูตองค์หนึ่งนำหน้าพวกเจ้าไปและเราจะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ออกไป
\v 3 จงขึ้นไปยังดินแดนซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหล แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้าได้เป็นชนชาติที่หัวแข็งกร้าว เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าระหว่างทาง”
\s5
\p
\v 4 เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาจึงเป็นทุกข์มาก และไม่มีใครสวมใส่เครื่องประดับเลย
\v 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง ถ้าเราขึ้นไปกับพวกเจ้าเพียงสักครู่ เราก็จะทำลายพวกเจ้า และตอนนี้ จงถอดเครื่องประดับออก เพื่อเราจะได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับพวกเจ้า’”
\v 6 ดังนั้นชนชาติอิสราเอลจึงไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับ ตั้งแต่ตอนที่อยู่แถบภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา
\s5
\p
\v 7 โมเสสได้ตั้งเต็นท์หลังหนึ่งไว้และวางไว้นอกจากค่าย ไกลพอสมควรจากค่าย เขาได้เรียกว่า เต็นท์นัดพบ ทุกคนที่ได้ทูลถามพระยาห์เวห์เรื่องใดๆ ก็จะออกไปยังเต็นท์นัดพบซึ่งตั้งอยู่นอกค่าย
\v 8 เมื่อใดที่โมเสสจะออกไปยังเต็นท์นั้น ประชาชนทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตนและมองดูโมเสส จนกว่าเขาได้เข้าไปข้างใน
\v 9 เมื่อใดก็ตามที่โมเสสได้เข้าไปในเต็นท์แล้ว เสาเมฆจะลอยลงมาและตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระยาห์เวห์จะตรัสกับโมเสส
\s5
\p
\v 10 เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนทั้งหมดได้เห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ พวกเขาทุกคนจะลุกขึ้นและนมัสการ อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตน
\v 11 พระยาห์เวห์จะตรัสกับโมเสสหน้าต่อหน้า เหมือนคนๆ หนึ่งคุยกับเพื่อนของเขา แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่ผู้รับใช้ของเขา โยชูวาบุตรชายของนูน ซึ่งเป็นชายหนุ่มยังคงอยู่ในเต็นท์
\s5
\p
\v 12 โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำประชาชนนี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงแจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ พระองค์ยังตรัสว่า ‘เรารู้จักชื่อของเจ้า และเจ้ายังเป็นที่ชอบใจในสายตาของเราด้วย’
\v 13 ตอนนี้ถ้าข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อว่าข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ และข้าพระองค์จะยังเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ และโปรดจดจำว่าชนชาตินี้เป็นประชาชนของพระองค์”
\s5
\p
\v 14 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ตัวเราเองจะไปกับเจ้า และเราจะให้เจ้าได้หยุดพัก”
\v 15 แล้วโมเสสกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์เองไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขอทรงไม่นำพวกข้าพระองค์ไปจากที่นี่
\v 16 มิฉะนั้นแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าพระองค์และประชาชนของพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว? นอกจากพระองค์จะเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ เพื่อว่าข้าพระองค์และประชาชนของพระองค์ จึงแตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทั่วผืนแผ่นดินโลก?”
\s5
\p
\v 17 พระยาห์เวห์ตรัสตอบโมเสสว่า “สิ่งที่เจ้าขอนั้นเราจะทำให้ เพราะว่าเจ้าเป็นที่ชอบใจในสายตาของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า”
\v 18 โมเสสกราบทูลว่า “ขอทรงสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด”
\s5
\p
\v 19 พระยาห์เวห์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีทั้งสิ้นของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของ ‘พระยาห์เวห์’ ต่อหน้าเจ้า เราจะชอบใจผู้ใดก็จะชอบใจผู้นั้น และเราจะปราณีผู้ใด เราก็จะปราณีผู้นั้น”
\v 20 แต่พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ใดเห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้”
\s5
\p
\v 21 พระยาห์เวห์จึงตรัสอีกว่า “ดูเถิด มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนหินนี้
\v 22 ขณะเมื่อพระสิริของเราผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในซอกหิน และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราได้ผ่านไป
\v 23 แล้วเราจะนำมือของเราออก และเจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะไม่ได้เห็น”
\s5
\c 34
\p
\v 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงสกัดหินสองแผ่นให้เหมือนอย่างครั้งแรก เราจะเขียนบนหินเหล่านั้นด้วยถ้อยคำที่อยู่ในหินชุดแรก ซึ่งเจ้าได้ทำแตก
\v 2 จงเตรียมให้พร้อมในเวลาเช้า และขึ้นมายังภูเขาซีนาย และเจ้าเองจงมาพบเราที่นั่นบนยอดเขา
\s5
\p
\v 3 จงไม่ให้ใครมาปรากฏตัวที่ใดบนภูเขา ไม่ให้ฝูงสัตว์หรือเหล่าสัตว์แม้แต่มากินหญ้าอยู่หน้าภูเขานี้ก็ไม่ได้”
\v 4 ดังนั้นโมเสสจึงสกัดหินสองแผ่นเหมือนชุดแรก และเขาก็ตื่นแต่เช้า และขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามพระดำรัสสั่งของพระยาห์เวห์ โมเสสได้ถือหินสองแผ่นไว้ในมือของเขา
\s5
\p
\v 5 พระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและทรงยืนอยู่กับโมเสสที่นั่น และเขาได้เปล่งเสียงออกพระนาม “พระยาห์เวห์”
\v 6 พระยาห์เวห์เสด็จผ่านไปข้างหน้าเขาและพระองค์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตาและกรุณา โกรธช้า และเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญา และความน่าไว้วางใจ
\v 7 ผู้ทรงรักษาความสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญาไว้ให้กับคนเป็นพันๆ ชั่วอายุคน ทรงให้อภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาปทั้งหลาย แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน พระองค์จะทรงให้โทษความบาปของบิดาตกทอดไปถึงลูกและหลานถึงสามชั่วและสี่ชั่วอายุคน”
\s5
\p
\v 8 โมเสสจึงรีบหมอบลงกับพื้นและนมัสการ
\v 9 แล้วเขากราบทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ก็ขอพระองค์โปรดเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์เพราะประชาชนเหล่านี้ดื้อรั้น ขอทรงโปรดอภัยการละเมิดและบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และขอทรงรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์”
\s5
\p
\v 10 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะทำพันธสัญญา ต่อหน้าประชาชนทั้งหมดของเจ้าเราจะทำการอัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยมีใครทำในทั่วแผ่นดินโลกหรือในชนชาติใดทั้งหมด ประชาชนทั้งหมดซึ่งเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้านั้น จะได้เห็นราชกิจของเรา เพราะสิ่งที่เราจะทำเพื่อพวกเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่น่ายำเกรง
\v 11 จงเชื่อฟังสิ่งที่เราได้บัญชาพวกเจ้าในวันนี้ เราจะขับไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
\s5
\p
\v 12 จงระวังตัวให้ดี อย่าได้ทำข้อตกลงกับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นซึ่งเจ้ากำลังมุ่งหน้าไป มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะเป็นกับดักท่ามกลางพวกเจ้า
\v 13 แต่พวกเจ้าจงทำลายบรรดาแท่นบูชาของพวกเขา ทุบบรรดาเสาหินของพวกเขาให้แหลกละเอียด และโค่นบรรดาเสาของอาเชราห์ของพวกเขาเสีย
\v 14 พวกเจ้าต้องไม่นมัสการพระอื่น เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีพระนามว่า “หวงแหน” เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน
\s5
\p
\v 15 ดังนั้นจงระวังอย่าทำสัญญากับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น เพราะเมื่อพวกเขานอกใจพระเหล่านั้นของพวกเขา และถวายบูชาแก่พระเหล่านั้นของพวกเขา แล้วพวกเขาจะเชิญพวกเจ้าไปร่วมด้วย และพวกเจ้าจะกินของที่พวกเขาถวายบูชานั้น
\v 16 และเมื่อพวกเจ้าจะรับบรรดาบุตรหญิงของพวกเขามาให้แก่บรรดาบุตรชายของพวกเจ้า และบรรดาบุตรหญิงของเขาจะทำให้บุตรชายของพวกเจ้านั้นจะนอกใจเราหันไปหาพระเหล่านั้นของพวกเขาด้วย
\v 17 จงอย่าหล่อบรรดารูปพระที่ทำจากโลหะไว้สำหรับตัวเอง
\s5
\p
\v 18 พวกเจ้าต้องถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราได้บัญชาพวกเจ้า พวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามกำหนดในเดือนอาบีบ เพราะในเดือนอาบีบพวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์
\s5
\p
\v 19 บุตรหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา คือลูกตัวผู้ของสัตว์ทุกตัว ทั้งลูกหัวปีของโคและของแกะของพวกเจ้า
\v 20 พวกเจ้าต้องซื้อคืนลูกลาหัวปีนั้นด้วยลูกแกะ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ซื้อคืน แล้วพวกเจ้าจงหักคอมันเสีย พวกเจ้าต้องซื้อบุตรชายหัวปีทั้งหมดของพวกเจ้าคืน ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าเรามือเปล่า
\s5
\p
\v 21 พวกเจ้าจงทำงานหกวัน แต่วันที่เจ็ดพวกเจ้าต้องหยุดพัก แม้แต่ในฤดูไถนาและฤดูเก็บเกี่ยวก็ตาม พวกเจ้าต้องหยุดพัก
\v 22 พวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลแห่งสัปดาห์ ด้วยพืชผลแรกของการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี และพวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลรวบรวมผลิตผลในสิ้นปี
\s5
\p
\v 23 จงให้ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้าเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ปีละสามครั้ง
\v 24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า และขยายเขตแดนของพวกเจ้าให้กว้างออกไป ไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของพวกเจ้าเลยเมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าปีละสามครั้ง
\s5
\p
\v 25 พวกเจ้าต้องไม่ถวายเลือดของเครื่องบูชาของเราพร้อมกับเชื้อยีสต์ และห้ามเหลือเนื้อจากการถวายบูชาในเทศกาลปัสกาไว้จนถึงรุ่งเช้า
\v 26 พวกเจ้าต้องนำพืชผลแรกที่ดีที่สุดจากผืนดินของพวกเจ้ามาถวายยังพระนิเวศของเรา พวกเจ้าต้องไม่ต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน”
\s5
\p
\v 27 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราได้สัญญากับตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านี้ที่เราได้พูดไว้ และได้ทำพันธสัญญากับพวกเจ้าและอิสราเอล”
\v 28 โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์อยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน เขาไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย เขาจารึกถ้อยคำแห่งพันธสัญญาไว้บนแผ่นหิน คือพระบัญญัติสิบประการ
\s5
\p
\v 29 เมื่อโมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย มีแผ่นพระบัญญัติสองแผ่นในมือของเขาด้วย เขาไม่ทราบว่าผิวหน้าของเขาทอแสงขณะที่เขาสนทนากับพระเจ้า
\v 30 เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งหมดมองดูโมเสส ผิวหน้าของเขาก็ทอแสง และพวกเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา
\v 31 แต่โมเสสจึงเรียกพวกเขามา อาโรนและพวกผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนจึงมาหาเขา แล้วโมเสสจึงได้บอกกับพวกเขา
\s5
\p
\v 32 หลังจากประชาชนอิสราเอลทั้งสิ้นเข้ามาหาโมเสส และโมเสสบอกพระบัญญัติทั้งสิ้นแก่เขาทั้งหลายตามที่พระยาห์เวห์ได้ประทานให้เขาบนภูเขาซีนาย
\v 33 เมื่อโมเสสพูดกับพวกเขาจบแล้ว เขาใช้ผ้าคลุมหน้าของเขาไว้
\s5
\p
\v 34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อกราบทูลพระองค์ เขาจะปลดผ้าคลุมหน้านั้นออก จนกว่าเขาจะกลับออกมา เมื่อเขาออกมา เขาจะบอกให้คนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาให้เขาพูด
\v 35 เมื่อคนอิสราเอลเห็นหน้าของโมเสสทอแสง โมเสสก็จะใช้ผ้าคลุมหน้าของเขาอีก จนกว่าจะกลับเข้าไปทูลต่อพระยาห์เวห์
\s5
\c 35
\p
\v 1 โมเสสให้ชุมนุมคนอิสราเอลทั้งหมดมาประชุมกันและกล่าวกับพวกเขาว่า “เหล่านี้เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายทำ
\v 2 จงทำงานหกวัน วันที่เจ็ดจะต้องเป็นวันบริสุทธิ์ วันสะบาโตของการหยุดพักอย่างสิ้นเชิง เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ผู้ใดก็ตามที่ทำงานในวันนั้นต้องถูกลงโทษถึงตาย
\v 3 พวกเจ้าต้องไม่ก่อไฟในบ้านของพวกท่านในวันสะบาโตนั้น”
\s5
\p
\v 4 โมเสสได้กล่าวกับชุมชนทั้งสิ้นของอิสราเอลว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา
\v 5 จงนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ ทุกคนในพวกของท่านที่เต็มใจ นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์ คือทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์
\v 6 ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินอย่างดี และขนแพะ
\v 7 บรรดาหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และบรรดาหนังพะยูน และไม้กระถินเทศ
\v 8 น้ำมันคันประทีปสำหรับสถานนมัสการ เครื่องเทศสำหรับปรุงน้ำมันไว้เจิม และสำหรับปรุงเครื่องหอม
\v 9 หินโอนิกซ์ และหินอัญมณีต่างๆ สำหรับติดในเอโฟดและทับทรวง
\s5
\p
\v 10 พวกท่านทุกคนที่มีความเชี่ยวชาญจงมาช่วยกันและทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเถิด
\v 11 พลับพลาพร้อมกับเต็นท์ ผ้าคลุมเต็นท์ บรรดาขอเกี่ยว บรรดากรอบไม้ บรรดากลอน บรรดาเสา และบรรดาฐานรองรับเสา
\v 12 รวมถึงหีบพร้อมกับคานสำหรับหาม ฝาหีบแห่งการลบล้างบาป และผ้าม่านบังตาด้วย
\s5
\p
\v 13 พวกเขาจึงได้นำโต๊ะพร้อมกับไม้คานสำหรับหาม เครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับโต๊ะ และขนมปังเฉพาะพระพักตร์
\v 14 คันประทีปที่ให้แสงสว่าง พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับคันประทีป บรรดาประทีป และน้ำมันจุดบรรดาประทีป
\v 15 แท่นเผาเครื่องหอมพร้อมกับบรรดาไม้คาน น้ำมันเจิม และเครื่องหอม และผ้าม่านบังตาสำหรับทางเข้าพลับพลา
\v 16 แท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาพร้อมด้วยตาข่ายทองสัมฤทธิ์ บรรดาไม้คานหาม และเครื่องใช้ต่างๆ ของแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรอง
\s5
\p
\v 17 พวกเขาจึงได้นำผ้าม่านสำหรับกั้นลานพลับพลา พร้อมกับเสา และฐานรองรับเสา และม่านบังตาสำหรับทางเข้าลาน
\v 18 และบรรดาหลักหมุดสำหรับพลับพลา และบรรดาหลักหมุดสำหรับลานพลับพลา พร้อมกับบรรดาเชือก
\v 19 พวกเขาจึงได้นำเครื่องแต่งกายต่างๆ ที่เย็บด้วยฝีมือประณีตสำหรับการปรนนิบัติในสถานบริสุทธิ์ คือเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ สำหรับบุตรชายของเขา เพื่อให้พวกเขาใช้ปฏิบัติงานของปุโรหิต”
\s5
\p
\v 20 แล้วทุกเผ่าของอิสราเอลก็ได้แยกย้ายกันไปจากโมเสส
\v 21 ทุกคนที่เต็มใจและปรารถนาที่จะถวาย ต่างก็ได้นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์สำหรับการสร้างพลับพลา และอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับงานรับใช้ในพลับพลา และสำหรับเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ
\v 22 พวกเขาทุกคนที่เต็มใจจึงได้พากันมาทั้งผู้ชายและผู้หญิง พวกเขาก็ได้นำบรรดาเข็มกลัด บรรดาตุ้มหู บรรดาแหวน และบรรดาเครื่องประดับ ทุกชิ้นล้วนเป็นทองคำ พวกเขาทุกคนได้นำของถวายที่เป็นทองคำมาเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์
\s5
\p
\v 23 ทุกคนที่มีด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม หรือมีผ้าลินินเนื้อดี ขนแพะ บรรดาหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หรือบรรดาหนังพะยูนก็ได้เอาของเหล่านั้นมาถวาย
\v 24 ทุกคนที่ทำเครื่องถวายจากเงินหรือทองสัมฤทธิ์ก็ได้นำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ และทุกคนที่มีไม้กระถินเทศที่ใช้กับงานใดได้ก็ให้นำไม้นั้นมาถวาย
\s5
\p
\v 25 ผู้หญิงทุกคนที่ชำนาญในการปั่นขนแกะด้วยมือของเธอ และก็ได้นำด้ายขนแกะที่เธอได้ปั่นนั้นมาทั้งสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินปั่นอย่างดีมา
\v 26 ผู้หญิงทุกคนที่เต็มใจและเชี่ยวชาญก็ได้ปั่นขนแพะ
\s5
\p
\v 27 พวกผู้นำก็ได้นำหินโอนิกซ์ และพลอยอื่นๆ สำหรับติดในเอโฟดและทับทรวงมา
\v 28 พวกเขาได้นำพวกเครื่องเทศและน้ำมันสำหรับประทีปต่างๆ น้ำมันสำหรับเจิม และเครื่องเทศสำหรับปรุงเครื่องหอม
\v 29 คนอิสราเอลที่เต็มใจก็ได้นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์สำหรับการงานทุกอย่าง ชายและหญิงทุกคนที่เต็มใจก็ได้นำวัสดุต่างๆ ที่ใช้สำหรับงานซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาผ่านทางโมเสสให้พวกเขาทำ
\s5
\p
\v 30 โมเสสจึงได้กล่าวกับคนอิสราเอลว่า “ดูเถิด พระยาห์เวห์ได้ทรงคัดเลือกเบซาเลลบุตรชายของอุรี ผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์
\v 31 พระองค์ได้ทรงเติมให้เบซาเลลเต็มไปด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าคือให้เขามีปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในงานช่างทุกสิ่ง
\v 32 เพื่อออกแบบอย่างวิจิตรในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์
\v 33 ในการเจียระไนอัญมณี และในการติดในตัวเรือน และในการแกะสลักไม้ สำหรับงานออกแบบและงานช่างทุกสิ่งด้วย
\s5
\p
\v 34 พระองค์ทรงให้ทั้งเขากับโอโฮลีอับบุตรชายอาหิสะมัคเผ่าดาน มีน้ำใจที่จะสอนคนอื่นด้วย
\v 35 พระองค์ได้ประทานทักษะให้คนทั้งสองนี้ในการทำงานช่างทุกสิ่ง เช่น งานฝีมือ งานออกแบบ งานแกะสลัก และงานปักด้วยด้ายขนแกะคือ สีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินอย่างดี และช่างทอ พวกเขาเป็นช่างฝีมือทำได้ทุกสิ่ง และเป็นช่างออกแบบอย่างวิจิตร
\s5
\c 36
\p
\v 1 ดังนั้นเบซาเลลและโอโฮลีอับกับช่างฝีมือทุกคน ที่พระยาห์เวห์ได้ประทานทักษะและความสามารถให้รู้จักวิธีการทำงานทุกสิ่ง ในการสร้างวิสุทธิสถานที่จะต้องทำงานตามทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้”
\s5
\p
\v 2 โมเสสจึงเรียกเบซาเลลและโอโฮลีอับกับช่างฝีมือทุกคน ซึ่งพระยาห์เวห์ประทานปัญญาไว้ในใจของเขา คือทุกคนที่เต็มใจมาและทำงาน
\v 3 พวกเขาได้รับเครื่องถวายทุกชิ้นจากโมเสส คือของถวายที่คนอิสราเอลได้นำมาถวายเพื่อสร้างวิสุทธิสถาน ประชาชนยังนำบรรดาเครื่องถวายมาให้โมเสสด้วยความเต็มใจอีกทุกเช้า
\v 4 ดังนั้นช่างฝีมือทุกคนที่กำลังทำงานเพื่อวิสุทธิสถานนั้นต่างก็ได้ผละจากงานของตนที่ได้ทำ
\s5
\p
\v 5 พวกช่างฝีมือจึงบอกโมเสสว่า “ประชาชนนำของมาถวายมากเกินความต้องการที่จะใช้ในงานซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเราทำไปแล้ว”
\v 6 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งให้ประกาศไปทั่วค่ายว่า ผู้ใดก็ตามไม่ต้องนำของถวายมาสร้างวิสุทธิสถานอีกแล้ว แล้วประชาชนจึงได้หยุดที่จะนำของเหล่านั้นมาให้อีก
\v 7 พวกช่างมีวัสดุที่มากเกินพอแล้วสำหรับงานที่จะต้องทำทั้งหมด
\s5
\p
\v 8 ดังนั้นช่างฝีมือทุกคนในหมู่พวกเขาได้สร้างพลับพลาด้วยผ้าม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดีและด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และออกแบบเป็นภาพเครูบต่างๆ นี่เป็นงานของเบซาเลล ซึ่งเป็นช่างฝีมือที่เก่งมาก
\v 9 ความยาวของม่านแต่ละผืน คือ ยี่สิบแปดศอก และยาวสี่ศอก ม่านทั้งหมดมีขนาดเท่ากัน
\v 10 เบซาเลลเอาม่านห้าผืนเกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นก็ได้ร้อยติดกันด้วย
\s5
\p
\v 11 เขาทำหูผ้าม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบผ้าม่านด้านนอกสุดของชุดที่หนึ่ง และเขาทำอย่างเดียวกันที่ด้านนอกขอบผ้าม่านในม่านชุดที่สอง
\v 12 เขาทำหูของผ้าม่านผืนแรกห้าสิบหูและตามขอบผ้าม่านชุดที่สองห้าสิบหู ดังนั้นหูของผ้าม่านจึงอยู่ตรงข้ามกัน
\v 13 เขาทำตะขอทองคำห้าสิบอัน และใช้เกี่ยวหูของแถบผ้าม่านเข้าด้วยกัน เพื่อให้พลับพลาเป็นหนึ่งเดียวกัน
\s5
\p
\v 14 เบซาเลลทำผ้าม่านขนแพะสำหรับเต็นท์คลุมพลับพลาอีกสิบเอ็ดผืน
\v 15 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนมีขนาดสามสิบศอก และกว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนมีขนาดเท่ากัน
\v 16 เขาเกี่ยวผ้าม่านห้าผืนให้ติดกัน ส่วนผ้าม่านอีกหกผืนก็เกี่ยวติดกันแยกไว้ต่างหาก
\v 17 เขาทำหูผ้าม่านห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านของชุดแรก และหูผ้าม่านอีกห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านเพื่อเกี่ยวกับผ้าม่านชุดที่สอง
\s5
\p
\v 18 เบซาเลลทำตะขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบอันเกี่ยวหูเต็นท์ให้เป็นหลังเดียวกัน
\v 19 เขาทำผ้าคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงชั้นหนึ่ง และคลุมทับด้วยหนังอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง
\s5
\p
\v 20 เบซาเลลทำกรอบไม้แนวตั้งสำหรับค้ำพลับพลาจากไม้กระถินเทศ
\v 21 ความยาวของแต่ละกรอบไม้เป็นสิบศอก และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง
\v 22 กรอบไม้แต่ละอันมีสองเดือย เพื่อให้ยึดกรอบติดกัน เขาทำกรอบไม้ทุกอันของพลับพลาอย่างนี้
\v 23 เขาทำกรอบไม้สำหรับพลับพลาดังนี้ กรอบไม้ด้านใต้ยี่สิบอัน
\s5
\p
\v 24 เบซาเลลทำฐานเงินสำหรับรองรับเดือยจำนวนสี่สิบอันใต้กรอบไม้ยี่สิบอัน มีฐานสองอันใต้กรอบไม้หนึ่งอันเพื่อเชื่อมอีกกรอบหนึ่งเข้าด้วยกัน และฐานสองอันใต้แต่ละกรอบเพื่อเชื่อมแต่ละกรอบเข้าด้วยกัน
\v 25 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้นเขาทำกรอบไม้ยี่สิบอัน
\v 26 และฐานเงินรองรับเดือยสี่สิบฐาน มีฐานรองรับเดือยสองอันใต้กรอบไม้อันแรก อีกสองอันใต้กรอบถัดไปและต่อไปเรื่อยๆ
\s5
\p
\v 27 ส่วนด้านหลังของพลับพลาทางทิศตะวันตก เบซาเลลทำกรอบไม้หกอัน
\v 28 เขาทำกรอบไม้อีกสองอันสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
\s5
\p
\v 29 กรอบไม้เหล่านั้นมีมุมแยกกันข้างล่าง แต่เชื่อมด้านบนติดกันด้วยห่วงหนึ่งอัน เขาทำสองชุดอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม
\v 30 เป็นกรอบไม้แปดอันพร้อมกับฐานเงิน ทั้งหมดมีฐานสิบหกอัน มีฐานสองอันใต้ฐานอันแรก อีกสองอันใต้ฐานถัดไป และต่อๆ ไป
\s5
\p
\v 31 เบซาเลลทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
\v 32 กลอนอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหลังทางด้านตะวันตก
\v 33 เขาได้ทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของกรอบไม้ สำหรับขัดฝาตั้งแต่ปลายหนึ่งไปจดอีกปลายหนึ่ง
\v 34 เขาหุ้มกรอบไม้เหล่านั้นด้วยทองคำ เขาจึงทำห่วงทองคำสำหรับร้อยกลอน และเขาหุ้มกลอนนั้นด้วยทองคำ
\s5
\p
\v 35 เบซาเลลทำม่านผืนหนึ่งด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินเนื้อดี เป็นภาพเครูบซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือ
\v 36 เขาทำเสาม่านจากไม้กระถินเทศสี่เสาและหุ้มด้วยทองคำ เขายังทำตะขอติดเสานั้นด้วยทองคำและหล่อฐานเงินสี่อันสำหรับรองรับเสา
\s5
\p
\v 37 เขาทำม่านบังตาสำหรับทางเข้าเต็นท์นั้นด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าลินินเนื้อดี ซึ่งเป็นงานของช่างปัก
\v 38 เขายังทำเสาห้าต้นสำหรับผ้าม่านพร้อมด้วยตะขอเกี่ยว เขาได้หุ้มยอดเสาและราวผ้าม่านนั้นด้วยทองคำ ฐานทั้งห้าสำหรับรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\c 37
\p
\v 1 เบซาเลลทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และสูงหนึ่งศอกครึ่ง
\v 2 เขาหุ้มหีบนั้นทั้งด้านในและด้านนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และได้ทำขอบด้านบนด้วยทองคำล้อมรอบหีบนั้น
\v 3 เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านหนึ่งสองห่วงและสองห่วงอีกด้านหนึ่ง
\s5
\p
\v 4 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ
\v 5 เขาสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้หามหีบนั้น
\v 6 เขาทำฝาหีบลบล้างบาปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาวสองศอกครึ่ง และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง
\s5
\p
\v 7 เบซาเลลทำเครูบสองตนด้วยทองคำที่ขึ้นรูปด้วยค้อนที่ปลายฝาหีบลบล้างบาป
\v 8 เครูบตนหนึ่งอยู่ที่ปลายฝาหีบลบล้างบาปด้านหนึ่ง และอีกตนหนึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาทำเป็นชิ้นเดียวกันกับฝาหีบลบล้างบาป
\v 9 เครูบกางปีกขึ้นสูงและปกคลุมฝาหีบลบล้างบาป เครูบแต่ละตนหันหน้าเข้ามาหากัน และมองมาตรงกลางฝาหีบลบล้างบาป
\s5
\p
\v 10 เบซาเลลทำโต๊ะตัวหนึ่งจากไม้กระถินเทศมา ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงหนึ่งศอกครึ่ง
\v 11 เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำขอบด้านบนด้วยทองคำล้อมรอบโต๊ะนั้นด้วย
\v 12 เขาทำกรอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ ล้อมรอบกรอบนั้นด้วยทองคำ
\v 13 เขาทำห่วงสี่ห่วงจากทองคำติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่
\s5
\p
\v 14 ห่วงนั้นชิดกับกรอบสำหรับใส่คานหามสำหรับหามโต๊ะนั้น
\v 15 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ แล้วหุ้มด้วยทองคำสำหรับหามโต๊ะนั้น
\v 16 เขาทำเครื่องใช้ที่อยู่บนโต๊ะนั้น คือจาน ช้อน กับอ่าง และคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา เขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์
\s5
\p
\v 17 เขาทำคันประทีปด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูป เขาได้ทำพร้อมทั้งฐานและลำตัวของคันประทีป ถ้วยรองประทีป ฐานใบ และดอกของมันก็ทำเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป
\v 18 ให้กิ่งหกกิ่งขยายออกจากคันประทีปด้านละสามกิ่ง และสามกิ่งของคันประทีปจะต้องยื่นออกมาจากอีกฟากหนึ่ง
\v 19 กิ่งแรกจะต้องมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ มีฐานใบ และดอก และอีกกิ่งหนึ่งมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ มีฐานใบ และดอก จะต้องเหมือนกันทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป
\s5
\p
\v 20 บนคันประทีปตรงกลางจะต้องมีสี่ถ้วยที่ทำเป็นเหมือนรูปดอกอัลมอนด์ รองด้วยฐานใบและดอกอย่างละสี่ดอก
\v 21 ให้ทำฐานใบหนึ่งอันรองรับกิ่งขนานคู่แรก ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย อีกฐานใบหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สอง ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย และในทำนองเดียวกันอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สาม ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกัน จะต้องเหมือนกันสำหรับทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป
\v 22 ฐานใบและกิ่งเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป ตีขึ้นรูปเป็นเนื้อเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์
\s5
\p
\v 23 เบซาเลลทำคันประทีปและประทีปเจ็ดอัน กรรไกรตัดไส้ประทีปและถาดรองทำจากทองคำบริสุทธิ์
\v 24 เขาทำคันประทีปและเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับคันประทีปนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักหนึ่งตะลันต์
\s5
\p
\v 25 เบซาเลลสร้างแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม เขาทำแท่นด้วยไม้กระถินเทศ ยาวหนึ่งศอก กว้างหนึ่งศอก เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และ สูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ชิ้นเดียวกับแท่น
\v 26 เขาหุ้มแท่นเครื่องหอมนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทุกด้าน และเชิงงอนด้วย เขายังทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบแท่นนั้น
\s5
\p
\v 27 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ใต้ขอบด้านละห่วงตรงข้ามกัน ห่วงนั้นเป็นที่สำหรับสอดไม้คานหามแท่น
\v 28 เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศและเขาหุ้มด้วยทองคำ
\v 29 เขาปรุงน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์ ตามศิลปะของช่างปรุง
\s5
\c 38
\p
\v 1 เบซาเลลทำแท่นเครื่องเผาบูชาด้วยไม้กระถินเทศ เป็นแท่นยาวห้าศอก กว้างห้าศอก ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสามศอก
\v 2 เขาขยายทั้งสี่มุมบนแท่นนั้นรูปเหมือนเขาโค เขาโคนั้นเป็นเนื้อเดียวกับแท่น และเขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
\v 3 เขาทำเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่นนั้นคือ หม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว อ่าง ส้อมเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟต่างๆ เขาทำเครื่องใช้ทุกชิ้นสำหรับแท่นนั้นด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\p
\v 4 เขาทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้นให้อยู่ใต้ขอบในรอบแท่นบูชา และให้ยื่นลงมาจนถึงประมาณกึ่งกลางของแท่น
\v 5 เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับสอดไม้คาน
\s5
\p
\v 6 เบซาเลลทำไม้คานด้วยไม้กระถินเทศ และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
\v 7 เขาใส่ไม้คานนั้นไว้ในห่วงข้างแท่นทั้งสองด้านสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
\s5
\p
\v 8 เบซาเลลทำอ่างขนาดใหญ่และฐานรองอ่างด้วยทองสัมฤทธิ์ เขาทำอ่างด้วยกระจกเงาของบรรดาผู้หญิงที่รับใช้อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
\s5
\p
\v 9 เขายังได้สร้างลานพลับพลา โดยด้านใต้ของลานมีผ้าบังลานที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี ยาวหนึ่งร้อยศอก
\v 10 ผ้าบังลานมีเสายี่สิบต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน มีตะขอต่างๆ ติดเสา และราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน
\s5
\p
\v 11 ในทำนองเดียวกันทางด้านเหนือให้มีผ้าบังลานยาว หนึ่งร้อยศอกกับเสายี่สิบต้น และฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอต่างๆ ติดเสาและราวยึดเสานั้นทำจากเงิน
\v 12 ผ้าบังลานด้านตะวันตกยาวห้าสิบศอก กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน ตะขอและราวยึดเสาต่างๆ นั้นทำจากเงิน
\s5
\p
\v 13 ลานยังใช้ผ้ายาวห้าสิบศอกไปทางด้านตะวันออก
\v 14 ผ้าบังลานด้านริมทางเข้าข้างหนึ่งยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
\v 15 อีกข้างหนึ่งของทางเข้าของลาน มีผ้าบังลานยาว สิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
\v 16 ผ้าบังลานโดยรอบลานนั้นทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี
\s5
\p
\v 17 ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ส่วนตะขอติดเสาและราวยึดเสาทำด้วยเงิน และหัวเสานั้นหุ้มด้วยเงิน เสาทุกต้นของลานมีราวยึดเสาทำด้วยเงิน
\v 18 ผ้าม่านที่ประตูลานนั้นยาวยี่สิบศอก ม่านนั้นทำจากผ้าลินินเนื้อดี สีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ผ้าลินินเนื้อดีด้ายคู่ และยาวยี่สิบศอก ความยาวคือยี่สิบศอก และสูงห้าศอก เสมอกับผ้าบังลาน
\v 19 มีฐานรองรับเสาสี่ฐานเป็นทองสัมฤทธิ์ และตะขอทำด้วยเงิน ส่วนที่หุ้มหัวเสากับราวยึดเสาทำด้วยเงิน
\v 20 หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และของลานรอบพลับพลานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
\s5
\p
\v 21 เหล่านี้คือสิ่งของที่ใช้ในพลับพลา คือพลับพลาแห่งกฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญา ซึ่งได้บันทึกตามคำสั่งของโมเสส เป็นงานของคนเลวีในความดูแลของอิธามาร์บุตรชายอาโรนปุโรหิต
\v 22 เบซาเลลบุตรชายของอุรีผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ ทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\v 23 โอโฮลีอับบุตรชายของอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน ผู้ร่วมงานกับเบซาเลลเป็นช่างสลัก เป็นช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ และเป็นช่างปัก โดยใช้ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
\s5
\p
\v 24 ทองคำทั้งหมดที่ใช้สำหรับการสร้างนี้ ในงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องวิสุทธิสถานนั้น คือทองคำที่มาจากการเครื่องบูชาถวายโบก มีน้ำหนักยี่สิบเก้าตะลันต์และ 730 เชเขล ตามมาตราชั่งน้ำหนักเชเขลของสถานนมัสการ
\v 25 เงินที่มาจากชุมชนได้ถวายไว้หนักหนึ่งร้อยตะลันต์และ 1,775 เชเขล ตามมาตราการชั่งน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ
\v 26 หรือโดยเก็บเงินคนละหนึ่งเบคา ซึ่งคือครึ่งเชเขล ชั่งตามเชเขลของสถานนมัสการ จำนวนตัวเลขนี้มีพื้นฐานจากทุกคนที่ได้นับไว้ในทะเบียนสำมะโนครัว คนเหล่านั้นที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป รวมทั้งหมด 603,550 คน
\s5
\p
\v 27 เงินหนักหนึ่งร้อยตะลันต์ใช้ทำฐานรองรับเสาของวิสุทธิสถานและฐานของผ้าม่าน ฐานร้อยอันใช้เงินหนักหนึ่งตะลันต์สำหรับแต่ละฐาน
\v 28 จากในส่วนที่เหลือของเงิน 1,775 เชเขล เบซาเลลทำตะขอสำหรับเสาและหุ้มหัวเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย
\v 29 ทองสัมฤทธิ์จากเครื่องบูชาถวายโบกหนักเจ็ดสิบตะลันต์และ 2,400 เชเขล
\s5
\p
\v 30 ด้วยสิ่งเหล่านี้เขาได้ทำฐานทางเข้าเต็นท์นัดพบ ทำแท่นทองสัมฤทธิ์ และตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และทำเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่นนั้น
\v 31 ทำฐานสำหรับลาน ฐานที่ทางเข้าลาน หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และหลักหมุดทุกตัวสำหรับลานนั้น
\s5
\c 39
\p
\v 1 พวกเขาทอบรรดาเครื่องแต่งกายอย่างปราณีตด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้มนั้น สำหรับใส่เวลาปฏิบัติหน้าที่ในวิสุทธิสถาน พวกเขายังได้ทำเครื่องแต่งกายของอาโรนสำหรับสวมในวิสุทธิสถาน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 2 เบซาเลลทำเสื้อเอโฟดด้วยทองคำ ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี
\v 3 พวกเขาตีทองแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ และตัดเป็นเส้นๆ เพื่อทอเข้ากับด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และเข้ากับผ้าลินินเนื้อดี เป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญงาน
\s5
\p
\v 4 พวกเขาทำแถบติดไว้ที่บ่าเสื้อเอโฟดให้ติดกับมุมด้านบนทั้งสองมุม
\v 5 สายรัดเอวก็ทออย่างประณีตเหมือนเสื้อเอโฟด ทอเข้าเป็นชิ้นเดียวกับเสื้อเอโฟด ทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี ที่ปักด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 6 พวกเขาเอาหินโอนิกซ์ติดไว้ในตัวเรือนทองคำซึ่งแกะสลักอย่างแกะตรา และแกะสลักเป็นรายชื่อบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล
\v 7 เบซาเลลติดหินเหล่านั้นไว้บนแถบบ่าของเสื้อเอโฟด เพื่อให้หินนั้นเป็นที่จดจำแด่พระยาห์เวห์ถึงบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 8 เขาทำทับทรวง เป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญงาน ตกแต่งเหมือนเสื้อเอโฟด เขาได้ทำด้วยทองคำ ปักด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
\v 9 เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกเขาพับทับทรวงเป็นสองทบ ยาวหนึ่งคืบ และกว้างหนึ่งคืบ
\s5
\p
\v 10 พวกเขาติดอัญมณีสี่แถวนั้น แถวที่หนึ่งติด ทับทิม บุษราคัมและโกเมน
\v 11 แถวที่สองติดมรกต ไพลิน และเพชร
\v 12 แถวที่สามติดเพทาย โมรา และแอเมทิสต์
\v 13 แถวที่สี่ติดเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ อัญมณีเหล่านี้ได้ติดในตัวเรือนทองคำ
\s5
\p
\v 14 อัญมณีเหล่านี้เรียงตามชื่อของบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล เรียงลำดับตามชื่อ อัญมณีแกะสลักเหมือนอย่างแกะตรา แต่ละชื่อหมายถึงแต่ละเผ่าของสิบสองเผ่า
\v 15 พวกเขาทำสร้อยคล้ายถักเกลียวบนทับทรวง เป็นงานถักด้วยทองคำบริสุทธิ์
\v 16 พวกเขาทำตัวเรือนทองคำสองอันและห่วงสองห่วงด้วยทองคำ และพวกเขาติดห่วงทองคำสองห่วงไว้ที่สองมุมของทับทรวง
\s5
\p
\v 17 พวกเขาสอดสร้อยถักด้วยทองคำในห่วงทั้งสองที่ตรงมุมทับทรวง
\v 18 พวกเขาติดปลายสร้อยถักสองข้างนั้นกับตัวเรือนทั้งสอง พวกเขาติดที่แถบบ่าของเสื้อเอโฟดที่ด้านหน้า
\s5
\p
\v 19 พวกเขาทำห่วงทองคำสองห่วงและใส่ที่มุมล่างด้านในทั้งสองข้างของทับทรวง
\v 20 พวกเขาทำห่วงทองคำอีกสองห่วงและใส่ไว้ที่ใต้แถบบ่าด้านหน้าของเสื้อเอโฟด ใกล้ตะเข็บเหนือสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมืออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด
\s5
\p
\v 21 พวกเขาผูกทับทรวงนั้นติดกับห่วงของห่วงเสื้อเอโฟด ด้วยด้ายถักสีฟ้า เพื่อให้ทับทรวงทับสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมืออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด สิ่งนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้ทับทรวงหลุดไปจากเสื้อเอโฟด สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 22 บาซาเลลทำเสื้อคลุมเข้าชุดกับเสื้อเอโฟดด้วยผ้าทอสีม่วงล้วน เป็นงานของช่างทอ
\v 23 ที่มีช่องสวมศีรษะตรงกลางของเสื้อนั้น ได้ขลิบรอบคอเพื่อไม่ให้ขาด
\v 24 ที่ขอบล่างชายเสื้อ พวกเขาทำเป็นรูปผลทับทิม โดยใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
\s5
\p
\v 25 พวกเขาทำกระดิ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพวกเขาติดกระดิ่งระหว่างผลทับทิมโดยรอบขอบล่างชายเสื้อคลุม ระหว่างผลทับทิมนั้นมี
\v 26 กระดิ่งลูกหนึ่งและผลทับทิมผลหนึ่ง กระดิ่งอีกลูกหนึ่งและผลทับทิมอีกผลหนึ่ง ที่ชายเสื้อคลุมนั้นสำหรับอาโรนใส่เวลาปฏิบัติหน้าที่ สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 27 พวกเขาทำเสื้อคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อดีสำหรับอาโรน และบรรดาบุตรชายของเขา
\v 28 พวกเขาทำผ้าโพกศีรษะ และผ้าคาดศีรษะ และทำเสื้อด้านในด้วยผ้าลินินเนื้อดี
\v 29 และทำสายรัดเอวด้วยผ้าลินินเนื้อดี ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม เป็นงานฝีมือของช่างปัก สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 30 พวกเขาทำแผ่นทองคำสำหรับมงกุฎบริสุทธิ์จารึกคำว่า “บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์” ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
\v 31 พวกเขาเอาด้ายถักสีฟ้าผูกไว้บนผ้าโพกศีรษะ สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\s5
\p
\v 32 ดังนั้นงานสำหรับพลับพลา คือเต็นท์นัดพบก็เสร็จสิ้นลง ประชาชนอิสราเอลก็ทำอย่างนั้นทุกประการ พวกเขาได้ทำตามพระบัญชาทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\v 33 พวกเขาจึงนำพลับพลามาให้โมเสส ทั้งเต็นท์และเครื่องใช้ทุกชิ้น คือ ตะขอ กรอบไม้ กลอน เสา และฐานรองรับเสา
\v 34 พวกเขาคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และคลุมด้วยหนังพะยูน และม่านสำหรับบังตา
\v 35 หีบแห่งสักขีพยานกับไม้คานและฝาหีบลบล้างบาป
\s5
\p
\v 36 พวกเขานำโต๊ะ เครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับโต๊ะนั้น และขนมปังเฉพาะพระพักตร์
\v 37 คันประทีปที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์กับประทีปที่ตั้งเป็นแถว รวมทั้งเครื่องใช้ทั้งหมดของคันประทีปนั้น และน้ำมันสำหรับประทีป
\v 38 แท่นบูชาทองคำ น้ำมันเจิมและเครื่องหอม และผ้าม่านบังตาสำหรับทางเข้าพลับพลา
\v 39 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์กับตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และไม้คานหาม และเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรองอ่าง
\s5
\p
\v 40 พวกเขานำผ้าม่านบังลาน กับเสาและฐานรองรับเสา และผ้าม่านสำหรับทางเข้าลาน เชือก และหลักหมุดสำหรับเต็นท์ และเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับปฏิบัติหน้าที่ที่พลับพลา สำหรับเต็นท์นัดพบ
\v 41 พวกเขานำเครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีตมาสำหรับสวมเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในวิสุทธิสถาน บรรดาเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และพวกบุตรชายของเขา สำหรับพวกเขาใช้สวมในเวลาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปุโรหิต
\s5
\p
\v 42 ดังนั้นประชาชนอิสราเอลก็ได้ทำตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสนั้น
\v 43 โมเสสจึงตรวจดูงานทั้งสิ้นและเห็นว่าพวกเขาได้ทำเสร็จสิ้น พวกเขาทำทุกอย่างตามพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา แล้วโมเสสจึงกล่าวอวยพรพวกเขา
\s5
\c 40
\p
\v 1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
\v 2 “ในวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่งของปีใหม่ พวกเจ้าต้องตั้งพลับพลา คือเต็นท์นัดพบขึ้น
\s5
\p
\v 3 พวกเจ้าต้องวางหีบแห่งสักขีพยานในพลับพลา และพวกเจ้าต้องกั้นผ้าม่านบังหีบนั้นไว้
\v 4 พวกเจ้าต้องนำโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องใช้บนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วพวกเจ้าต้องนำคันประทีปนั้นเข้ามาและตั้งตะเกียงของคันประทีปให้เข้าที่
\s5
\p
\v 5 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบแห่งสักขีพยาน และพวกเจ้าต้องติดตั้งม่านที่ทางเข้าพลับพลา
\v 6 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นเครื่องเผาบูชาไว้ตรงหน้าทางเข้าพลับพลาเต็นท์นัดพบ
\v 7 พวกเจ้าต้องตั้งอ่างขนาดใหญ่ไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา และพวกเจ้าต้องใส่น้ำในอ่างนั้น
\s5
\p
\v 8 พวกเจ้าต้องทำลานไว้รอบๆ และพวกเจ้าต้องติดม่านบังตาไว้ที่ทางเข้าลาน
\v 9 พวกเจ้าต้องเอาน้ำมันเจิมมาและเจิมพลับพลา และทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น พวกเจ้าต้องชำระเครื่องใช้ทุกชิ้นและของตกแต่งให้บริสุทธิ์สำหรับเรา แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์
\v 10 พวกเจ้าต้องเจิมแท่นเครื่องเผาบูชา และเครื่องใช้ทุกอย่างบนแท่นนั้น พวกเจ้าต้องชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์สำหรับเรา และแท่นบูชานั้นจะบริสุทธิ์มากสำหรับเรา
\v 11 พวกเจ้าต้องเจิมทั้งอ่างทองสัมฤทธิ์และฐานรองอ่าง อีกทั้งชำระให้บริสุทธิ์สำหรับเรา
\s5
\p
\v 12 พวกเจ้าจงนำอาโรนกับบุตรชายทั้งหลายของเขามาที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และพวกเจ้าต้องใช้น้ำล้างชำระตัวพวกเขาเสีย
\v 13 พวกเจ้าจงสวมเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ให้อาโรน และชำระเขาให้บริสุทธิ์สำหรับเรา เจิมเขาและชำระเขาให้บริสุทธิ์เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตรับใช้เรา
\s5
\p
\v 14 พวกเจ้าจงนำบุตรชายทั้งหลายของเขามาด้วย และสวมเสื้อคลุมให้พวกเขา
\v 15 พวกเจ้าต้องเจิมพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเจ้าเจิมบิดาของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะเป็นปุโรหิตรับใช้เรา การเจิมนั้นจะเป็นการเจิมแต่งตั้งพวกเขาไว้เป็นปุโรหิตที่มีผลถาวรชั่วลูกหลานของพวกเขา”
\v 16 นี่คือสิ่งที่โมเสสได้กระทำคือ เขาทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา เขาได้ทำสิ่งทั้งหมดนี้
\s5
\p
\v 17 ดังนั้นพลับพลาก็ได้ตั้งขึ้นในวันที่หนึ่งเดือนแรกปีที่สอง
\v 18 โมเสสได้ตั้งพลับพลาขึ้น วางฐาน ตั้งกรอบไม้ ติดกลอน และตั้งเสาต่างๆ ขึ้น
\v 19 เขากางสิ่งที่จะคลุมพลับพลา แล้วเอาผ้าเต็นท์คลุมเหนือพลับพลา ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\v 20 เขาได้ใส่กฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาไว้ในหีบนั้น เขาใส่ไม้คานไว้ที่หีบ และวางฝาหีบลบล้างบาปไว้ด้านบน
\s5
\p
\v 21 เขานำหีบนั้นไปไว้ในพลับพลา เขาติดตั้งผ้าม่านเพื่อบังหีบแห่งสักขีพยานนั้นตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\v 22 เขาวางโต๊ะไว้ในเต็นท์นัดพบทางทิศเหนือของพลับพลานอกผ้าม่าน
\v 23 เขาจัดเรียงขนมปังให้เป็นระเบียบไว้บนโต๊ะตรงด้านหน้าพระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\s5
\p
\v 24 เขาตั้งคันประทีปไว้ในเต็นท์นัดพบตรงข้ามกับโต๊ะนั้นทางทิศใต้ของพลับพลา
\v 25 เขาจุดตะเกียงด้านหน้าพระยาห์เวห์ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\s5
\p
\v 26 เขาตั้งแท่นบูชาเครื่องหอมทองคำในเต็นท์นัดพบตรงหน้าผ้าม่าน
\v 27 เขาเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\s5
\p
\v 28 เขาได้แขวนผ้าม่านบังตาที่ประตูพลับพลา
\v 29 เขาตั้งแท่นเครื่องเผาบูชาไว้ตรงทางเข้าพลับพลา คือตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ เขาได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
\v 30 เขาตั้งอ่างไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา และเขาใส่น้ำในอ่างสำหรับชำระล้าง
\s5
\p
\v 31 โมเสส อาโรน และบรรดาบุตรชายของเขา ได้ล้างมือและเท้าของพวกเขาด้วยน้ำในอ่างนั้น
\v 32 เมื่อใดก็ตามที่เขาทั้งหลายจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อใดก็ตามที่เขาจะขึ้นไปยังแท่นบูชานั้น และพระสิริของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็จะชำระล้างตัวเองเสียก่อน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
\v 33 โมเสสได้กั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น เขากั้นม่านบังตาที่ตรงทางเข้าลาน ด้วยวิธีนี้โมเสสก็ทำงานเสร็จ
\s5
\p
\v 34 แล้วในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น
\v 35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และเพราะพระสิริของพระยาห์เวห์ก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
\s5
\p
\v 36 เมื่อใดก็ตามที่เมฆนั้นลอยขึ้นจากพลับพลา ประชาชนอิสราเอลก็ออกเดินทางต่อไป
\v 37 แต่หากว่าเมฆนั้นไม่ได้ลอยขึ้นไปจากพลับพลา แล้วประชาชนก็จะไม่ออกเดินทางเลย พวกเขาจะรออยู่จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นลอยขึ้นไป
\v 38 เพราะเมฆของพระยาห์เวห์อยู่เหนือพลับพลาในตอนกลางวัน และไฟของพระองค์ก็อยู่เหนือพลับพลาในตอนกลางคืน ชาวอิสราเอลทั้งหมดได้เห็นสิ่งนี้ตลอดการเดินทาง